9 ธ.ค. 2020 เวลา 02:09 • ท่องเที่ยว
ประสบการณ์ 101 : นี่หรือ!?! เชียงใหม่ การเดินทางแบบที่พระเจ้าสั่งไว้ไม่ให้ขึ้นเขา
ตอนที่ 4 แม่ริมกับลุง พระเจ้ายอมให้ขึ้นเขานิดนึงก็ได้
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว...ในแบบที่อากาศเหมือนกรุงเทพเลยนะ
ความงัวเงียบวกกับอากาศเย็นชื้นๆ จากแอร์ในห้องทำให้ผมถูกแรงดึงดูดของเตียงกระชากแล้วกระชากอีกให้ถลำลึกลงไปอยู่เรื่อยเชียวหล่ะ ผมพยายามฝืนลุกขึ้นนั่งบนเตียงครู่หนึ่ง พยายามตั้งหลักกับความง่วงกับเตียงนุ่มๆ ที่กระหน่ำใส่อย่างไม่หยุดยั้ง แต่ถึงอย่างไร การต้องออกไปเที่ยวก็เอาชนะมันจนได้ในที่สุด ผมละอยากให้ตอนไปทำงานทำแบบนี้ได้บ้างจังเลย
แพลนในวันนี้ก็คือการนัดลุงหน้าวัดมาเจอที่โรงแรม แล้วเราก็จะตกลงกันว่าจะไปไหนกันบ้าง เมื่อคืนนี้เองที่พวกเราสามคนนั่งวางแผนกันเสียดิบดีว่าจะไปรูทนี้ ข้ามตรงนั้น ไปตรงโน้น แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็มาจบกันที่ “ถ้าจะไปตรงนี้ต้องเพิ่มเงินนะ” เอ้าลุง ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ด้วยความใจแข็งดั่งหินผาของพวกเราที่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาเอาเปรียบเด็ดขาด เราเลยตอบไปง่าย ๆ ว่า “งั้นไม่ไปครับ ลุงนำไปเลย เอาตามราคาที่ตกลงกันไว้นี่แหละ”
ใครจะไปรู้… ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือความอิหยังวะเบา ๆ ของพวกเราสามคน
เราพากันขึ้นรถแล้วลุงก็ขับออกไป ผมรู้สึกร้อน ๆ นิด ๆ เหมือนลุงจะไม่เปิดแอร์ แต่สักครู่หนึ่งลุงก็เริ่มเปิดหน้าต่าง “ลุงกลัวโควิดหน่ะ ขอลุงเปิดหน้าต่างแทนละกันนะ” ฮั่นแน่!! ในใจอันไร้เดียงสาแรกคือ “ดีจัง ลุงรู้จักระวังตัว” แต่อีด้านร้ายเนี่ยนอกกับเราว่า “ลุงจะประหยัดค่ารถใช่ไหมหล่ะ รู้ทันนะลุง” แต่เอาเถอะ การได้สัมผัสลมเย็น ๆ ที่ตีหน้าเราอย่างต่อเนื่องก็เป็นอะไรที่ผมชอบอยู่แล้ว ยิ่งขึ้นไปบนเขา อากาศก็ยิ่งดี นี่สิถึงจะเรียกว่ามาเชียงใหม่หน่อย
บรรยากาศปากทางอันไม่น่าไว้วางใจ
ลุงพาเราไปยังสถานที่แรก มันคือคาเฟ่ครับ คาเฟ่ซอมบี้ สถานที่ที่เราหวังเอาไว้ว่า เฮ้ย วิวดี คนมาเยอะแน่นอน
“โควิดแหละ” ผมคิดในใจตอนที่เห็นว่าร้านโล่ง
“เรามาเช้าไปแหละ” ตอนที่เราเห็นว่าร้านร้างซะจนนึกว่าหมู๋บ้านซอมบี้จริง ๆ
ซอมบี้สไตล์ Plants VS Zombies ที่มาต้อนรับเราด้านหน้าร้าน
โซนบ้านต้นไม้ ร่มรื่น ดูดีอยู่นะ ว่าไม่ได้
ที่นี่ ถ้าว่ากันตามตรงก็คือ ถ้าร้านส่วนที่กำลังปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ดี ผมก็เชื่อนะ ว่าที่นี่จะต้องป๊อปปูล่าร์เป็นแน่แท้ เพราะมีทั้งโซนในร่มที่มีหน้าต่าง พอมีแสงรำไร โซนบ้านต้นไม้ที่มีมุมสงบ ๆ เยอะแยะให้นั่งมองวิวทุ่งหน้าเล่น ๆ หรือจะเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ คือครบเครื่องอยู่พอตัว น่ารักแบบพอดี พวกเราเลือกขึ้นไปบนบ้านต้นไม้ เพราะไหน ๆ ก็ไม่มีคนกันแล้ว นั่งลงมองวิวทุ่งนาสีเขียวตรงหน้า นั่งไปนั่งมาก็รู้สึกแปลกใจ หินตรงนั้นมันอะไรกันนะ
วิวทุ่งนาสวยอยู่นะ แต่หินตรงนั้นมันอะไรกันนะ
ใช่แล้วละครับ
“ฮวงซุ้ย ฮวงซุ้ยจริง ๆ ด้วย!!” เป็นเรื่องบังเอิญที่ตั้งใจกับวิวตรงหน้ามาก ๆ ครับ คาเฟ่ซอมบี้กับวิวฮวงซุ้ย ถึงจะอีหยังวะไปมาก แต่ผมบอกเลยว่า ผมชอบความ Surreal นี้มาก มากซะจนเป็นสิ่งที่ผมจำได้เป็นอันดับแรกจากการไปทริปนี้เลยหล่ะ
เปิดวันมาลุงก็พามาดูวิวฮวงซุ้ยแล้ว ชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ ว่าลุงจะพาเราไปที่ไหนกันต่อ หน้าหนาวแบบนี้จะไปไหนกันดีนะ น้ำตกละกัน อ่านไม่ผิดหรอกครับ เรากำลังจะมุ่งหน้าไปน้ำตกกัน
น้ำตกที่ว่านี้อยู่ในรูทแม่ริมครับ มีชื่อน้ำตกว่า น้ำตกแม่สา ครับ น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาด 10 ชั้น ที่ตอนที่ไป เค้าห้ามลงเล่นน้ำนะ เพราะน้ำเชี่ยวมาก การได้มาเห็นแรงธรรมชาติไหลหล่นลงมา เสียงซู่ซ่าบวกกับลมพัดผ่านเบา ๆ ก็ถือว่าธรรมชาติได้ช่วยเยียวยาพวกเราเพิ่มขึ้นอีกนิดนึงแล้ว ผมเดินขึ้นไปได้สุดแค่ชั้น 7 ก็รู้สึกว่า ควรพอแล้ว พอเห็นว่าเหงื่อไหลซะจนแทบจะสร้างน้ำตกได้อีกแห่ง ในวันที่โควิดทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมค้นพบว่า บางสถานที่ ผู้คนต่างหากที่ทำให้มันน่าไปเที่ยว มายืนเปลี่ยว ๆ ริมน้ำตกแบบนี้ทำให้ผมรู้ซึ้งเลยหล่ะครับ
น้ำแรงได้ใจมาก ๆ
เราเริ่มรู้สึกว่ารูทเที่ยวของลุงมันชักจะไม่เวิร์คซะแล้วนา เราเลยมานั่งคุยกันพลางฟังเสียงน้ำไหลตูมตามอยู่ข้าง ๆ ครับ ผมมีความใฝ่ฝันในการไปเยือนบ้านไร่ญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และก็บังเอิญพอดีที่ลุงมาในทิศทางที่ใกล้กับมันซะด้วย ผมกำลังจะพาคุณผู้อ่านไปญี่ปุ่นให้หายคิดถึงกันครับ
ที่นี่แหละที่เรากำลังจะต้องแบกสังขารขึ้นไปกัน
แม่ริมในแบบบ้านไร่สไตล์ญี่ปุ่น
ที่ที่เรากำลังจะไปกันนี้ก็คือ Mori Farm ครับ ตั้งอยู่ในเชิงเขา เข้าไปเป็นเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดนิดนึง แถมยังต้องเดินขึ้นทางเดินชัน ๆ ไปอีกหน่อยนึง กว่าจะขึ้นไปถึงในที่สุด มีน้องหมาน่ารักหนึ่งตัวมาต้อนรับ พร้อม ๆ กับ คนเยอะระดับที่น่าจะทำให้เขาถล่มได้ อะ ความรู้สึกเมื่อครู่ที่บอกว่า ผู้คนทำให้สถานที่น่าเที่ยวขึ้นเนี่ย ผมขอเว้นที่นี่ไว้นะ ใครจะแวะมาแนะนำตัวใหญ่ ๆ เลยว่าเลือกวันมาที่คนน้อย ๆ เถอะ
น้องหมาน่ารักมากเลย
แต่ผมก็เข้าใจแหละว่าทำไมคนถึงได้แห่แหนกันมายังสถานที่แห่งความลับริมเขาที่นี่กันเยอะ เพราะนอกจากน้องหมาขนปุยสามตัวที่น่ารักน่าชังแล้ว บรรยากาศรอบกายที่ชวนให้นึกถึงญี่ปุ่นก็เป็นส่วนสำคัญเลยที่คนที่คิดถึงญี่ปุ่นจะต้องโหยหา คนจะเยอะยังไง แต่วิวตรงหน้ากับธีมญี่ปุ่นแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมาได้ แต่มันดันทำให้ผมอยากจะกลับไปญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีกเป็นสามเท่านี่นะสิ!!
อาหารก็สไตล์ญี่ปุ่น ราคาอาจจะสูง แต่ซื้อเพื่อกินกับบรรยากาศแบบนี้ก็คุ้มครับ
จานของเพื่อนดันทำได้น่ากินกว่าซะงั้น ฮ่าๆ
ถึงแม้จะอยู่กันสูงแบบนี้ แต่แดดก็ไม่ปราณีปราศัยเราสักเท่าไหร่ ร้อนแบบไทย ๆ แต่บรรยากาศได้แบบญี่ปุ่น เจอพี่เดรสจัดเต็มเข้าไป ผมถึงกับยืนปรบมือด้วยความชื่นชมในความพยายามมาก ๆ
เจ้าแมวที่มาแย่งชิงพื้นที่นั่งของเพื่อนผม
วิวสวยแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุดเราก็ต้องบอกลาที่นี่ซะแล้ว บ่ายแก่ ๆ มาเยือนเรา ดวงอาทิตย์ตั้งตรงหน้ากำลังจะลับขอบฟ้าอยู่รำไร ลุงขับรถพาเราไปยังสวนกล้วยไม้ อีกหนึ่งสถานที่ไร้ผู้คนที่ผมคิดว่า นี่สิเหมาะ เหมาะแล้วกับการไม่มีคน เราเดินกันไม่นานก็มานั่งคุยถามไถ่ถึงชีวิตกัน นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้คลายมือที่กำไว้แน่นเพราะภาระมากมายตลอดทั้งปี ถึงแม้ว่าแพลนในวันนี้จะไม่มีอะไรพอดิบพอดีเลยสักอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันมานี้ก็คือ เราสนุก สนุกเท่าที่จะสนุกได้ เราเหนื่อย แต่มันคือความเหนื่อยอ่อนที่เราได้อะไรกลับมามากกว่าเงินเดือน อย่างวิวฮวงซุ้ยเมื่อเช้าเนี่ย จะมีสักกี่คนที่มีประสบการณ์มาเจอกันนะ ฮ่า ๆ
กล้วยไม้สวยอยู่นะ อันนี้แนะนำเลยสำหรับสายดอกไม้
ลมเย็นพัดพริ้วผ่านใบหน้าไประหว่างที่ลุงพาเรากลับที่พัก ข้างนอกนั่นดวงอาทิตย์กำลังค่อย ๆ คล้อยต่ำลงมา ฉายแสงแรงกล้าเป็นครั้งสุดท้ายใส่ใบหน้าของพวกเรา ถึงอะไร ๆ จะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ แต่เชียงใหม่วันนี้สอนให้เรารู้ว่า อย่าเห็นแก่ของถูก!!!
ปล. แปะลิงก์ช่วยผู้ประกอบการทิ้งท้ายนะครับ ขอบอกก่อนว่า อะไรหลาย ๆ อย่างที่ได้พูดถึงไป เป็นความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งที่เห็นว่าไม่ดีก็อยากให้ทางร้านปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ผมก็ชื่นชมนะ สู้ ๆ กันทุกคนนะครับ
โฆษณา