Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
SONTHAYA - วิศวกรเรื่องเล่า
•
ติดตาม
11 ม.ค. 2021 เวลา 08:38 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าจากภูดาว EP#2
"The First Letter."
อุทยานแห่งชาติภูดาว... เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันในเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบและสนใจในธรรมชาติ
อากาศไม่หนาวและไม่ร้อนตลอดทั้งปี แต่ที่น่าสนใจคือ ณ ภูดาวแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน อากาศในตอนกลางคืนจะหนาวเย็น และที่สำคัญคือในทุกๆคืน
จะสามารถมองเห็นดวงดาวบนฟ้าได้ด้วยตาเปล่า จึงเป็นที่มาของชื่อภูดาว
ทุกๆอย่างในสถานที่นี้
เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและเหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่น่าแปลกใจที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จักกันเสียเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร
"ค่าเข้า 1 คนกับรถจักรยานยนต์ 1 คัน เท่าไหร่ครับ"
"รวมแล้ว 150 ค่ะ รวมที่จอดรถแล้ว" เจ้าหน้าที่อุทยานตอบ
"ซักครู่นะครับ" เอกควักกระเป๋าเงินที่ใส่ไว้ในกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์
"นี่ครับผม" เอกยื่นเงินให้กับเจ้าหน้าที่อุทยาน
"อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่เลยนะครับ"
"พูดถึงนี่ก็ร้อนนะคะ ปกติไม่ร้อนขนาดนี้ สงสัยเป็นช่วงหน้าร้อนด้วยมั้งคะ"
"สงสัยผมอยู่ในเมืองจนชินละมั้ง" เอกขำเบาๆ แล้วยิ้มให้เจ้าหน้าที่อุทยาน
"เงินทอน 50 นะคะ แล้วก็..มอเตอร์ไซค์ขึ้นได้แค่ชั้นแรกนะคะ"
เจ้าหน้าที่ยื่นเงินทอนให้
"ขอบคุณมากนะครับ" เอกยิ้มให้
"เที่ยวให้สนุกนะคะ" เจ้าหน้าที่ยิ้มกลับ
หลังจากจ่ายค่าเข้าเสร็จ เอกจึงบิดมอเตอร์ไซค์ต่อไปตามทาง
บรรยากาศในอุทยานตอนนี้ รอบๆตัวมีแต่สีเขียวของต้นไม้ชวนให้ความร่มเย็น
เต็มไปหมด มีความเย็นน้อยๆที่ถูกพัดมาตามลม แต่ก็แสงแดดอุ่นๆก็ลอดผ่าน
ช่องว่างระหว่างใบไม้ คอยให้ความอบอุ่นเป็นระยะๆตามทาง
เส้นทางที่ขึ้นไปที่ชั้น 1 ยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ส่วนมากมีแต่ต้นไม้
และยังไม่ชันมากเท่าไหร่ นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมอเตอร์ไซค์ถึง
ขึ้นได้แค่ชั้นหนึ่ง ชั้นต่อๆไปคงจะชันมากกว่านี้แน่ๆ
ถ้าเปรียบเทียบการเดินทางครั้งนี้คือสมุดเล่มหนึ่ง
นี่น่าจะเป็นหน้าแรกที่จะได้เริ่มลงปลายปากกา
...
"แชะ"
เสียงกล้องฟิล์มของเอกดังขึ้น เหมือนว่าเขาจะหยุดรถเพื่อถ่ายอะไรบางอย่าง
"ถึงชั้น 1 ซักที ขับเหนื่อยไม่เบาเลยจริงๆ" เอกบ่นพร่ำ
เอกมาจอดอยู่ข้างหน้าทางเข้าลานกว้างชั้นที่ 1 ทางเข้านี้ถูกสร้างด้วยไม้ และมี
ป้ายติดอยู่ตรงกลางเขียนว่า
"ชั้นที่ 1 จาตุมหาราช"
เอกขับมอเตอร์ไซค์ผ่านประตูนั้นเข้าไปเพื่อไปจอดที่จอดรถ
ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นที่ 1 เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของภูดาว จะมีที่จอดรถ
ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ รวมถึงร้านค้าสวัสดิการที่ขายของกินของใช้ทั่วไป
ที่จำเป็นในการพิชิตเส้นทางแห่งภูดาวอีกหลายชั้นแห่งนี้
และนอกจากนั้นยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ร้านกาแฟสำหรับบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
เวลานี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้า เหล่านักท่องเที่ยวหลายชีวิต ส่วนใหญ่จะมาออกัน
อยู่บริเวณชั้นนี้นี่แหละ หลายคนนั่งกินกาแฟที่คาเฟ่ หลายคนเดินซื้อของที่จำเป็น
และก็มีหลายคนที่พร้อมใจกันแบกเครื่องดื่มสร้างแรงบัลดาลใจ ขึ้นไปสังสรรค์กันข้างบนยอดภู
เอกดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ของเขา ล็อคหมวกกันน็อคไว้กับรถ เตรียมสัมภาระ
และนำเป้ที่แขวนไว้ข้างตัวรถออกมาสะพายที่บ่า ก่อนที่จะนำผ้ามาคลุม
ที่มอเตอร์ไซค์ของเขา
"ไว้เจอกันนะ ลูกรัก"
เอกบอกลาลูกชายตัวเอง ก่อนที่จะเดินเข้าไปที่คาเฟ่กาแฟ เพื่อเพิ่มแรงหลังจาก
ขับมอเตอร์ไซค์มาระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรตลอดช่วงเวลาเช้ามืด ให้ร่างกาย
ฟื้นจากความเหนื่อยล้าเสียก่อน
"แอ้ด..ดด กริ๊งๆ" เอกเปิดประตูร้านคาเฟ่แล้วเดินเข้าไป
"รับอะไรดีครับ" บาริสต้าประจำร้านถาม
"เมนูเยอะใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย เลือกไม่ถูกเลย" เอกพูดพลางก้มสลับกับเงยหน้า
ดูเมนูในร้าน
"ทางร้านเรามีเมนูซิกเนเจอร์เป็น ชาและกาแฟดอกไม้ประจำชั้นครับ
แต่ละชั้นก็จะมีเมนูซิกเนเจอร์ที่ต่างกันไป สำหรับชั้นนี้ ผมแนะนำ
Latté Quadra Shot Gatekeeper ครับ โดยเมนูนี้จะเสิร์ฟเป็นลาเต้ช็อต 4 ช็อต
โดยกาแฟในแต่ละช็อตจะถูกทำขึ้นจากเมล็ดกาแฟที่ต่างกัน
ถูกปลูกขึ้นในสถานที่และผ่านกระบวนการที่ต่างกัน"
"พูดง่ายๆ รสชาติแต่ละแก้วก็จะไม่เหมือนกัน และให้ประสบการณ์การดื่มกาแฟ
ที่แตกต่างกันไป แต่จะกลมกล่อมและเข้ากันได้ดีครับ"
"น่าสนใจนะครับ ถ้าเข้าคาเฟ่ปกติผมจะสั่งชาเขียวตลอด แต่ถ้ามาที่นี่แล้วไม่ได้กิน
เมนู Signature ของที่นี่ มันก็เหมือนมาไม่ถึงที่" เอกกล่าว
"งั้นจัดมาชุดนึงครับ"
เอกหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาและจ่ายเงิน ก่อนที่จะเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่าง
เพื่อรอกาแฟของเขา
เวลาผ่านไปซักครู่
"ขอโทษที่ให้รอนะครับ นี่ครับ" บาริสต้าพูด พร้อมกับวางถาดกาแฟลงบนโต๊ะ
Latté Quadra Shot Gatekeeper
กาแฟทั้ง 4 ช็อต ถูกเสิร์ฟมาบนถาดทรงกลมที่ทำมาจากไม้มาฮอกกานี ให้อารมณ์
วินเทจ สีเข้มๆของไม้มาฮอกกานี ตัดกับสีของกาแฟในแก้วอย่างสวยงาม
และนอกจากนั้น ลาเต้อาร์ตในแต่ละแก้วก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันอีกด้วย
และที่ทำให้เมนูนี้แปลกและเป็นเอกลักษณ์ คือตรงจุดศูนย์กลางของถาด
มีการวางเข็มทิศที่ใช้ได้จริงอยู่บนถาดอีกด้วย
"เมนูนี้ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากองค์เทพทั้ง 4 องค์ ที่คอยปกปักรักษาประตู
สวรรค์ทั้ง 4 ทิศครับ
แก้วที่อยู่ทางทิศเหนือเป็นตัวแทนของท้าวกุเวรที่ทำหน้าที่ปกครองยักษ์
แก้วที่อยู่ทางทิศใต้เป็นตัวแทนของท้าววิรุฬหกที่ทำหน้าที่ปกครองกุมภัณฑ์
แก้วที่อยู่ทางทิศตะวันตกเป็นตัวแทนของท้าววิรูปักษ์ที่ทำหน้าที่ปกครองพญานาค
และแก้วสุดท้าย ทางทิศตะวันออก เป็นตัวแทนของท้าวธตรฐที่ทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์ครับ" บาริสต้าอธิบาย
"ขอบคุณมากนะครับ" เอกพูดกับบาริสต้า
"ขอให้รับประทานให้อร่อยนะครับ" บาริสต้ากล่าวกับเอก
ก่อนที่จะเดินกลับไปที่เคาเตอร์
ควันจากกาแฟค่อยๆลอยขึ้นมาสัมผัสกับปลายจมูกของเอก
"กลิ่นหอมมาก" เอกคิด
กลิ่นที่เอกได้รับคือกลิ่นจากกาแฟ 4 ชนิดที่ผ่านการ Blend เข้ากับดอกไม้ 4 ชนิด
แต่น่าแปลกที่กลิ่นแต่ละกลิ่นกลับไม่ตีกันแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเข้ากันได้อย่าง
น่าตกใจอีกด้วย
เอกยกแก้วแรกขึ้นมา เป็นแก้วที่ถูกวางไว้ที่ทิศเหนือและบรรจงดมกลิ่นอย่างตั้งใจ
"กุหลาบหรอ" เอกคิดก่อนที่จะจิบเล็กๆ
กลิ่นกุหลาบบวกกับกลิ่นกาแฟจากแดนเหนือทำให้รู้สึกถึงความหรูหรา อ่อนโยน
แต่กลับมั่นคงอย่างน่าแปลกใจ
เอกดื่มหมดช็อต
สัมผัสจากกาแฟที่ไหลเข้าลงสู่คอ ทำให้เอกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ลาเต้ร้อนๆ แต่พอกระดกไปกลับทำให้รู้สึกเย็นและผ่อนคลายที่ปลายรสชาติ
ความน่าค้นหาของกาแฟช็อตแรกทำให้เอกไม่รีรอที่จะหยิบแก้วถัดไปทันที
แก้วที่วางไว้ที่ทิศใต้กับกลิ่นหอมของดอกดาวเรืองและเมล็ดกาแฟจากทางทิศใต้
แก้วทางทิศตะวันออกและตก ส่งกลิ่นหอมของดอกมะลิ และดอกแสดสยาม
ส่งผลทำให้กาแฟทั้ง 4 แก้วที่เอกเพิ่งกินเข้าไป ถือได้ว่าเป็นเมนูที่น่าค้นหาที่สุดใน
ชีวิตของเขา
เอกหันไปที่บาริสต้าและยกนิ้วให้
บาริสต้ายิ้มแล้วผงกหัวรับคำชม
"แชะ"
เอกถ่ายบรรยากาศในร้าน ก่อนที่จะออกจากร้านเพื่อเดินทางต่อ
"แอ๊ดดด..กิ๊งๆ"
เอกเปิดประตูและเดินออกผ่านประตูไป
"ทางขึ้นไปชั้นที่ 2 อยู่ไหนนะ" เอกคิดพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหาป้าย
เอกเห็นนักท่องเที่ยวหลายชีวิตกำลังเดินไปตรงทางด้านขวา เหมือนกับเป็นทางเดิน
และมีป้ายเขียนไว้ข้างว่าทางขึ้นชั้นที่ 2
"เอาล่ะ มาลุยกัน"
...
เอกขึ้นมาตามทางเดิน บรรยากาศรอบนอกไม่ร้อนไม่หนาว กำลังเย็นสบายตัว
จากตรงนี้ก็เริ่มมองเห็นบ้านเรือนที่สร้างมาจากไม้ของชาวบ้านตรงตีนเขา
ที่ถูกตั้งไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่ดูสวยงามและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
พระอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนที่มาอยู่ใกล้ศูนย์กลางของท้องนภา
แดดอุ่นๆส่องจากท้องฟ้าลงไปยังพื้นดิน ถึงแดดจะแรงจนพื้นละอุ
แต่น่าแปลกที่ไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อน
ถ้าอยู่ในเมืองคงทะลุ 40 องศาแล้วแน่ๆ
ดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องนภา
ริมข้างทางมีทั้งต้นไม้และสัตว์ป่าตัวเล็กตัวน้อยกำลังเริงระบำอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นกระรอก นก หรือแม้แต่แมลง อย่างผีเสื้อก็ยังออกมาบินเล่น
และเกาะดอกไม้เพื่อลิ้มรสน้ำหวานภายในเกสร
แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ในป่าเป็นอย่างมาก
"บางทีอาจจะดีแล้วก็ได้นะ ที่คนไม่ค่อยรู้จักที่นี่" เอกคิดด้วยความโล่งใจ
"ถ้าที่นี่ดังขึ้นมา เหมือนที่อื่นๆที่ดังๆอย่างภูกระดึงหรือภูทับเบิก
ที่นี่คงไม่เหลือสภาพแบบนี้แน่ๆ" เอกถอนหายใจเฮือกใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างทางก็ไม่ได้มีแค่เอกคนเดียว ก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายคน
ที่เดินนำหน้า และอยู่เดินตามหลังเอก
ระหว่างที่เอกเดิน ก็มีกลิ่นหอมอบอวนลอยมาแตะเบาๆที่จมูกของเขา
เอกรู้ได้ทันทีเลยว่ากลิ่นที่ลอยมาเมื่อตะกี้คือกลิ่นของดอกกุหลาบจากธรรมชาติ
เมื่อเอกเดินไปตามทางเรื่อยๆเพื่อตามหาต้นตอของกลิ่น
กลิ่นที่โชยมาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เอกเดินมา
มีทั้งกลิ่นอ่อนๆของดาวเรือง หรือกลิ่นอุ่นๆของดอกมะลิ ชวนให้มีแรงที่จะเดินต่อ
และสุดท้ายตามมาด้วยกลิ่นที่หวานหยดอย่างไร้ที่ติของดอกแสดสยาม
...
เดินขึ้นเขามาเป็นเวลานานในที่สุดเอกก็เดินมาถึงต้นตอของกลิ่น
ที่โชยมาตลอดทาง
แต่จู่ๆเอกก็นิ่งไป...
...
"ว้าว...." เอกอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า
ภาพที่เอกเห็นคืออุโมงต้นไม้เป็นทางยาวหลายร้อยเมตร ข้างๆทางมีพุ่มดอกไม้
โตอยู่เต็มไปหมด มีทั้งดอกกุหลาบ ดอกดาวเรือง ดอกมะลิ และแสดสยาม
ออกดอกแบบไม่แบ่งแยกกัน สีของดอกไม้ทั้ง 4 ชนิดถึงแม้ว่าจะต่างกัน
แต่มันกลับดูสวย และลงตัวอย่างน่าประหลาดใจ
และยังมีแสงของดวงอาทิตย์ลอดลงมาตามช่องใบไม้ ส่องไปที่พุ่มดอกไม้ ช่วยให้
พุ่มดอกไม้เหล่านั้นเฉิดฉายประกายความงามของธรรมชาติขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
"นี่หรอ ที่เรียกว่าความงามของธรรมชาติ" เอกคิดในใจและยิ้มด้วยความปิติ
เอกไม่รีรอที่จะหยิบกล้องฟิล์มของเขาขึ้นมาถ่ายรูปที่หาดูได้ยาก ตรงหน้าของเขา
"แชะ"
จากนั้นเอกจึงเก็บกล้องใส่กระเป๋าคาดอกของเขาเพื่อที่จะเดินต่อ
ระหว่างที่เอกเก็บกล้องอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ที่เดินตามหลัง
เขาดังขึ้นที่ข้างหลังเขา
"เห็นเขาบอกว่าตรงจุดนี้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้งหมดเลยนะคะ"
เสียงหญิงสาวปริศนาดังขึ้นที่ข้างหลังของเขา
เอกหันไปหาเสียงปริศนานั้น ทั้งๆที่ยังเก็บกล้องไม่เสร็จ
"เห้ย" เอกอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
หญิงสาวอมยิ้มให้กับเอกด้วยความชอบใจ
"ไงเอก ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ" หญิงสาวคนนั้นทักทายเอก
...
"วา..."
...
"มาได้ไงเนี่ย..."
โปรดติดตามต่อใน เรื่องเล่าจากภูดาว EP#3
เขียนโดย เมอร์จินท์
ถ้าชอบหรือไม่ชอบอะไร ฝากติชมด้วยนะค้าบ เพื่อเป็นกำลังใจและ
การพัฒนาในการเขียนในตอนและบทความถัดๆไปนะค้าบ :)
บันทึก
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องเล่าจากภูดาว
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย