20 ม.ค. 2021 เวลา 07:49 • ไลฟ์สไตล์
แชร์ประสบการณ์การออมเงินและการลงทุน
3
นี่คือการเขียนบล็อกแรกของผม ผมอยากจะเขียนเก็บไว้เผื่อมีคนสนใจในเรื่องการเก็บออมและการลงทุน และเผื่ออนาคตผมอาจจะได้เข้ามาอ่านในสิ่งที่ผมได้บันทึกไว้
ตอนนี้ผมอายุ 21 ปี และผมสนใจเรื่องการลงทุนและการออมเงินตั้งแต่เด็กๆ ตอนอายุ14 ปีผมได้เริ่มเล่นหุ้นจากการเล่นผ่านพอร์ตของคุณแม่(เนื่องจากตอนนั้นหลักทรัพย์ไม่ยอมให้เปิดในชื่อตัวเองเพราะอายุยังน้อย) และได้เปิดพอร์ตในชื่อตัวเองตอนอายุ 17 ปี
13
โดยในตอนแรกผมแค่เป็นเด็กที่ชอบออมเงิน เนื่องจากชอบเห็นเงินในบัญชีมีเยอะๆ มันรู้สึกอุ่นใจดี แต่พอต่อมาเรารู้สึกว่าเงินที่เราเก็บไว้ในออมทรัพย์นั้นดอกเบี้ยมันน้อยนิดเหลือเกิน(ไม่ถึง1% ซึ่งปัจจุบันต่ำกว่าอีก) ซึ่งผมเคยฝันว่าในอนาคตอยากมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลในเรื่องเงิน แต่ถ้าเราออมเงินในบัญชีแบบนี้ไปเรื่อยๆกับดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่เราได้รับเราคงไม่พอแน่กับการใช้ชีวิตในแบบที่เราฝัน
ผมจึงคิดว่าเราควรลงทุนอะไรซักอย่างเพื่อที่จะสร้างกระแสเงินสดกลับมาให้เราในอัตราผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์ ซึ่งผมก็พบว่าสิ่งที่จะสามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมาให้เรา มีหลายอย่างมากกว่าการฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ยในธนาคารเฉยๆ เช่น
1
1. ตราสารหนี้เอกชน (หุ้นกู้เอกชน) เหมือนเราไปเป็นเจ้าหนี้ให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีเครดิตเรตติ้งของแต่ละบริษัทที่จะทำการออกหุ้นกู้ ยิ่งเครดิตเรตติ้งสูง(ความน่าเชื่อถือสูง) จะยิ่งได้รับผลตอบแทนน้อยแต่ก็จะเสี่ยงน้อยกว่า โดยปกติจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3-5% ต่อปี
4
2. อสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อคอนโดเพื่อมาปล่อยเช่า โดยปกติจะได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าประมาณ 6% ต่อปี แต่ก็มีความเสี่ยง เพราะบางช่วงเราอาจหาผู้เช่าไม่ได้แต่เรายังมีภาระต้องจ่ายค่าส่วนกลางอยู่
3. หุ้น โดยสิ่งที่จะได้รับผลตอบแทนจากหุ้นมี2ทาง คือ ส่วนต่างราคา และ เงินปันผล โดยส่วนต่างราคาหุ้นจะมาจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกระดานซื้อขายซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นจะประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น งบการเงินของกิจการ ข่าวที่กระทบต่อการดำเนินงานของกิจการ(แม้จะยังไม่ได้กระทบกับการดำเนินงานแต่ราคาหุ้นก็อาจจะเคลื่อนไหวตามข่าวไปแล้ว) ปัจจัยทางกราฟเทคนิค เช่นหลุดแนวรับทางกราฟที่สำคัญทำให้มีคนขายตามๆกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง และ อารมณ์ของตลาด เช่นต่อให้หุ้นของเราไม่ได้มีข่าวร้ายอะไรแต่วันนี้ Set index -50 จุด หุ้นเราก็อาจลบตามไปด้วยได้
โดยในส่วนของเงินปันผลจะได้รับจากส่วนแบ่งกำไรที่บริษัททำได้ตามนโยบายที่บริษัทกำหนดว่ากี่% ของกำไรสุทธิหลักหักเงินสำรองต่างๆแล้ว แปลว่าโดยส่วนใหญ่ยิ่งกิจการทำกำไรได้ดีขึ้นก็จะมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลมากขึ้น โดยปกติตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทน 8-10% ต่อปี แต่แน่นอนว่าหุ้นบางตัวอาจจะให้ผลตอบแทนมากกว่านั้น และบางตัวก็อาจจะแย่กว่านั้นเช่นเดียวกัน
4
4.คริปโต จริงๆโลกของคริปโตนอกจากการเทรดยังมีระบบที่สร้างผลตอบแทนอีกมาก เช่น การทำ yield farming ในโลกของ Defi ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20-200% ต่อปี แต่ความเสี่ยงก็มีค่อนข้างมากสำหรับคนที่อ่านโค้ดใน smart contract ไม่เป็นควรลงทุนผ่านเพียงแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น pancake swap, Uniswap (แต่ตอนนี้ Ethereum chain ค่า gas แพงมาก bsc จะถูกกว่า)ใครที่สนใจควรลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ
5
โดยในตอนที่ผมอายุ 15 ปี ผมมีเงินออมไม่ได้เยอะมากนักถึงแม้ผมจะชอบเก็บเงินแต่เนื่องจากเงินที่ผมเก็บก็เก็บมาจากค่าขนมที่ได้รับจากคุณแม่ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนที่เยอะมากพอจะกระจายการลงทุนหลายๆสินทรัพย์ได้(ซึ่งถ้าเงินลงทุนเรามีเยอะพอเราควรกระจายการลงทุนในหลายๆสินทรัพย์นะครับหรืออาจลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ได้)
1
ผมจึงเลือกที่จะเริ่มลงทุนในหุ้นเนื่องจากการซื้อหุ้นกู้ส่วนใหญ่ต้องมีเงินขั้นต่ำ 100,000 บาท ยิ่งเป็นการลงทุนในคอนโดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำเป็นหลายแสนจนถึงหลักล้านด้วยซ้ำ ส่วน Defi ในตอนนั้นก็ยังไม่มี(Defi เป็นทางเลือกใหม่ที่พึ่งมาเพียงไม่กี่ปี) และบิทคอยน์ในตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ทำการศึกษา(8ปีที่แล้ว BTC ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าในปัจจุบัน)
5
โดยการลงทุนในหุ้นทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆมากมายไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์งบการเงิน รวมถึงการดูกราฟทางเทคนิค และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเข้ามาเรียนเอกการบัญชีในปัจจุบันด้วย
ทริคในการสร้างแรงผลักดันในการออมเงินของผม คือการคิดว่าเราออมเงินด้วยสินทรัพย์ (ในกรณีของผมในตอนเริ่มคือหุ้น แต่ในปัจจุบันพอร์ตผมกระจายไปหลายสินทรัพย์) ซึ่งเงินออมของเราจะสร้างผลตอบแทนคืนให้แก่เรา มันทำให้รู้สึกสนุกและอยากออมมากกว่าการออมเงินผ่านบัญชีธนาคารอย่างเดียวในตอนเด็กๆ เพราะการออมผ่านหุ้นสมมุติหุ้นตัวนั้นให้ปันผลกับเราประมาณปีละ 4% ผมจะรู้สึกว่าทุกครั้งที่ออมได้ 10,000 บาทเท่ากับเราจะได้ปันผลต่อปีแล้วปีละ400 บาท ถ้า100,000 ก็ 4,000 ถ้าหนึ่งล้านก็ 40,000 บาทนี่ยังไม่นับส่วนต่างราคาที่อาจได้เพิ่มอีกถ้าเราเลือกบริษัทที่เติบโตดี
12
โดยสุดท้ายผมอยากฝากคนที่อยากจะลงทุนหรือออมเงินแต่ยังทำไม่สำเร็จซักที ว่าอย่าผลัดวันแต่ให้เริ่มลงมือทำและศึกษาหาความรู้เลย อย่ากลัวการล้มเหลว ให้คิดไว้ว่ายิ่งเราเริ่มได้ก่อนคนอื่นเท่าไหร่เราก็จะได้เปรียบคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น และอย่าคิดว่าตัวเราเก่งที่สุดเราต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าตัวเราเก่งมากๆ คือเราหยุดพัฒนาตัวเองไปขั้นหนึ่งแล้ว เรามั่นใจในตัวเองได้มันเป็นเรื่องที่ดีแต่เราต้องพร้อมเปิดรับความรู้ใหม่ๆเข้ามาด้วย แล้วมันจะทำให้เราเป็นคนที่พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
14
โฆษณา