Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
21 ม.ค. 2021 เวลา 01:23 • นิยาย เรื่องสั้น
1.5. มิตรภาพสามขุนศึก
สามทหารเสือ - อ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยน โจโฉ
รัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ปีที่ยี่สิบเอ็ด เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ฮ่องเต้มีพระพลานามัยอ่อนแอ ป่วยไข้ใกล้ถึงวาระสุดท้าย จนสุดวิสัยที่หมอหลวงจะจัดการได้แล้ว ถึงกับยอมเรียกตัวหมอชื่อดังอย่างเตียวตงจิง มาช่วยฝังเข็มต่ออายุขัย แต่ก็ไร้วี่แววว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิมแล้ว กลับทำให้ชื่อเสียงหมอเทวดาเสื่อมถอยไปด้วย
กระแสการเมืองในราชสำนักจึงแตกแยกเป็นสองข้างอย่างชัดเจน ฝั่งขุนนางสายบู๊มีสมุหกลาโหมโฮจิ๋น ผู้บัญชาการกองทัพพยัคฆราช ผลักดันให้เล่าเปียนผู้มีศักดิ์เป็นหลานชาย ขึ้นครองราชย์ต่อ โดยมีโฮฮองเฮาให้การสนับสนุน ส่วนฝั่งขุนนางสายบุ๋นมีสมุหนายกอองอุ้นกลับสนใจเล่าเหียบซึ่งเป็นลูกศิษย์สายตรง โดยมีตั๋งไทเฮา และตั๋งโต๊ะแห่งกองทัพหมีทมิฬช่วยเหลือ ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีกองกำลังทางทหารในมือไม่แตกต่างกันมากนัก แม้ว่าความสัมพันธ์อาจจะดูทับซ้อนกันอยู่
แกนนำของแต่ละขุมกำลังใหญ่ย่อมเข้าใจในหลักการสร้างสมดุลย์อำนาจ และรับรู้บทบาทของตนเอง จึงสงวนท่าที รั้งรอเพียงวันเวลาและจังหวะการลงมือที่ส่งผลดีต่อตัวเอง ทุกเรื่องราวไม่อาจรีบร้อนจนเกินไป ตามพิชัยยุทธ์โบราณที่่ว่า “เตรียมปัจจัยให้พร้อมชนะเสียก่อน จึงค่อยรบ มิใช่ สู้รบพร่ำเพรื่อ เพียงเพื่อแสวงหาชัยชนะในบั้นปลาย”
ทุกฝ่ายยังล่วงรู้ความจริงที่ภายในกองกำลังของตน อาจยังมีคลื่นใต้น้ำแฝงตัว จารชนไส้ศึกภายในกลุ่มเป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้น และยังมีขุมกำลังลับที่ไม่เปิดเผยตนเองรอคอยจังหวะอยู่อีกด้วยเช่นกัน
…
อันที่จริง ความขัดแย้งระหว่างขุนนางนายทหารกับเหล่าขันทีเกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว นับตั้งแต่กษัตริย์เลนเต้เปิดทางให้อดีตขันทีสี่แผ่นดินโจโก๋เข้ามาก้าวก่ายการงานในราชสำนัก จนกลุ่มขันทีรุ่นต่อมากลายเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ทั้งที่ขันทีก็มีทั้งดีและชั่วปะปนกัน เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนในวงราชการเอง
อย่างเช่น เรื่องราวของ"สามขุนพลห่วงสัมพันธ์” โลติด จูฮี ฮองฮูสง ถูกพิษการเมืองเล่นงานกระทันหัน สามขุนพลนำกองทัพพยัคฆราชบุกรุกเข้าพระราชวังอย่่างมีเงื่อนงำ จึงปะทะกันเองกับกององครักษ์วังหลวงจนแกนนำบางคนบาดเจ็บล้มตาย ขุนพลทั้งสามล้วนหายสาบสูญ กองกำลังทหารทั้งสองกลุ่มเสื่อมโทรม เปิดทางให้สมุหกลาโหมโฮจิ๋นขึ้นมามีอำนาจทางการทหารเต็มรูปแบบ
เนื้อหารายละเอียดการนองเลือดครั้งนั้นเป็นเช่นใด แม้แต่คนในแวดวงราชการยังไม่อาจล่วงรู้กระจ่าง เพียงแต่สันนิษฐานว่า เป็นฝีมือการร่วมมือกันของเหล่าขันทีทั้งสิบ และนายทหารคนสำคัญบางคน แต่ที่แน่นอนก็คือ ความเข้มแข็งของขุนนางสายกลางลดน้อยลงไปในทันที เพราะสืบเนื่องจากผลกระทบในครั้งนั้น ทำให้สมุหกลาโหมโฮจิ๋นสูญเสียขุนพลสำคัญก็จริง แต่ได้ควบคุมอำนาจของกองทัพใหญ่ทั้งสองกองพล นั่นคือ กองทัพพยัคฆราช และกองทัพหมีทมิฬ
เป็นที่รับรู้กันว่า ในยุคสมัยกษัตริย์เลนเต้นั้น กองทัพถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือกองทัพพยัคฆราชที่ได้รับการฝึกปรือในรูปแบบดั้งเดิมที่ถ่ายทอดกันมา เน้นการใช้อาวุธเฉพาะตัว มักจะถูกขุนพลใหญ่โลติด จูฮี นำออกไปสู้รบปกป้องแผ่นดิน และส่วนที่สองคือกองทัพหมีทมิฬที่ตั้งขึ้นใหม่ และอยู่ในความดูแลของสมุหกลาโหม เพื่อรองรับการฝึกปรือการรบตามยุทธวิธีแบบใหม่ๆ เป็นการฝึกใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ผสมผสานกับกระบวนทัพ
ยกตัวอย่าง ช่วงต้นราชวงศ์ฮั่น เหล่าทหารยังใช้ม้าศึกพร้อมบังเหียนไม้เป็นสำคัญ เพราะน้ำหนักเบา เหมาะกับม้าพันธุ์พื้นเมือง แต่พอผ่านพ้นมาระยะหนึ่ง ชาวจีนเปิดศึกกับพวกชนเผ่านอกด่านบ่อยครั้ง จึงพบเห็นได้ว่า ม้าศึกฝ่ายตรงข้ามทนทานแข็งแกร่งกว่า และแบกรับบังเหียนโลหะผสมได้ ทำให้สายพันธุ์อาชาจากต่างแดน โดยเฉพาะแถบดินแดนซีอวี้ กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น และเปลี่ยนโฉมหน้าพาหนะหลักของกองทัพไปในทันที เป็นต้น
ล่าสุด ม้าศึกที่ใช้ทั้งบังเหียนโลหะ และหุ้มเกราะแบบดินแดนหลัวหม่า กลับกลายเป็นพาหนะในฝันของขุนศึกในยุคสมัยนี้แทน แต่ม้าศึกต้องแข็งแกร่งทนทานอย่างมากจึงแบกรับน้ำหนักมหาศาล ทำให้ดินแดนทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ เช่น เสเหลียง กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเพาะเลี้ยงม้าศึกให้กับกองทัพ
ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พึ่งพาความรู้วิชาการทางฝั่งตะวันตกมาเทียบเคียง เช่น บันไดเมฆ หอคอยไม้เลื่อน เสาซุงกระแทก เป็นต้น ที่ทำให้กลยุทธ์การทำสงครามพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ขุมกำลังใดที่ไม่เปิดใจรับรู้ข่าวคราว ทดลองเลียนแบบ ย่อมจะล้าหลัง และพ่ายแพ้ได้ง่าย แต่หากฝ่ายใดติดตามเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ จึงจะเท่าทันทัดเทียม ไม่เสียเปรียบต่อข้าศึกจนเกินไป
ขุนพลตั๋งโต๊ะ เป็นคนที่มีความสามารถด้านการจัดทัพ และคุ้นเคยกับการรับฟังข่าวสารการทหาร เสนอแนวทางการพัฒนากองทัพแบบใหม่ให้กลายเป็นนักรบที่มีประสิทธิภาพสูงได้ในระยะเวลาอันสั้น จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากกลุ่มนายทหารในวงกว้าง จึงได้รับการคัดเลือกมาเป็นลูกน้องคนสนิทของโฮจิ๋น ผู้ซึ่งโชคดีได้บารมีของน้องสาวที่เป็นฮองเฮาหนุนนำ และภายหลัง ตั๋งโต๊ะยังถูกส่งไปประจำการณ์ที่เมืองเสเหลียงอันวุ่นวายด้วย
ปกติ ขุนพลใหญ่โลติด พี่ใหญ่ในสามขุนพลห่วงสัมพันธ์ ดูแลกองทัพพยัคฆราช ในขณะที่สมุหกลาโหมคนใหม่โฮจิ๋นดูแลกองทัพหมีทมิฬ จึงเป็นคานกำลังกันตามปกติ แต่พอสิ้นโลติดทั้งสามไปอย่างกระทันหัน สายทหารจึงเกิดสูญญากาศ กษัตริย์เลนเต้ได้แต่ส่งมอบกองทัพพยัคฆราชให้กับโฮจิ๋นรักษาการไว้ก่อน ทำให้สภาวะสมดุลย์ทางการทหารสูญเสียไป อำนาจเบ็ดเสร็จทางการทหารขึ้นอยู่กับสมุหกลาโหมโฮจิ๋นเพียงคนเดียวแล้ว
ยังดีที่ขุนพลโฮจิ๋นกับตั๋งโต๊ะยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น สานต่อภารกิจการปราบขบถพรรคฟ้าเหลืองจนจบสิ้น แล้วตั๋งโต๊ะและกองทัพหมีทมิฬก็ถูกส่งให้ไปประจำการณ์ที่เมืองเสเหลียงเสียเลย ทางหนึ่งเพื่อกำจัดพรรคโจร ถ่วงดุลย์อำนาจชนเผ่านอกด่าน ทางหนึ่งเพื่อยึดครองสมรภูมิ และบ่มเพาะม้าศึก แต่นั่นก็ทำให้โฮจิ๋นจึงมีข้ออ้างในการครอบครองกองทัพพยัคฆราชเอาไว้ต่อไป
…
ขั้วอำนาจที่สาม จึงเป็นกลุ่มสิบขันที ซึ่งยึดครองอิทธิพลวังหลวงมานาน สามารถสั่งการกลุ่มองครักษ์วังหลวงได้ด้วย และมีบทบาทในการเลือกข้างตัดสินใจอย่างมาก หากหัวหน้าคนใหม่เตียวเหยียงแสดงตนสนับสนุนต่อฝ่ายใด ย่อมทำให้่ฝ่ายนั้นมีเปรียบในการชิงอำนาจในทันที เพราะทหารองครักษ์แต่ละคนล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แม้จำนวนจะลดทอนลงจากเหตุการณ์สามขุนพลบุกวังหลวง
หากแต่กลุ่มขันทีหลังจากยุคโจเท้งคนดังกลับมีชื่อเสียงที่ไม่ดีเท่าไรนักในสายตาขุนนางนายทหาร การยุ่งเกี่ยวด้วยอาจทำให้ภาพพจน์โดยรวมย่ำแย่ลงโดยใช่เหตุ เป็นเพราะกลุ่มอำนาจใหม่ก่อมรสุมความยุ่งเหยิงปั่นป่วนภายในราชสำนักบ่อยครั้ง สร้างความสับสนวุ่นวายในการทำงาน จนบรรยากาศการเมืองอึมครึม คล้ายจะมีการเคลื่อนไหวก่อการใหญ่ในไม่ช้า
ระยะหลัง เหล่าขันทีภายใต้การนำของเตียวเหยียงที่เคยญาติดีต่อกัน เหมือนยิ่งขัดแย้งกับสมุหกลาโหมโฮจิ๋นบ่อยครั้ง จนฮ่องเต้เลนเต้และโฮฮองเฮาต้องเป็นคนไกล่เกลี่ยอยู่เนืองๆ แต่ความบาดหมางค่อยๆกลายเป็นรอยร้าวที่ยากจะประสานคืนเสียแล้ว ซึ่งอาจจะตรงใจของตั๋งไทเฮาที่ต้องการดึงกลุ่มขันทีไปเป็นพวก
กษัตริย์เลนเต้สุขภาพทรุดโทรม ป่วยไข้เรื้อรัง ในที่สุดก็สวรรคตด้วยมิได้แต่งตั้งรัชทายาทอย่างเป็นทางการ แต่ไม่คาดคิดว่า เตียวเหยียงกับโฮจิ๋น คู่ขัดแย้งขาประจำ กลับคิดเห็นตรงกันที่จะยกให้ เล่าเปียน ทายาทคนโตขึ้นครองราชสมบัติแทน สร้างความประหลาดใจให้กับฝ่ายที่สนับสนุนเล่าเหียบในหมากกลครั้งนี้
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า ใครกันที่ประสานให้สองขั้วอำนาจหันมาจับมือก่อการใหญ่ร่วมกันในวินาทีสุดท้าย หรือว่า เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงละครคั่นเวลาฉากหนึ่งเท่านั้น
…
ราตรีในนครหลวงลกเอี๋ยง โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งที่ชื่อ "สุขสำราญ"แห่งนี้ ทุกวันมักคราคร่ำไปด้วยนายทหาร ขุนนาง และคหบดีผู้มีอันจะกินทั้งหลาย แวะเวียนกันมานั่งดื่มสุรา พูดคุยเรื่องราวกันอยู่เสมอๆ ด้วยแรงดึงดูดของสุราชั้นดี อาหารเลิศรส และหญิงสาวที่สวยสะคราญ แต่ยามนี้ กลับมีเพียงผู้คนในเครื่องแบบประปรายเท่านั้นที่กล้าออกมาใช้บริการในค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ เพราะสถานการณ์การเมืองที่ยังอึมครึมจากการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
ลูกค้ามีอยู่ไม่กี่โต๊ะ กระจายกันนั่งตามปกติ แต่กลับมีนายทหารหนุ่มใหญ่วัยสามสิบเศษสามคน นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องใหญ่ เหมือนไม่สนใจผู้อื่น ไม่เรียกหาสาวงาม แต่กำลังดื่มกินอย่างหนักเหมือนให้มันลืมโลก หรือให้โลกลืมมัน
เสียงทุ้มหนักของนายทหารคนหนึ่งดังขึ้น "มา มา โจโฉ ซุนเกี๋ยน มาดื่มให้เมามาย พรุ่งนี้ ท่านซุนเกี๋ยนก็จะย้ายออกไปทำงานต่างเมืองแล้ว ไม่รู้อีกนานสักเพียงไร จึงจะได้กลับมาพบกันอีก"
"ท่านอ้วนเสี้ยวก็กล่าวเกินไป ข้าเพียงรับคำสั่งท่านสมุหกลาโหมโฮจิ๋นให้ยกทัพใหญ่ไปปราบปรามหัวเมืองทางใต้เป็นการชั่วคราวในฐานะผู้ตรวจการแผ่นดินเท่านั้น เมื่อเสร็จศึกแล้ว ก็คงใช้เวลาสักพักในการจัดระเบียบการปกครองให้กลับเข้าร่องเข้ารอย เช่นเดียวกันกับที่ขุนพลตั๋งโต๊ะทำไว้กับเมืองเสเหลียง เผื่อว่า อาจจะมีลู่ทางดีๆให้ข้าทำอะไรได้บ้างในอนาคต" นายทหารร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มนามซุนเกี๋ยนกล่าวตอบ
มันเป็นนายทหารสายนักรบที่ดุดันห้าวหาญ โผงผาง ตรงไปตรงมา แต่ก็เป็นคนเจ้าระเบียบมากคนหนึ่ง มันจัดการฝึกสอนลูกๆทุกคนด้วยตนเองอย่างเข้มงวด ร่วมกับครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียง จนเป็นเรื่องเล่าขาน ยกย่องเกี่ยวกับพ่อลูกตระกูลซุน โดยเฉพาะลูกชายคนโต ลูกพยัคฆ์น้อย ซุนเซ็กที่กำลังเป็นคุณชายงามสง่าที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบทั้งบู๊ทั้งบุ๋นในสังคมเมืองหลวง
"ท่านซุนเกี๋ยนเดินทางไปไกล อาจมีโชคดีต่อการสร้างชื่อเสียงให้เกรียงไกร ได้ยินว่าหัวเมืองทางใต้อุดมสมบูรณ์ หากใครได้ครอบครองไว้ ย่อมมีหนทางสดใส ส่วนท่านอ้วนเสี้ยวเองก็มีพื้นฐานตระกูลขุนนางเก่าอันยิ่งใหญ่อยู่ทางเหนือ อิทธิพลแผ่ออกไปไกลถึงนอกด่าน ผู้ใดก็ยากจะตามทัน มีเพียงเรา โจโฉ ที่ต้อยต่ำ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ช่างน่าละอายนัก" นายทหารร่างเล็กไว้หนวดเครายาว นาม โจโฉ กล่าวเสียงราบเรียบ
มันเป็นนายทหารสายเสนาธิการที่มีฝีมือพอตัว แต่โดดเด่นในเรื่องการบริหาร และกลศึกสงคราม จนสมุหกลาโหมโฮจิ๋นเคยยกย่องชมเชยอยู่บ่อยๆ แม้ว่าตำแหน่งงานของคนทั้งสามไม่ได้ด้อยกว่ากันเลยก็ตาม หากแต่เรื่องชาติตระกูล เงินทอง และชื่อเสียงนั้น มันก็ยังไม่อาจเทียบทันกับเพื่อนอีกสองคน
เพราะความที่ โจเท้ง ขันทีห้าแผ่นดิน ปู่บุญธรรมผู้ล่วงลับ คนที่ผลักดันให้มันเข้ามารับราชการนั้น เป็นขันทีอาวุโสที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนัก โดยเฉพาะในยุคกษัตริย์ฮวนเต้ จนบางคนเปรยว่า มันเป็นเพียงสะพานเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มขันทีกับกลุ่มขุนนาง ได้ดีขึ้นมาเพราะมีเส้นสายการเมือง แต่ก็มีอีกหลายคนหวาดระแวงในเบื้องหลังของมันอยู่บ้าง
"เอาเถอะ เราคือสามทหารเสืออยู่ในสังกัดท่านโฮจิ๋น สมุหกลาโหม ผู้นำทางทหารที่กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดในกองทัพด้วยผลงานการปราบกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองจนราบคาบ และผลักดันให้หองจูเปียนขึ้นเป็นฮ่องเต้เซ่าเต้ แทนพระเจ้าเลนเต้ที่เพิ่งจะสวรรคตไปไม่นานนี้ แต่พวกเรากินเที่ยวกันมาก็เนิ่นนานนับสิบปี ราวกับเป็นพี่น้องกัน โดยที่คำสาบานพี่น้องต่างแซ่เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระของพวกเจ้าเล่ห์จอมปลอมเท่านั้น เราสามนี่สิ จึงเป็นของจริงที่จะไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน หวังว่าในภายภาคหน้า พวกเราคงจะได้ค้ำจุนกันเพื่อสร้างชื่อ สร้างอนาคตให้เกรียงไกรไปด้วยกัน มา เชิญดื่ม" นายทหารคนแรกนาม อ้วนเสี้ยวกล่าวสรุป
มันเป็นนายทหารสายข่าวกรองที่มีเชื้อสายขุนพลใหญ่ตระกูลอ้วน ตระกูลใหญ่ที่ค้ำจุนแผ่นดินมาหลายสมัย มีเครือข่ายพรรคพวกทางเหนือที่เป็นปราการสำคัญเชื่อมโยงกับพวกชนเผ่านอกด่านมาโดยตลอด จึงค่อนข้างมีน้ำหนักในวงการข้าราชการอย่างมาก แม้แต่โฮจิ๋นเองยังต้องเกรงใจ ทำให้ทายาทวัยหนุ่มอย่างอ้วนถำ อ้วนฮี จึงพลอยถูกยกย่องเยินยอ จนไม่เห็นผู้อื่นในสายตา กลายเป็นคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่เย่อหยิ่งเกินไปทั้งคู่
…
นอกจากคุณชายอ้วนถำ อ้วนฮี ทายาทของอ้วนเสี้ยว และซุนเซ็ก ลูกคนโตของซุนเกี๋ยนแล้ว ในเมืองหลวง ยังมีจิวยี่ บุตรชายของจิวจง เจ้าเมืองลกเอี๋ยงคนล่าสุด โดนรวมเรียกเป็นสี่ยอดคุณชายที่เพียบพร้อมด้วยศักดิ์ศรีฐานะ และหน้าตาคมคาย เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง
อันที่จริงแล้ว โจงั่ง ลูกชายคนโตของโจโฉก็สมควรถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มคุณชายได้อยู่ หากแต่เป็นเพราะมันยังไม่ได้อยู่อาศัยในเมืองหลวงเป็นประจำ หรือเป็นเพราะบิดาที่มีประวัติความเชื่อมโยงอยู่กับขันที ถึงขั้นเปลี่ยนแซ่สกุลตามกัน จาก “แฮหัว” เป็น “โจ” ก็ยากจะคาดเดา โจงั่งจึงไม่ติดอันดับเหมือนกับลูกคนอื่นๆ
ส่วนสาวงามนั้นกลับเพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นในภายหลัง ซึ่งตำแหน่งตกเป็นของ ซัวบุ้นกี ลูกสาวของราชบัณฑิตซัวหยง และ สองสาวไต้เกี้ยว เสียวเกี้ยว ของเจ้าพ่อวงการค้าเกียวชวน รวมเรียกเป็นสามยอดดรุณีเช่นกัน
ยังมีสาวงามอีกคนหนึ่งที่ถูกกีดกันออกจากทำเนียบเช่นกัน นั่นคือนางเปียนสี เดิมชื่อเสียวม่าน นางคณิกาขายเสียงแห่งบ้านดอกไม้แดง แต่ด้วยความที่มีฐานะต้อยต่ำ จึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกันกับโจงั่งผู้อาภัพ
การจัดอันดับเช่นนี้ ปกติเป็นการเยินยอต่อผู้เป็นพ่อแม่ที่เป็นคนมีอิทธิพล หรือมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น อ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยน จิวจงล้วนมีตำแหน่งราชการก้าวหน้า และเกียวชวนก็เป็นพ่อค้าใหญ่ที่ร่ำรวยมั่งคั่ง คงมีแต่ราชบัณฑิตซัวหยงที่ทั้งยากจน ทั้งด้อยอิทธิพล แต่ได้รับการยกย่องเพราะความเป็นครูผู้สอนที่มีลูกศิษย์มากมายให้ความนับถือ แทบจะทัดเทียมกับสมุหนายกอ้องอุ้นนั่นเอง
…
"ท่านกล่าวมากเกินไปแล้ว เดี๋ยวเราสองไปต่อกันที่บ้านดอกไม้แดง ออดอ้อนสาวงามเมืองกันดีกว่า ปล่อยให้ท่านซุนกลับไปกอดร่ำลาอาซ้อ และลูกๆก่อนเดินทางเถิด" โจโฉหยอกล้อใส่ซุนเกี๋ยนสหายสนิท
“ข้านึกว่าท่านจะรีบไปหาแม่นางสองเกี้ยว สาวน้อยคนดังข้างบ้านของข้าเสียอีก แต่ไม่แน่ว่า ครั้งนี้ ท่านอาจจะพ่ายศึกรักต่ออ้วนถำ อ้วนฮี ลูกของท่านอ้วนเสี้ยว หรือ ซุนเซ็ก ลูกคนโตของข้าในครานี้ สามคนนั่นมันยังอยู่ในวัยรุ่นสิบห้าสิบหกปีด้วยกันทั้งนั้น น่าจะถูกคอกับสองสาวน้อยมากกว่าคนที่มีครอบครัวแล้วยังทำตัวเป็นโสดอย่างท่านดอก” ซุนเกี๋ยนชิงดักคอบ้าง
“ศึกรบข้าอาจจะยังไม่เชี่ยวชาญนัก แต่ศึกรักข้าไม่ยอมน้อยหน้าใครเป็นแน่ อย่าว่าแต่เด็กน้อย ลูกของพวกท่านเลย” โจโฉเริ่มมีอารมณ์ เมื่อถูกพาดพิงถึงสองสาวที่หมายปองอยู่ หากสองเกี้ยวนี้มิใช่ลูกสาว เกียวชวน เจ้าพ่อวงการค้า ผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง ป่านนี้ มันคงได้ใกล้ชิดสนิทสนมไปนานแล้ว
"เวลาเท่านั้นคือบทพิสูจน์" อ้วนเสี้ยวยกถ้วยสุราขึ้นตัดบทสนทนาที่ดูจะไม่สิ้นสุด
…
และแล้ว ทั้งสามก็เดินซวนเซออกจากโรงเตี๊ยมสุขสำราญ แยกย้ายกันไปคนละทาง อ้วนเสี้ยวและซุนเกี๋ยนต่างก็กลับไปหาครอบครัวของตนเอง มีแต่โจโฉที่คล้ายยังคาใจจากบทสนทนา ประกอบกับมันอยู่ในเมืองหลวงตามลำพัง ครอบครัวยังอยู่อาศัยที่เมืองอื่น จึงเปลี่ยนเส้นทางตรงไปยังด้านหลังบ้านของราชบัณฑิตนาม ซัวหยง ลอบพบกับบุตรีสาวสวยนาม ซัวบุ้นกีอย่างคนคุ้นเคย
การแอบย่องเข้าบ้านของราชบัณฑิตเลื่องชื่อย่อมง่ายกว่าคฤหาสน์ของเจ้าพ่อคนดัง และทุกครั้งที่โจโฉมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ แม่นางซัวบุ้นกีที่เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆ ทั้ง การแต่งโคลงกลอน การวาดภาพ และการดนตรี จะทำให้มันคลายทุกข์ใจ และหายปวดหัวได้ทุกครั้ง และอย่างน้อย นางก็เป็นหนึ่งในสามยอดดรุณีแห่งเมืองลกเอี๋ยงที่มีใจให้แก่มันโดยไม่รังเกียจเรื่องวัยที่แตกต่างกันมาโดยตลอดด้วย
คงจะจริงดังคำอวดอ้างของโจโฉแล้ว นอกจากไต้เกี้ยว เสียวเกี้ยว แม่นางสองเกี้ยว บุตรสาวของมหาเศรษฐีเกียวชวนที่มันไปพัวพันแย่งชิงความรักกับคุณชายอ้วน คุณชายซุนแล้ว มันยังมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหญิงงามมากความรู้อย่างซัวบุ้นกีในรูปแบบที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะซัวหยงผู้คร่ำครึ คงยากจะยอมรับความจริงในเรื่องนี้ได้ และมันก็ไม่อยากทำให้ซัวบุ้นกีลำบากใจเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว มันมีภรรยาอยู่ก่อนแล้วถึงสามคน คนแรกคือเต็งสี ภรรยาที่มันไม่เคยรัก แต่แต่งเข้ามาเพราะการจัดการของโจโก๋ ผู้เป็นบิดาที่มักจะมีปัญหาสุขภาพอยู่เนืองๆ จึงต้องการลูกสะใภ้มาคอยดูแลใกล้ชิดที่บ้านนอก
ภรรยาคนที่สองคือ เล่าสี คนที่มันรักชอบมาตั้งแต่เด็ก แต่น่าเสียดายที่หลังจากนางคลอดโจงั่งแล้ว กลับป่วยไข้จนตายไปด้วยโรคภัย ซึ่งโจโฉเชื่อว่าเป็นฝีมืออำมหิตของนางเต็งสี แต่ก็ยอมให้แม่ใหญ่เป็นคนที่เลี้ยงดูโจงั่งมาตั้งแต่ยังเล็ก
ยังมีนางเปียนสีคนดัง หรือเสียวม่านก็เป็นภรรยาคนที่สามที่ตนเองรักชอบเช่นกัน แต่นางก็ไม่อาจอยู่ในเมืองหลวง ก็เพราะแต่เดิมนางเคยเป็นนางคณิกาขายเสียงที่ได้รับการไถ่ตัวออกมานั่นเอง ทำให้มันต้องปกปิดเรื่องราวของนางไว้จากลูกค้าเก่า จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ขึ้นเมื่อสองปีก่อน จึงส่งนางกลับไปอยู่ที่บ้านนอก เพื่อเลี้ยงดูโจผี ลูกคนรองที่คลอดออกมาภายหลัง จึงเป็นโอกาสให้โจโฉใช้ชีวิตชายโสดในเมืองใหญ่อีกครั้ง ศึกรักของโจโฉนับว่ายุ่งเหยิงยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ค่ำคืนนี้ก็คือการพบกันเพื่อลาจากของสามผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี่เอง อ้วนเสี้ยวแห่งภาคเหนือ โจโฉแห่งแดนกลาง และซุนเกี๋ยนแห่งเมืองใต้ สามขุมกำลังสำคัญในเหตุการณ์ชิงแผ่นดินหลังกลียุคนั่นเอง
...
บุรุษวัยกลางคน แต่ผมขาวโพลน รูปร่างบอบบางในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่ห่างออกไปในมุมมืด หันมามองเงาหลังของทั้งสามที่กำลังจากไปอย่างเงียบงัน พลางรำพึงขึ้นในใจ “สุมาเต๊กโชเอย เจ้าช่างโชคดีนักที่ได้มาพบกับขุนศึกสามคนนี้ น่าสนใจยิ่งนัก ในเมื่อตัวก่อกวนอย่างพรรคฟ้าเหลืองจบสิ้นแล้ว ต่อไป ขุนนางกับขันที คงถึงเวลาที่จะหักล้างกันเองจนย่อยยับไปทั้งสองฝ่าย เพียงแต่เตียวเหยียงกับโฮจิ๋นไม่น่าใช่คนมีความสามารถโดดเด่นกระไร ต่อไปภายหน้า แผ่นดินฮั่นจะเป็นเช่นไร คงต้องขึ้นอยู่กับคนทั้งสามนี้แล้วกระมัง”
มันย่อมล่วงรู้ว่า คนทั้งสามคือตัวหลักสำคัญที่วางแผนให้เกิดเหตุการณ์สามขุนพลใหญ่บุกวังหลวงเมื่อหลายปีก่อน และการแต่งตั้งฮ่องเต้คนใหม่ครั้งล่าสุด อ้วนเสี้ยวรอบรู้เรื่องราว ซุนเกี๋ยนจัดการกองพล และโจโฉคือตัวเชื่อมประสานขั้วอำนาจ ไม่อาจขาดใครสักคน หัวหน้าสายข่าวกรอง หัวหน้าสายนักรบ และหัวหน้าสายเสนาธิการ หากร่วมมือกัน ศัตรูหน้าไหนเล่าจะต้านทานได้อีก
มันคือ สุมาเต๊กโช บัณฑิตสายเต๋าที่แสวงหาความสันโดษเพียงเปลือกนอก ที่จริงแล้ว มันก็มีพลังฝีมือสูงส่ง แต่สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ มันคิดว่าการใช้พลังฝีมือไต่เต้านั้น เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ มันควรจะหาทางช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินแทนกษัตริย์ฮั่นที่อ่อนแอด้วยวิธีการแทรกซึมและทำลายล้างขั้วอำนาจต่างๆเสียก่อนจะดีกว่า แม้ว่าแผนการที่มีความมั่นคงและยั่งยืนกว่าพวกจอมทัพผู้โง่เขลาทั้งหลายนี้ อาจจะต้องอาศัยเวลาหลายสิบปีก็ตาม มันก็ไม่รีบร้อนที่จะลงมือให้ตกเป็นเป้าโจมตีจากขุมกำลังรอบด้านเสียเปล่าๆ
ในมุมมองของมันแล้ว สงครามการชิงอำนาจทางการเมืืองระหว่างขุนนางนายทหารกับขันทีคงใกล้จะถึงจุดแตกหักในไม่ช้า แต่ไม่่ว่าฝ่ายใดจะทำสำเร็จ สิ่งที่ตามมาก็คือความแตกแยกจากหัวเมืองสำคัญต่างๆ คล้ายคลึงกับยุคสมัยเลียดก๊กที่บั้นปลายแล้ว รัฐบาลกลางไม่อาจสร้างความยอมรับนับถือจากนครรัฐต่างๆ ทำให้ราชวงศ์โจวคงอยู่ แต่ไม่่มีความร่วมมือที่จริงใจจากหัวเมืองรอบนอกเลย
ภาพที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นสงครามชิงดินแดนระหว่างเจ้านครผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ ใครเข้มแข็งจะอยู่รอด ใครอ่อนแอจะถูกกลืนกิน ดังนั้น การเปิดตัวในที่แจ้งเร็วเกินไป ย่อมจะเป็นเป้าหมายให้ถูกโจมตีโดยง่ายจากศัตรูที่มีอยู่รอบด้าน
แผนการของมันจึงเป็นการกระจายลูกสมุนเข้าไปแทรกซึมในขุมกำลังสำคัญต่างๆ ซึ่งกลุ่มที่มันให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ ฝ่ายรัฐบาลที่อาจจะเป็นนายทหารหรือขันที ผู้ชนะศึกชิงอำนาจในครั้งนี้ และตั๋งโต๊ะแห่งเสเหลียง ผู้ครอบครองกองทัพหมีทมิฬอันเกรียงไกร ส่วนสามขุนศึกเบื้องหน้านี้ สมควรจะเป็นตัวแปรสำคัญในกองทัพพยัคฆราชอย่างแท้จริง
หากเปรียบวิถีราชสีห์อันห้าวหาญนั้นเป็นดั่งเป้าหมายพร้อมให้ถูกโจมตีจากรอบด้าน วิถีจิ้งจอกอันลี้ลับจึงเหมาะสมต่อสถานการณ์แย่งชิงหลายฝ่ายเช่นนี้ รอจนจังหวะปัจจัยให้พร้อม แล้วลงมือให้สำเร็จในคราวเดียว
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 1 - มัจฉากลางวารี
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย