21 ม.ค. 2021 เวลา 01:40 • นิยาย เรื่องสั้น
1.6. คำทำนายในอดีต
เตียวก๊ก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง - ตั๋งโต๊ะ ขุนพลหมีทมิฬ - สุมาเต๊กโช อาจารย์คันฉ่องวารี
สุมาเต๊กโชนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต เด็กน้อยสามคนจากต่างที่มา คนหนึ่งคือทายาทผู้ห้าวหาญของคนดังแซ่เตียวในอดีต คนหนึ่งเป็นลูกหลานคนกล้าของคหบดีมีชื่อเสียงแถบชายแดน และอีกคนหนึ่งคือเด็กมากปัญญาจากตระกูลใหญ่แดนไกล ถูกนำตัวมาเป็นลูกศิษย์แบบเหนือความคาดหมาย
คำกล่าวที่ว่า เหนือความคาดหมาย เนื่องจากท่านอาจารย์ใช้วิชาล่องหนหายตัว โผล่ขึ้นที่กลางบ้าน คว้าตัวคนที่หมายตา แล้วโยนเพียงจดหมายแจ้งความนัยให้ทราบว่า ต้องการเวลาห้าปี อบรมสั่งสอนเด็กน้อยให้เป็นคนพิเศษในอนาคต ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการบังคับลักพาตัวมาก็คงไม่ผิด
เพียงแต่สามตระกูลดังกล่าวมิใช่คนธรรมดาสามัญ พอคุ้นเคยกับความพิลึกพิสดารของโลกมนุษย์มาพอควร จึงตระหนักว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องดี ขึ้นกับบุญวาสนาของแต่ละคน ทำให้พอยอมรับทำใจกันได้ และตัวเด็กน้อยเองก็มีความเฉลียวฉลาดหนักแน่น พอที่จะรับรู้ได้ว่า นี่คือ วาสนา มิใช่ วิบากกรรม
เวลาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว สมัยที่พวกมันกำลังจะลาจากสำนัก ศิษย์พี่ใหญ่ เตียวก๊ก ศิษย์พี่รอง ตั๋งโต๊ะ และศิษย์คนสุดท้ายคือตัวมันเอง เข้าไปร่ำลาท่านอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อรับฟังคำทำนายที่มีผลกระทบต่อพวกมันในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ภาพของอาจารย์ที่เป็นหนุ่มใหญ่ในชุดผู้วิเศษวัยสามสิบเศษ กับ หนุ่มน้อยวัยเกือบยี่สิบปีรวมสามคน ปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง
ท่านอาจารย์ไร้ชื่อผู้นี้ มีบุคลิกท่าทางราวกับเซียนผู้วิเศษที่เล่าขานกันในตำนาน ความเป็นมาเร้นลับยิ่งนัก ใช้เวลาไม่กี่ปีในการนำมันทั้งสามมาสั่งสอนวิทยายุทธ์ชั้นสูงร่วมกันเป็นพื้นฐาน และเพิ่มเติมวิชาพิเศษให้ติดตัวไปคนละด้านตามความถนัดเฉพาะตัว พี่ใหญ่ เตียวก๊กฝึกฝนเวทมนตร์รักษาโรค พี่รองตั๋งโต๊ะเรียนรู้รูปแบบการจัดการทัพ ส่วนตัวมันตีความกลยุทธ์การวางแผน
ท่านอาจารย์มองดูใบหน้าลูกศิษย์ทั้งสามด้วยสีหน้าเรียบเฉยผ่อนคลาย ราวกับเซียนผู้หลุดพ้นกิเลสทั้งปวง พร้อมกับกล่าวคำทำนายก่อนลาจาก ดังนี้
“เตียวก๊ก เจ้าคือ ตัวแทนของความร่ำรวย (ฮก) ต่อไป เจ้าจะมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ แต่จงอย่าแสวงหาอำนาจ เพราะเจ้าอาจจะตายไปด้วยพิษภัยของมัน จงรับตำราเวทมนต์รักษาโรคชุดนี้ไปช่วยเหลือราษฎร จงอย่าคิดอ่านเป็นใหญ่โดยเด็ดขาด” อาจารย์กล่าวพร้อมส่งตำราเล่มบางให้ “เมื่อท่องจำได้หมดแล้ว จงทำลายทิ้ง อย่าเก็บไว้ให้เป็นเภทภัยแก่ตัวเอง”
“ตั๋งโต๊ะ เจ้าคือ ตัวแทนของเกียรติยศ (ลก) ต่อไป เจ้าจะมีอำนาจมากมายกว่าผู้ใดในใต้หล้า หากแต่ ชีวิตเจ้าอาภัพนัก เพราะต้องไร้สิ้นผู้สืบเชื้อสาย ควรอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้คู่ไร้บุตรจึงจะดี จงจำไว้ กระบี่เล่มนี้จะเป็นทั้งมิตรและศัตรูที่เจ้าควรระวัง” อาจารย์กล่าว พร้อมส่งกระบี่เนื้อดีให้ “จงใช้กระบี่ฟ้าสังหารเล่มนี้ให้เกิดคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินเท่านั้น”
“ส่วนเจ้า สุมาเต๊กโช คือ ตัวแทนของอายุยืนยาว (ซิ่ว) ต่อไป เจ้าจะมีชีวิตอยู่เนิ่นนานกว่าผู้อื่น และมีลูกหลานที่ประเสริฐ เป็นใหญ่เหนือกว่าตัวเจ้าเองหลายเท่านัก จงรักษาสุขภาพเพื่อคอยอบรมดูแลลูกหลาน อย่าคิดอ่านเพื่อตนเอง เพราะวาสนาเจ้าไม่เหมาะสมจะครอบครองมัน และที่สำคัญคือ ทั้งสมบัติและบริวารจะเป็นพิษภัยหวนกลับมาทำร้ายเจ้าเอง” อาจารย์กล่าวพร้อมส่งม้วนหนังสือไม้ไผ่ให้ “เพียงตำราพิชัยสงครามของซุนจื้อ ยอดนักกลยุทธ์ยุคเลียดก๊กทั้งสามสิบหกข้อนี้ ก็เพียงพอสำหรับเจ้านำไปใช้ได้ไม่หมดสิ้นแล้ว”
“หากเจ้าทั้งสาม ฮก ลก ซิ่ว สามารถอยู่ร่วมกันได้ คงเป็นสุดยอดพลังอันยิ่งใหญ่ค้ำจุนแผ่นดินราชวงศ์ฮั่นไปได้อีกเนิ่นนานแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก” อาจารย์กล่าวทิ้งท้าย ขณะที่ร่างกายค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าของศิษย์ทั้งสาม พร้อมวาดนิ้วเป็นรูปคล้ายนกกระเรียน “แต่ปล่อยให้เวลาเป็นบทพิสูจน์พวกเจ้าเถิด”
หลังจากการจากไปของอาจารย์นิรนามนั้นแล้ว ศิษย์หนุ่มทั้งสามก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตที่ตนวาดไว้ แม้ว่าแต่ละคนจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นสูงของสายงานที่แผ้วทางไว้ด้วยความอุตสาหะ แต่ก็นับว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และความผูกพันที่มีต่อกันในช่วงห้าปีที่อยู่ร่วมกันนั้นก็จืดจาง ราวกับสายลมที่พัดผ่านเลยไป
แน่นอนว่า ลูกศิษย์ทั้งสามย่อมไม่รู้ว่า อาจารย์ไร้ชื่อเสียงของพวกตนนั้น ก็คือคนคนเดียวกันกับเซียนผู้วิเศษที่โด่งดังแห่งหุบเขาหวงห้ามทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของแผ่นดินฮั่น ผู้ที่เคยเล่นบทบาทเป็นเซียนปริศนา ผู้มอบคำทำนายให้กับจิ๋นซีฮ่องเต้ในอดีต และกษัตริย์ฮวนเต้เมื่อไม่นานมานี้
ที่จริงแล้ว มันมิใช่เซียนผู้วิเศษแต่อย่างใด มันเพียงมีฉายา ผู้วิเศษกระเรียน อันดับสองแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ สมาชิกคนเดียวที่ต้องเดินทางล่วงหน้ามาก่อนคนอื่น เพื่อวางรากฐานแผนงานให้กับโครงการสามก๊กในครั้งนี้
ด้วยความสามารถในศาสตร์ต่างๆทำให้ตัวมันกลมกลืนกันกับยุคสมัยโบราณได้โดยง่าย เคลื่อนไหวได้อย่างไร้ร่องรอย จัดการเรื่องราวต่างๆได้อย่างง่ายดายเหนือชั้น เกินกว่าคนโบราณจะตามได้ทัน จนภายหลัง มันเริ่มดูแคลนผู้คนบ่อยครั้ง และเกิดความรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างจนแทบจะทนทานไม่ได้แล้ว
พอเสร็จภารกิจแรกเริ่มที่สร้างบุคคลสำคัญในพงศาวดารทั้งสามคนแล้ว มันก็ออกเดินทางตระเวนไปทั่วทั้งแผ่นดิน เพื่อรวบรวมตำราโบราณ ตัวยาสมุนไพร และทรัพย์สิ่งของสำหรับไว้ใช้งาน และออกไปทำความรู้จักกับชนเผ่านอกดินแดน เพื่อเสริมสร้างอิทธิพล และกองกำลังฉุกเฉินให้กับพรรคพวกในอนาคต
เนื่องจากประวัติศาสตร์ระบุไว้ตรงกันว่า เจ้าเมืองสำคัญทั้งหลายจะแตกแยกกัน แต่ละคนล้วนมีความสัมพันธ์กันทางการเมืองทั้งทางแจ้งและทางลับ คนฝ่ายมันสมองของหน่วยจึงมีความคิดเห็นตรงกันที่จะให้สร้างความสัมพันธ์กับพวกชนเผ่านอกด่านไว้ล่วงหน้า เผื่อว่า สักวัน อาจจำเป็นต้องใช้กำลังพลพิเศษเข้าช่วยเหลือในภารกิจสำคัญเป็นการลับ
ตัวมันมีเวลาเหลือเฟือ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพียงแต่รู้สึกเดียวดายอยู่บ้าง ยังดีที่มันได้ค้นพบสิ่งย้อมใจให้ผ่านวันเวลาเหล่านี้ไปได้ เป็นสุราอันเลิศรส และ หญิงสาวอันงดงาม สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ชาติในสมัยโบราณที่มันเปิดใจยอมรับได้ แต่คนอื่นอาจจะยากที่จะยอมรับในพฤติกรรมเช่นนี้ มันจึงได้แต่ต้องปกปิดการกระทำเหล่านี้ไว้ไม่ให้ผู้ใดรับรู้
“คนทุกคนล้วนมีจุดอ่อนซุกซ่อนอยู่ สุรานารีเป็นเพียงเครื่องเล่นผ่อนคลายอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่บทสรุปสุดท้ายเท่านั้นเป็นการพิสูจน์ผลงานของตัวเรา” ผู้วิเศษกระเรียนคิดเห็นเช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
เตียวก๊ก ศิษย์คนโต กลับไปอาศัยอยู่กับครอบครัวสกุลเตียวในเมืองเสเหลียง ได้ศึกษาตำราเวทมนต์รักษาโรคร่วมกันกับน้องชายอีกสองคน และออกช่วยเหลือราษฎรตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัดในเบื้องแรก
ผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ คนเจ็บป่วยแนะนำกันเป็นทอดๆ ด้วยเป็นยุคสมัยที่ขาดแคลนแพทย์ที่มีฝีมือ พอนานเข้า เตียวก๊กก็เริ่มมีทรัพย์สินเงินทองหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย จึงเปิดเป็นสำนักแพทย์ และโรงทาน เพื่อรองรับทั้งผู้ป่วย และคนทุกข์ยากได้พักพิงอาศัย จนยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน แม้แต่ผู้เฒ่าเตียวตงจิง หมอเทพยดามีชื่อ ยังต้องแวะเวียนเข้ามาพบปะพูดคุยด้วย
ปณิธานของหมอผู้เฒ่าก่อนตายคือการก่อตั้งโรงเรียนการแพทย์เพื่อเพาะสร้างหมอที่มีฝีมือให้กระจายกันออกไปช่วยเหลือผู้คนตกยากให้ได้มากที่สุด แต่การเรียนรู้เรื่องการแพทย์ โดยเฉพาะการฝังเข็มเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนเกินไป ทำให้ลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่ามีไม่มากนัก และน้อยคนจะบรรลุถึงขั้นที่ใช้งานจริง
บทสนทนาช่วงสั้นๆระหว่างสองสหายต่างวัยนั้นเองที่ทำให้เตียวก๊กมุ่งมั่นเผยแพร่วิชาของตนออกไปให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ตำราอาคมรักษาโรคที่ได้รับมานั้นมีหลากหลายบทตอน มันจึงยินยอมถ่ายทอดบทพื้นฐานง่ายๆให้กับสานุศิษย์ เพื่อนำไปใช้รักษาผู้คน และแยกย้ายออกไปก่อตั้งสำนักแพทย์ได้ในท้องถิ่นห่างไกลเป็นจำนวนมากมาย โดยมีหมออาวุโสเตียวตงจิงเป็นผู้ช่วยสนับสนุนด้วยอีกแรงหนึ่ง
จนวันวานผ่านไป เมื่อสำนักแพทย์มีสานุศิษย์มากขึ้นในหลากหลายหัวเมือง เตียวก๊กคลุกคลีกับความทุกข์ยากลำบากมานาน กลับทนดูชะตากรรมราษฎรไม่ได้ ละเลยคำทำนายของอาจารย์ ริเริ่มปรับเปลี่ยนจากสำนักแพทย์ให้เป็นพรรคฟ้าเหลือง ระดมผู้คนมาเข้าร่วมเพื่อล้มล้างราชวงศ์ฮั่น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคสงครามชิงแผ่นดินอันยาวนาน
อันที่จริงก็ไม่อาจตำหนิเตียวก๊กเสียทีเดียว เนื่องด้วยความใจอ่อนของบรรพบุรุษของมันเอง ที่ทำให้แผ่นดินเดือดร้อนปั่นป่วนมานานปี หากบรรพบุรุษนาม เตียวเหลียง กล้าตัดสินใจร่วมก่อการขบถกับแม่ทัพฮั่นสินชิงความเป็นใหญ่มาจากจอมทัพเล่าปังในครั้งนั้น ป่านนี้ ราชวงศ์ฮั่นคงสิ้นสูญไปแล้ว ไม่ได้อยู่สร้างความเลวร้ายต่อประชาชนถึงปานนี้
แต่ด้วยจุดเปลี่ยนครั้งนั้น ท่านบรรพบุรุษเตียวเหลียงและครอบครัวของมันต้องหลบหนีซ่อนตัวจากการตามล่าของพวกแซ่เล่ามาโดยตลอด ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับผู้ใด จนต้องอาศัยอยู่ในเมืองชนบทชายแดนเรื่อยมาจนความตึงเครียดในเรื่องตระกูลถูกลืมเลือนกันไปตามกาลเวลา แต่ครานี้ คงถึงคราวที่คนสกุลเตียวต้องทวงบัลลังก์คืนจากคนแซ่เล่าเสียแล้ว
ส่วนตั๋งโต๊ะศิษย์คนรอง กลับบ้านเกิดเมืองเสเหลียงเช่นกัน อาศัยฐานะการเงินของคหบดีผู้พ่อ ผลักดันตัวเองเข้ารับราชการเป็นขุนนางนายทหาร อาศัยหลักการทำศึก และกระบี่ฟ้าสังหารที่อาจารย์มอบให้นั้น สร้างความดีความชอบตามลำดับด้วยกระบวนทัพที่แยบยลพิสดาร ผนวกกับภายหลัง ได้รับการส่งเสริมจากตั๋งไทเฮา ผู้มีศักดิ์เป็นอา ทำให้ก้าวหน้าในวงราชการได้อย่างรวดเร็ว จนขนานนามว่า นายพลหมีทมิฬ ตามรูปร่างที่ท้วมใหญ่ และได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นถึงมือขวาของสมุหกลาโหมโฮจิ๋น นายทหารคนสำคัญแห่งแผ่นดิน
ในขณะที่สามขุนพลห่วงสัมพันธ์ โลติด จูฮี ฮองฮูสง สร้างชื่อมีผลงานการปราบขบถฟ้าเหลืองได้หลายกลุ่มหลายเมือง โฮจิ๋นก็พยายามถ่วงดุลย์อำนาจทางทหารด้วยการวางแผนส่งตัวมันมาเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง เมืองเกิดตัวเองซึ่งกลับกลายเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งทางทหาร ทั้งการต่อสู้กับพรรคฟ้าเหลือง และมักมีเหตุกระทบกระทั่งกับชนเผ่าตี เผ่าเกี๋ยงอยู่เนืองๆ เพื่อสร้างผลงานของกองทัพสายหมีทมิฬให้เป็นที่ปรากฏขึ้นบ้าง
การสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับพวกชนเผ่าท้องถิ่นนั้น ไม่ใช่ปัญหายากเย็นสำหรับมันที่เป็นคนบ้านเดียวกันมาก่อน และเป็นเลือดผสมระหว่างชาวฮั่นกับชาวอูหวนนอกกำแพงใหญ่ ประสบการณ์ในวัยเด็กทำให้มันล่วงรู้สิ่งที่พวกชนเผ่าต้องการเรียกร้องมาโดยตลอด ดังนั้น เพียงมันเปิดช่องทางการค้าให้พวกชนเผ่ามีที่หยัดยืน สามารถค้าขายแลกเปลี่ยนสัตว์เลี้ยง และสิ่งของตามระบบการค้าขายบนเส้นทางทะเลทรายใหญ่ (เส้นทางสายไหม) ที่เคยมีมานาน จึงทำให้มันได้รับการยอมรับจากพวกกลุ่มชนเผ่าอย่างรวดเร็ว
ส่วนพรรคฟ้าเหลืองนั้นกลับผิดแผกแตกต่างกัน เพราะเป็นเรื่องปัญหาทัศนคติทางการเมือง จึงมีแต่ต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่า ผู้ก่อตั้งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอง แต่ในเมื่อเส้นทางความก้าวหน้าเกิดขัดแย้งกันเช่นนี้ มันจึงปกปิดความสัมพันธ์นั้นเอาไว้เป็นความลับ และยิ่งโจมตีเข้าใส่พรรคฟ้าเหลืองอย่างไม่ออมมือ ซึ่งงานนี้ มันย่อมได้เปรียบกว่ามากนัก เพราะเป็นวิถีทางถนัดของมันอยู่แล้ว มันจึงกลายเป็นศัตรูอันดับต้นๆของพรรคฟ้าเหลืองอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริง สองศิษย์ร่วมสำนักเคยลอบติดต่อกันเป็นการลับมาแล้วหลายครั้ง แต่ด้วยความที่แต่ละคนมีปณิธานและภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน ทำให้บทสนทนามักจะลงเอยด้วยความขุ่นเคืองใจมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันยิ่งเพาะบ่มเป็นความเคียดแค้นชิงชัง จนมิอาจแก้ไขได้ด้วยสันติวิธีแล้ว
คงมีเพียงสุมาเต๊กโชที่คล้ายปลีกวิเวก ตระเวนไปทั่วแผ่นดินในฐานะนักปราชญ์สันโดษสายเต๋า ทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการของครอบครัว ทั้งร่อนเร่พเนจรสะเปะสะปะ แต่ได้แสดงถึงความรอบรู้ที่กว้างขวาง และพบพานประสบการณ์แปลกใหม่ จนได้รับฉายานาม อาจารย์คันฉ่องวารี
“คันฉ่องวารี” ย่อมบ่งบอกถึงภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของเจ้าของสมญานาม คันฉ่องหรือกระจกคือผู้ที่สะท้อนความเป็นจริงให้กระจ่างชัด วารีคือความลึกล้ำสุดหยั่งคาดของปัญญา จนแม้กระทั่งกลุ่มนักวิชาการชั้นแนวหน้ายังต้องให้การยกย่องนับถือต่อบัณฑิตมีชื่อเสียงผู้นี้
แต่แท้จริงแล้ว ขณะที่มันเดินทางไกลทั่วใต้หล้านั้น มันก็สำรวจศึกษาชัยภูมิพื้นที่สำคัญ วาดแผนที่จุดสำคัญไว้ และใช้อิทธิพลทางปัญญา สร้างเครือข่ายลับแบบจารชนขึ้นมานานหลายปี เพื่อให้แทรกซึมไปยังจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่น่าจะเป็นจุดพลิกผันให้มันขึ้นสู่จุดสูงสุดได้เมื่อมีโอกาส หรือ ทำลายล้างผู้ที่มาขวางเส้นทางในอนาคตของมัน แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเบาแรงกว่ามาก
ผลงานครั้งล่าสุดของมันมีเพียงแค่อ้างชื่ออาจารย์เซียนผู้วิเศษแต่งจดหมายลับสองฉบับ คล้ายเป็นหนังสือแจ้งให้มาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกัน ฉบับหนึ่งส่งไปยังศิษย์พี่ใหญ่ เตียวก๊ก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง อีกฉบับส่งไปยังศิษย์พี่รอง ตั๋งโต๊ะ แม่ทัพต่อต้านขบถ เพื่อล่อให้เสือร้ายสองตัวออกจากถ้ำมาพบกันในที่แคบ หากฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ ย่อมเป็นโอกาสให้มันลงมือซ้ำเติม
มันจึงแอบติดตามมากำกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยตนเอง อาศัยยาพิษแทรกแซงให้คนทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตาย จัดฉากให้เป็นการทำร้ายกันเอง จนหลงเหลือเพียงแค่สองพี่น้องร่วมสำนักที่กำลังห้ำหั่นกันถึงขั้นสุดท้ายใกล้จะแพ้ชนะอยู่แล้ว
แต่ผิดคาดที่มีนักรบหน้าใหม่สามคนโผล่เข้ามาแทรก ทำให้มันต้องลงมือลอบทำร้ายเตียวก๊กจนบาดเจ็บสาหัส แต่เตียวก๊กก็ได้รับการช่วยเหลือจากลูกสมุนได้ทันเวลา และยังสามารถหนีรอดไปจนได้ ส่วนตั๋งโต๊ะก็พลอยได้นักรบทั้งสามเป็นองครักษ์คุ้มครองตัวกลับไป โดยที่มันไม่กล้าเผยโฉมออกมาลงมือเองในครั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า เตียวก๊กตายแล้ว พรรคฟ้าเหลืองก็สิ้นสูญ ส่วนคนอย่างตั๋งโต๊ะคงอยู่ได้ไม่นาน “ตั๋งโต๊ะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ใกล้ตายแล้ว แต่ขุนศึกหนุ่มทั้งสามที่เพิ่งจากไปต่างหาก จะเป็นหมากสำคัญ รุ่นต่อไปในอนาคต” ความคิดของสุมาเต๊กโชโลดแล่นไปถึงกลยุทธ์ทั้งสามสิบหกประการในม้วนตำราอีกครั้ง
แม้แต่สุมาเต๊กโชยังพลาดที่ไม่ได้นำสามนักรบหน้าใหม่ นาม เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย มาอยู่ในหมากกระดานของตนเองตั้งแต่เริ่มแรก จนเกือบทำให้สูญเสียผลงานชิ้นสำคัญไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะว่ากล่าวได้เต็มปาก เพราะเล่าปี่ กวนอูที่พบเห็นในยามนั้น ยังไม่ได้รับการขัดเกลา จึงไม่ใช่ผู้กล้าที่โดดเด่น และ “เตียวหุย” ก็ยังอยู่ในขั้นปิดบังตัวตน ไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงอีกด้วยต่างหาก
...
ด้านหลังผนังกำแพงของโรงเตี๊ยมสุขสำราญ คล้ายดั่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น เงาร่างของชายหนุ่มวัยเกือบสามสิบ มองดูความเคลื่อนไหวของสามขุนศึก และหนึ่งนักปราชญ์ผ่านทางช่องลับด้วยท่าทางที่ครุ่นคิด “การปรากฎกายของปราชญ์ใหญ่อย่างสุมาเต๊กโช ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพียงมันจับตาแอบมองอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด หรือว่า มันมิใช่เป็นเพียงคนสายเต๋าธรรมดาอย่างที่คนเล่าขานกัน”
หนุ่มใหญ่ในชุดนักศึกษาซอมซ่อ นั่งรอจนแน่ใจว่าไร้ผู้คนภายนอกแล้ว ค่อยเปิดช่องลับ เดินออกมาสำรวจที่นั่ง และลักษณะการกินดื่มของสุมาเต๊กโชอย่างละเอียด มันแอบยินดีที่ก่อสร้างโรงเตี๊ยมที่มีห้องลับเช่นนี้ขึ้น จึงมีโอกาสได้รู้เบาะแสสำคัญมากมายในเมืองหลวง ซึ่งมันก็ชมชอบที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่มาซุกซ่อนตัว เก็บเกี่ยวข้อมูล และศึกษาพฤติกรรมของบุคคลสำคัญอยู่เนืองๆ
“เห็นที ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับพี่ใหญ่ เผื่อว่าจะได้ช่วยกันสังเกต และระวังขุมกำลังลับที่แอบซ่อนตัวอยู่เสียแล้ว” มันคิดในใจตามวิถีของจารชนที่คอยระวังภัยให้กับพรรคพวกของตนเอง
หนึ่งลับ หนึ่งแจ้ง สมดุลย์แห่งปฏิบัติการของบรรพชน แนวทางที่ใช้ได้ดีมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย “พี่ใหญ่” ในที่นี้ เป็นเพียงสรรพนามที่เรียกหาผู้นำของตระกูลอย่างยกย่อง ไม่จำเป็นว่ามันผู้นั้นจะมีอาวุโสสูงกว่าคนผู้นี้แต่อย่างใด
หากแต่ข้อมูลในครั้งนี้ อาจจะทำให้ใครบางคนต้องจากไปก่อนเวลาอันสมควร ช่างน่าเสียดายนัก
นายทหารหนุ่มใหญ่ย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมสุขสำราญอีกครั้ง เป็นซุนเกี๋ยน หัวหน้าสายนักรบแห่งกองทัพ พอดีได้พบเห็นนักศึกษาชุดซอมซ่อกำลังสำรวจโต๊ะอาหารในมุมอับนั้นอยู่ แต่ไม่ได้หยุดเท้า กลับเดินผ่านไปยังช่องลับในห้องส่วนตัวด้านข้าง จนสักครู่หนึ่ง นักศึกษาค่อยตามเข้ามารายงานเหตุการณ์ที่พบเห็นเมื่อครู่
“แสดงว่า สุมาเต๊กโชแอบสังเกตดูพวกข้าอยู่เช่นนั้นหรือ” ซุนเกี๋ยนที่เปลือกนอกเป็นนักรบที่ดุดันห้าวหาญ ตรงไปตรงมา แต่ที่จริง กลับเป็นบุคคลมีความคิดลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน “เจ้ารู้เรื่องราวอะไรของมันบ้าง”
“พี่ใหญ่ ปราชญ์เต๋าคนนี้อาจจะกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์กว่าคนที่เรารู้จัก มันเหมือนคนที่ระมัดระวังตนอยู่ตลอดเวลา ยากจะหาจุดอ่อนได้ แต่ข้าขอเวลารวมรวบข้อมูลเพิ่มเติมก่อน ค่อยรายงานให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง” นักศึกษาชุดซอมซ่อกล่าว
ซุนเกี๋ยนจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้า จากชายหนุ่มอนาคตสดใสกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ อาจจะเป็นเพราะความล่มสลายทางจิตใจกับเหตุการณ์เก่าก่อน หรือความผิดพลาดจากการฝึกปรือใช้วิชาพิสดาร มันจึงตบบ่าเบาๆเพื่อให้กำลังใจต่อกัน “ลำบากเจ้ายิ่งนัก หลายปีที่ผ่านมา เจ้าดูเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆนะ”
“ข้าทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ตระกูลเราต้องกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และความแค้นของข้า สมควรได้รับการชำระอย่างสาสมใจ” นักศึกษาหนุ่มทำตาลุกวาว น้ำตาหลั่งไหลไม่อาจอดกลั้น “พี่ใหญ่ วันนี้ ข้าพบตัวการที่ทำให้เมียข้าตายแล้ว เป็นโจโฉ ที่แท้เป็นเพราะมันเคยหายหน้าจากวงราชการไปพักใหญ่ ทำให้ข้าค้นหามันไม่พบ เป็นมันที่จับกุมตัวข้าไว้ จนไม่อาจไปตามหมอตำแยมาช่วยทำคลอดให้เมียข้า สองชีวิตที่ตายไปในวันนั้น คือ ผลงานที่มันกระทำเอาไว้”
ซุนเกี๋ยนอึ้งไปเล็กน้อย จึงได้แต่กล่าว “เพียงรอคอยอีกสักนิด โจโฉอาจจะยังมีประโยชน์ต่องานของพวกเรา ตอนนี้ โครงข่ายในเมืองหลวงมั่นคงดีแล้ว ท่านซินแสก็เพิ่งเดินทางล่วงหน้าไปทางใต้ ข้าเชื่อว่า ดินแดนกังตั๋งนั้น สมควรเป็นที่มั่นสำคัญให้เราได้ รอคอยให้งานใหญ่จบสิ้นก่อน ค่อยลงมือแก้แค้นกับมันให้สาสม น้องเรา ฝากดูแลครอบครัวของข้า และเรื่องราวทางนี้ไว้ด้่วย”
นักศึกษาชุดซอมซ่อพยักหน้า ปล่อยให้พี่ใหญ่ซุนเกี๋ยนเดินจากออกไปก่อน ค่อยหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อ เป็นผ้าปักสีแดงที่มีลวดลายค้างคาวสีทอง สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ของที่ระลึกก่อนตายของภรรยาของมันเอง
ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนปรากฏขึ้น ตัวมันยังเป็นนักศึกษาหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งความรู้ความสามารถ เพียงรอคอยการตัดสินใจจากท่านผู้นำตระกูลว่า สมควรให้มันดำเนินชีวิตในรูปแบบเช่นไร จึงใช้เวลาผ่านไปในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นสุขกับเมียสาวที่ใกล้คลอดเต็มทีในเมืองหลวงแห่งนี้
ค่ำคืนที่เกิดเหตุร้าย เมียสาวร่ำร้องปวดท้องตามประสาคนใกล้คลอดทั่วไป มันจึงรีบตรงไปตามหมอตำแยที่เคยบอกกล่าวนัดหมายกันเอาไว้ หากแต่ยามนั้น เมืองหลวงมีกฏระเบียบเข้มงวดขึ้น ไม่ให้ผู้คนเดินทางในยามวิกาล จึงถูกนายทหารตรวจการหนุ่มหน้าใหม่เรียกทหารให้จับตัวไว้ไต่สวน และเฆี่ยนตีทำโทษ เสียเวลาไปหลายชั่วยามอย่างเปล่าประโยชน์
กว่ามันจะหลุดพ้นจากที่คุมขัง และกลับถึงบ้านพร้อมกับหมอตำแยก็สายเกินไปแล้ว เมียรักขาดใจตายไปด้วยความเจ็บท้องคลอด พร้อมกับทายาทคนแรกของมัน ชีวิตที่เคยเต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ความเชื่อมั่น จึงเริ่มตกต่ำลงด้วยความหม่นหมอง เจ็บช้ำทางจิตใจ ท่ามกลางความกังวลระคนความสงสารของคนในตระกูลใหญ่
แต่หลายปีต่อมา ท่านผู้นำตระกูลยังคงเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถ ส่งเสริมให้มันได้กลับมาร่วมทำภารกิจสำคัญกับซุนเกี๋ยน ญาติผู้พี่ ตามแบบฉบับที่สืบทอดมาแต่โบราณ เป็นเส้นทางอันทรงเกียรติของคนในตระกูล
ซุนเกี๋ยน นักรบผู้เกรียงไกร คือหนึ่งแจ้ง ตัวมันชื่อซุนฮก นักศึกษาไร้ชื่อเสียง คือหนึ่งลับ สองตัวแทนหลักจากตระกูลซุน ทายาทแห่งมหาปราชญ์ซุนจื้อ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา