Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
22 ม.ค. 2021 เวลา 03:46 • นิยาย เรื่องสั้น
1.7. ปักษาคะนองฤทธิ์
กษัตริย์เซ่าเต้- ตั๋งไทเฮา - กษัตริย์เหี้ยนเต้
สถานการณ์แผ่นดินราชวงศ์ฮั่นยังตกอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างต่อเนื่อง โฮจิ๋น สมุหกลาโหม อาศัยช่วงเวลาชุลมุนของการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน รีบกำจัดเสี้ยนหนามสำคัญในราชสำนัก ซึ่งก็คือ ตั๋งไทเฮา ด้วยการใส่ความเรื่องการวางแผนขบถ จนถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์ และตามวางยาพิษซ้ำจนถึงตายระหว่างการเดินทางกลับบ้านเกิด ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะหาทางป้องกันได้ทันเวลา
หากแต่อำนาจบริหารภายในวังบางส่วน ยังคงตกอยู่กับเตียวเหยียงกับพวกขันทีทั้งสิบ คนใกล้ชิดของฮ่องเต้เซ่าเต้-หองจูเปียนตั้งแต่เยาว์วัย กลับคล้ายเชื้อโรคร้ายที่รอวันประทุ พอนานวันเข้า เหล่าขันทีก็กลับมาแทรกแซงเอาพรรคพวกเข้ามาเป็นขุนนางนายทหารมากมาย จนเกิดการแย่งชิงตำแหน่งกันระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอกราชสำนักอีกเช่นเคย จนไม่รู้ว่าคนใดเป็นฝ่ายไหนกันแน่ เพราะบ้างก็คบหาจ่ายค่าผ่านทางให้ทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง
อีกทางหนึ่ง โฮจิ๋น สมุหกลาโหม เสาหลักฝ่ายทหาร และอ้องอุ้น สมุหนายก เสาหลักฝ่ายพลเรือน ก็ยังคงมีเหตุบาดหมางใจ ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่คราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดินที่อ้องอุ้นไปถือข้างหองจูเหียบ พระอนุชาต่างมารดา จนทำให้เป็นความแตกแยกสำคัญในการแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวง เพราะขาดความสามัคคี และไม่ไว้วางใจระหว่างกันเองระหว่างสองเสาหลักค้ำจุนบัลลังก์
…
ในอดีตยุคกษัตริย์ฮวนเต้ หัวหน้าขันทีโจเท้ง นับเป็นผู้อาวุโสมากบารมีในราชสำนักที่มีผู้คนให้ความเคารพนับถือมากมาย และได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ จนถึงกับยอมยกอำนาจบังคับบัญชาให้ดูแลองครักษ์ เพื่อป้องกันการก้าวก่ายจากสายทหารด้านนอกราชวังด้วยซ้ำ เพราะเป็นยุคที่ฮ่องเต้หวั่นเกรงอิทธิพลความมีชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์องค์อื่นว่า จะมีใครมาแย่งชิงราชบัลลังก์
หากแต่พอเปลี่ยนแผ่นดินเป็นกษัตริย์เลนเต้แล้วเกิดเหตุอาเพทใหญ่ในวังหลวง ทั้งเรื่องไฟไหม้ตำหนัก และมีงูใหญ่ปรากฏกลางท้องพระโรง ทำให้ฮ่องเต้บาดเจ็บตกพระทัย ส่งผลกระทบต่อโจโก๋ บุตรบุญธรรมแซ่แฮหัว ที่ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหลวง สุดท้าย โจเท้งขันทีอาวุโสจึงขออภัยโทษแลกชีวิตด้วยการยอมปลดเกษียณตนเองไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ต่างเมืองพร้อมกับโจโก๋ผู้บุตร เปิดทางให้เตียวเหยียงได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าขันทีแทน และนำพากลุ่มขันทีไปในเส้นทางกังฉินแบบเลวร้ายสุดขั้ว จนทำให้ชื่อเสียงของขันทีเสียหายป่นปี้ไปหมดสิ้น
แต่ขุมกำลังขันทีของเตียวเหยียงก็มิใช่ว่าจะโดดเดี่ยวลำพัง เพราะยังโอนอ่อนตามกลการเมือง จนบางครั้ง กลับมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์สำคัญ อย่างเช่น เหตุการณ์สามขุนพลห่วงสัมพันธ์นั้น ก็เป็นฝีมือจัดฉากของมันที่หลอกลวงให้กองกำลังใหญ่สองกลุ่มห้ำหั่นกันเองจนย่อยยับไปทั้งคู่ ตามความต้องการของนายทหารคนที่จะได้ประโยชน์สูงสุด นามว่า โฮจิ๋น ที่หวังรวบอำนาจทางทหารเอาไว้คนเดียว
เงื่อนงำครั้งนั้นที่ทำให้กลุ่มขันทียอมเฉือนเนื้อตัวเอง ทำลายกองกำลังองครักษ์ในบังคับบัญชาไปครึ่งค่อนทัพ เพราะแกนนำหลายคนก็มิได้ยินยอมคล้อยตามอำนาจของหัวหน้าคนใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนเป็นฝ่ายกังฉินเต็มขั้น เตียวเหยียงจึงได้แต่ตัดเนื้อร้ายทิ้ง จงใจส่งกลุ่มองครักษ์ที่เป็นปรปักษ์ให้ปะทะกันกับกองทัพพยัคฆราชของสามขุนพลใหญ่ เพื่อให้ลดทอนความแข็งกร้าวต่อผู้บังคับบัญชาลงไปบ้าง และนับเป็นกองทัพค้ำบัลลังก์ราชวงศ์ฮั่นกลุ่มแรกที่ถูกทำลายจนยากฟื้นคืนได้อีก
หรือการสวรรคตก่อนวัยอันสมควรของกษัตริย์เลนเต้ ก็เป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ร่วมกันระหว่างเตียวเหยียงกับโฮฮองเฮาที่ถูกเลื่อนยศเป็นโฮไทเฮาไปแล้ว และสมุหนายกโฮจิ๋นอีกครั้ง เพื่อรักษาฐานอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือ การจัดการกับกษัตริย์วัยเยาว์ และมีความสัมพันธ์แบบลูกหลานอย่างองค์เซ่าเต้-เล่าเปียน ย่อมง่ายดายกว่ากษัตริย์เลนเต้อย่างแน่นอน
ที่จริงแล้ว เตียวเหยียงเองก็เป็นหมากลับสำคัญของพรรคฟ้าเหลืองที่ถูกส่งเข้ามาแทรกซึมในพระราชวัง เพื่อบ่อนทำลายอำนาจ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายจากภายในศูนย์กลาง หากแต่ยังไม่ทันประสานงานนอก-ใน ให้สำเร็จลุล่วงไปตามแผนการ เตียวก๊กและน้องทั้งสองก็ล้วนตายจากกันไปหมดสิ้น จนพรรคล่มสลาย กองทัพสิ้นสูญ ขาดการติดต่อกับพรรคพวกไปเสียแล้ว
ดีที่ตัวมันเริ่มมั่นคงในหน้าที่การงาน และเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เล่าเปียน จึงรักษาตัวรอดได้ด้วยพรรคพวกขันทีด้วยกันเองเรื่อยมา แต่ก็กระทบกระทั่งอยู่กับโฮจิ๋นเนืองๆ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้ไปอ้อนวอนขอชีวิตจากโฮไทเฮา ผู้ที่เคยก่อกรรมร่วมกันไว้ก่อน และการติดต่อหว่านล้อมในทางลับจากโจโฉ
เตียวเหยียง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มสิบขันที ยังคงคิดหาโอกาสเดินหมากขั้นต่อไปเสียเอง เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเองไว้ต่อไปจากภัยคุกคามทางทหาร และเป็นการล้างแค้นให้กับพรรคฟ้าเหลือง ซึ่งก็คือ การกำจัดสมุหกลาโหม โฮจิ๋น อดีตพันธมิตรและศัตรูคนสำคัญของพวกมัน
...
ความขัดแย้งในผลประโยชน์ของราชสำนักระหว่างโฮจิ๋น ผู้นำทางทหารกับเหล่าขันทีทั้งสิบทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และตั๋งโต๊ะแห่งเสเหลียงก็เริ่มจะเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว จึงถึงเวลาที่โฮจิ๋นคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เหมือนกับประสบการณ์ที่เคยจัดการกับสามขุนพลใหญ่ในอดีต มันจึงเรียกประชุมกับเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊คนสนิทของมัน รวมทั้ง เหล่าทหารเสือคนสนิทซึ่งมีอ้วนเสี้ยวและโจโฉ รวมอยู่ในนั้นด้วย คงขาดแต่ซุนเกี๋ยน ซึ่งเคลื่อนทัพลงใต้ไปนานหลายเดือนแล้ว
"น้องสาวของข้ากำลังมีภัย ถูกพวกขันทีใส่ความต่อฮ่องเต้ หวังจะให้ปลดออกจากตำแหน่งและอำนาจทั้งปวงภายในวัง เฉกเช่นเดียวกับตั๋งไทเฮาในอดีต ข้าจึงคิดว่า ในวันพรุ่งนี้ ข้าจะชิงบุกวังหลวงเข้าไปจัดการกับไอ้พวกขันทีกลุ่มนั้นเสียก่อน พวกท่านมีความเห็นกันอย่างไร" โฮจิ๋น เริ่มการประชุมลับ
"ข้าคิดเห็นตรงกันกับท่านโฮแล้ว"โจโฉและคนที่เหลือประสานเสียงตอบ
"ช้าก่อน" อ้วนเสี้ยวคัดค้าน "ข้าเกรงว่ากองกำลังเราจะไม่เพียงพอ พวกนั้นอาจจะมีพรรคพวกแอบแฝงอยู่ในกองทัพ แล้วจะมีการซ้อนแผนป้ายสีเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์สามขุนพลห่วงสัมพันธ์ได้นะท่าน"
"แล้วท่านมีความเห็นอย่างไรเล่า" โฮจิ๋นรับฟังด้วยความเกรงใจ
“ข้าเสนอให้เชิญท่านตั๋งโต๊ะ และกองทัพหมีทมิฬให้กลับเข้ามาช่วยเหลือกัน ด้านกองกำลังล้วนเป็นคนของพวกเรา จะได้ไม่ต้องเกรงกลัวจารชนแฝงตัวมาล่วงรู้ความลับก่อนแล้ว" อ้วนเสี้ยวเปิดเผยตามแผนการลับในใจ
"แต่ข้าว่าจะเสียเวลาไปเปล่านะ ท่านอ้วนเสี้ยว แม้ว่าตั๋งโต๊ะจะเป็นคนสนิทของท่านโฮจิ๋น แต่การเคลื่อนทัพกลับมาจากแดนไกลอย่างเอิกเกริกเช่นนั้น ย่อมทำให้ฝ่ายนั้นรู้ตัว อาจชิงลงมือได้ก่อน" โจโฉแย้ง เพราะตระหนักดีว่า ตั๋งโต๊ะเองก็ไม่อาจไว้วางใจได้เช่นกัน แต่มิอาจกล่าวออกไปตรงๆ
“ให้การเคลื่อนทัพเป็นแผนลวง ที่จริง เราสามารถสั่งการให้ตั๋งโต๊ะนำคนสนิทฝีมือดีลอบล่วงหน้าเข้ามาก่อน ชิงจู่โจมในยามกระทันหันก็ได้ จงทำตามนั้นเถิด" โฮจิ๋นคล้อยตามอ้วนเสี้ยว โจโฉกับคนอื่นยังคงพยายามคัดค้าน แต่ไม่เป็นผล
โฮจิ๋นเลือกใช้แผนของอ้วนเสี้ยวที่เป็นหัวหน้าดูแลหน่วยข่าวกรองอย่างสนิทใจ เพราะอ้วนเสี้ยวไม่เคยพลาดในเรื่องการข่าว กองทัพของมันมีหนอนบ่อนไส้ของตั๋งโต๊ะและฝ่ายขันทีอยู่มากมาย จนคาดว่าปะปนอยู่ในทุกระดับบัญชาการ หากมันลงมือเมื่อใด พวกศัตรูก็จะฉวยโอกาสหักหลังมันได้ทันที
จะว่าไปแล้ว โจโฉเองก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอยู่กับขันทีเฒ่า โจเท้ง ผู้ที่กล่าวได้ว่า เป็นคนรุ่นอาวุโสของพวกสิบขันทีด้วย มันจึงมิได้ไว้วางใจต่อโจโฉอย่างสนิทใจนัก หากมิใช่ว่า ผลงานด้านเสนาธิการของโจโฉโดดเด่นยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อต้องร่วมมือกับพวกขันทีด้วย มันคงหาทางปลดคนกลางอย่างโจโฉไปนานแล้ว
อ้วนเสี้ยวแอบยิ้มในใจ แผนลากตั๋งโต๊ะเข้าเมืองตามประวัติศาสตร์ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โฮจิ๋นมีจิตใจหวาดระแวงคนทั่วไป แต่มักเชื่อถือคนมีชาติตระกูลสูงส่ง เป็นเรื่องปกติของคนที่มีปมด้านชาติกำเนิด และอ่อนด้อยการศึกษามาแต่อดีต จึงติดกับดักที่มันปล่อยข่าวออกไปอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเจ้ากรมข่าวที่มีข้อมูลประวัติศาสตร์อยู่ในมือแบบตาเห็นเช่นตัวมัน
คงไม่เสียทีที่องค์กรส่งมันให้มาเป็นอ้วนเสี้ยว นายทหารที่มีเชื้อสายขุนนางเก่าอันทรงเกียรติแล้วกระมัง เจ้านกกระสา ลำดับสาม
มันเพียงเพิ่มเติมแผนการลอบสังหารตั๋งโต๊ะเอาไว้อีกชั้นหนึ่งเป็นการลับที่รู้กันเพียงตัวมันกับโฮจิ๋น เป็นการจัดฉากเรียกตัวด่วน ทำให้ศึกครั้งนี้เป็นการสยบขั้วอำนาจกลุ่มขันทีและเครือญาติสายตั๋งไทเฮาไปในคราวเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกันกับที่เคยทำกับพวกสามขุนพลใหญ่ในคราก่อน
...
วันรุ่งขึ้น ข่าวโฮจิ๋นสั่งการให้กองกำลังของตั๋งโต๊ะเดินทางเข้าเมืองหลวงที่ควรเป็นการลับ กลับเริ่มแพร่สะพัดออกไปด้วยฝีมือของใครไม่ทราบชัด แต่เป็นเหตุทำให้พวกขันทีทั้งสิบร้อนตัว กลัวเภทภัยมาถึงตน จึงตัดสินใจแอบอ้างพระราชโองการจากฮ่องเต้หองจูเปียน เชิญโฮจิ๋นเข้าวังหลวงในยามค่ำคืน เพื่อ "ปรึกษาราชการลับ" เป็นการด่วน
โฮจิ๋นแสร้งทำเป็นไม่อาจฝืนราชโองการ ได้แต่นำ อ้วนเสี้ยว โจโฉและกองทหารพยัคฆราชจำนวนหนึ่งเดินทางมาตามพระประสงค์ อย่างน้อย ก็มีกำลังพลพอจะรับมือความเปลี่ยนแปลงได้บ้าง
“พระราชโองการเปลี่ยนให้ท่านโฮจิ๋นเข้าไปพบที่สวนหลวงด้านหลังเป็นการลับเฉพาะ ห้ามนำผู้อื่นติดตามเข้ามาด้วย" ทหารองครักษ์หน้าพระราชวังกล่าวห้าม
โฮจิ๋นลังเลใจต่อการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เกรงจะมีภัยร้ายซ่อนเร้น แต่อ้วนเสี้ยวชิงกล่าวรับคำแทน พลางกระซิบลวงว่า "การข่าวภายในแจ้งว่า ขันทีเตียวเหยียงถอดใจ พร้อมจะยอมแพ้ต่อหน้าฮ่องเต้และโฮไทเฮาแล้ว และพวกองครักษ์วังหลวงกลุ่มนี้ก็เป็นฝ่ายเราจัดตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น เชิญท่านเข้าไปอย่างองอาจเถิด"
โฮจิ๋นประสานสายตากับอ้วนเสี้ยวราวกับคนรู้ใจกัน พลางพยักหน้ารับคำด้วยความเชื่อใจ หากแต่โจโฉยุดมือเอาไว้ “ท่านโฮจิ๋น โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง มันอาจจะเป็นกับดักพวกขันทีก็เป็นได้”
จังหวะนั้นเอง นางกำนัลคนสนิทของโฮไทเฮาก็โผล่พ้นประตูวังออกมา พร้อมกับจดหมายลับถึงพี่ชาย โฮจิ๋นรับมาอ่าน เป็นใจความยืนยันตรงกันกับเรื่องราวที่อ้วนเสี้ยวเพิ่งบอกมา “จดหมายนี้เป็นลายมือของน้องสาวข้าเอง เห็นที อ้วนเสี้ยวสมควรจะมีความชอบสูงสุดแล้ว”
กล่าวจบ โฮจิ๋นจึงก้าวเข้าไปภายในวังหลวงอย่างองอาจ พร้อมที่จะรับคำพ่ายแพ้จากกลุ่มขันทีที่ปีนเกลียวกับมันมานาน ส่วนปัญหาของตั๋งโต๊ะค่อยว่ากันต่อไปในภายหลัง อ้วนเสี้ยวย่อมมีวิธีการจัดการอยู่่แล้ว
เมื่อเดินเข้าสู่สวนหลวง โฮจิ๋นมองเห็นเหล่าสิบขันทีคุกเข่าเคียงข้างกันพร้อมด้วยองค์ฮ่องเต้ที่ยังฟุบหน้ากับโต๊ะหินคล้ายทรงบรรทมอยู่ จึงยิ่งคลายใจ ก้าวเดินอย่างย่ามใจไปสู่ที่โล่งแจ้ง เห็นเตียวเหยียงยืดตัวขึ้นโบกมือ และแล้ว เกาทัณฑ์สังหารจากเหล่าองครักษ์ที่ซุ่มซ่อนก็ถูกระดมยิงเข้าใส่สมุหกลาโหมจนคล้ายตัวเม่นโลหิต
เสียงร้องก่อนตายของโฮจิ๋นดังปลุกฮ่องเต้น้อยขึ้นจากห้วงนิทรา มองเห็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญตรงหน้า เตียวเหยียงและพวกจึงแสร้งร่ำร้องอึกทึก และรีบพาตัวฮ่องเต้หลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ ช่างน่าสงสารกษัตริย์วัยเยาว์ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เมื่อข่าวกรองถูกบิดเบือนไป ก็เท่ากับเดินเข้าหาความตาย ผู้กุมอำนาจทางทหารสูงสุดในเมืองหลวงอย่างโฮจิ๋น จึงจบชีวิตลงง่ายๆด้วยการลงมือของกลุ่มองครักษ์พิทักษ์วังที่เป็นพวกพ้องของขันทีทั้งสิบ ซ้ำยังตามด้วยข่าวการลอบปลงพระชนม์โฮไทเฮา น้องสาวของโฮจิ๋น ด้วยสุรายาพิษ เป็นการปิดฉากอำนาจของคนตระกูลโฮไปหมดสิ้นในคราวเดียวเช่นนี้เอง
อ้วนเสี้ยว หรือ นกกระสา ช่างร้ายกาจนัก ถึงกับยืมมือพวกขันทีฆ่าสมุหกลาโหมไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อขาดโฮจิ๋น ผู้นำทางทหาร เมืองหลวงก็ไม่มีทางควบคุมสั่งการกองทัพต่างถิ่นของขุนพลทางทหารอันดับสองนามตั๋งโต๊ะที่ต้องการทวงอำนาจกลับคืน และที่จริงแล้ว อ้วนเสี้ยวก็มิได้ตระเตรียมแผนการลอบสังหารตามที่เคยเสนอต่อโฮจิ๋นแต่อย่างใด ดังนั้น จุดเริ่มต้นความวุ่นวายของปลายราชวงศ์ฮั่นได้มาถึงตรงตามประวัติศาสตร์ จอมทรราชย์คนโฉดกำลังจะเปิดตัวแล้ว
...
ทางฝ่ายเตียวหุย หรือ นางแอ่น ลำดับเก้า ก็กำลังดำเนินแผนงานของตนเองเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อมีคำสั่งโฮจิ๋น ให้ตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวง เตียวหุยจึงรีบวางยาระบายอย่างแรงมาใส่ในสุราให้เล่าปี่ กวนอู และตัวเองกิน เพื่อให้ทั้งสามอยู่ในสภาพย่ำแย่ถึงขีดสุดในวันเดินทาง เป็นข้ออ้างในการไม่ร่วมทัพเข้าเมืองหลวง
จากนั้น มันเองก็เสนอชื่อเพื่อนสนิท นั่นคือ ลิฉุย กุยกี ให้ช่วยเป็นองครักษ์พิทักษ์ตั๋งโต๊ะแทนพวกตน โดยแอบกระซิบสั่งความให้สหายสนิททั้งสองมองหาฮ่องเต้แถวป่านอกเมืองตาม “นิมิตฝัน” ของตนเอง
งานนี้ ตั๋งโต๊ะเทหมดหน้าตัก ยกกองกำลังหมีทมิฬออกจากเมืองเสเหลียงจนเกือบหมดสิ้น หากแต่กลับสั่งการให้เดินทัพช้าๆ ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด แถมยังเดินอ้อมเส้นทางบ่อยๆ จนลิฉุยกุยกีอดใจไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถามไถ่ความนัยจากลิยู ลิซก สองกุนซือสำคัญ ซึ่งลิซกเฉลยว่า "หากเหตุการณ์ยังไม่สุกงอม รีบช่วยโฮจิ๋นชนะขันที ท่านตั๋งโต๊ะก็ยังเป็นแค่แม่ทัพปราบขบถ ยังคงต้องถ่วงดุลย์อำนาจกับโฮจิ๋นต่อไป แต่หากไปช้าอีกสักนิด รอให้เกิดเรื่องหนักหนาสาหัสเสียก่อน ศัตรูของท่านจะล้มหายตายจาก และท่านจะได้เป็นถึงวีรบุรุษผู้กอบกู้ชาติเลยทีเดียวนะ"
นี่คือความร้ายกาจของเสือร้ายอย่างขุนพลตั๋งโต๊ะที่เดินเกมเหนือชั้น ชิงความได้เปรียบเข้าทางตนเอง ทางหนึ่ง ละเลยคำสั่งลับที่เรียกตัวเร่งด่วน ปล่อยให้ผู้นำทางทหารตายไปก่อนค่อยลงมือตอบโต้ ทางหนึ่ง นำกำลังพลของตนเองเข้าควบคุมสถานการณ์ที่กำลังสุกงอม สร้างชื่อเสียง และผลงานใหญ่ให้กับตนเอง
...
หลังจากที่โฮจิ๋นพลาดท่าเสียชีวิตในวังหลวง อ้วนเสี้ยวกับโจโฉก็รีบตอบโต้กลับคืนด้วยการนำกำลังพยัคฆราชชุดใหญ่บุกวังหลวง หวังเข่นฆ่าพวกเตียวเหยียงและขันทีทั้งสิบ ก่อนจะถูกผลพวงการเมืองเล่นงาน แต่กลับปะทะกับกององครักษ์วังหลวงที่ยังคงต้องทำงานรักษาการณ์ตามหน้าที่อย่างซื่อตรง
กองกำลังทั้งสองฝ่ายเคยแค้นเคืองกันมาก่อนจากเหตุการณ์สามขุนพล ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น บานปลายกลับกลายเป็นเวทีการแก้แค้นต่อกัน ลุกลามขยายวงกว้าง จนฝ่ายรัฐบาลเกรงจะเกิดอันตรายต่อฮ่องเต้ สมุหนายกอ้องอุ้น เอียวปิด เอียวปิว สองพี่น้องตระกูลขุนนางเก่า จึงนำตัวฮ่องเต้ และหองจูเหียบ พระอนุชา หลบหนีเภทภัยออกไปนอกเมืองเป็นการชั่วคราว ในขณะที่เหตุการณ์ต่อสู้กันของกองกำลังทั้งสอง กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงตั้งแต่ยามสายไปจนถึงมืดค่ำ ราวกับเกิดเป็นสงครามกลางเมือง
ส่วนเตียวเหยียงและพวกขันทีหมดสิ้นหนทางล่าถอยแล้ว ได้แต่ทุ่มทุนครั้งสุดท้าย จึงรีบระดมพลฝ่ายตนเองที่แทรกซึมอยู่ในจุดต่างๆ กลายเป็นกองกำลังที่สาม ยึดกุมที่มั่นสำคัญไว้ เตรียมรุมกระหนาบกองทัพพยัคฆราชในฐานะขบถแผ่นดิน
แต่อ้วนเสี้ยว โจโฉ สมกับเป็นสายทหารมืออาชีพ อาศัยงานการข่าวกรอง และเส้นสายการเมือง เจรจาสงบศึกกับหัวหน้ากององครักษ์จนสำเร็จ และนัดหมายให้หลอกล่อกองกำลังที่สามออกมา แล้วค่อยร่วมกันกำจัดเครือข่ายขันทีชั่วให้สิ้นซาก
ท่ามกลางความมืดมิด และมีสายฝนกระหน่ำมาทั่วเมืองหลวง พอสัญญาณการปะทะเริ่มขึ้น กองกำลังของฝ่ายขันทีจึงเคลื่อนตัวออกจากที่มั่นตามนัดหมาย กลับถูกกองทัพพยัคฆราชกับกององครักษ์วังหลวงร่วมมือกันรุมกระหนาบ จนฝ่ายขันทีพ่ายแพ้ล้มตายไปมากมาย เหล่าขันทีทั้งสิบรวมทั้งเตียวเหยียงล้วนตกตายไปในที่รบหมดสิ้น การปะทะกลางเมืองคล้ายจะเลิกราลงได้แล้วพร้อมชัยชนะ
แต่เวลานั้น กองทัพหมีทมิฬ นำโดยตั๋งโต๊ะกองหนึ่ง ลิฉุย ลิยู กองหนึ่ง กุยกี ลิซก กองหนึ่ง ก็รุดเข้าเมืองหลวงพร้อมกันทั้งสามทิศทาง ไล่ล่าสังหารกองพลทั้งสามฝ่ายที่ยังหลงเหลืออย่างไม่ไว้หน้า จนอ้วนเสี้ยว โจโฉ ต้องรีบส่งสัญญาณยอมแพ้ ละทิ้งอาวุธเข้ารายงานตัวต่อกองทัพเมืองเสเหลียง ขอให้ละเว้นการปราบปรามโดยด่วน แต่ก็ช้าเกินไปบ้าง กองกำลังประจำเมืองหลวงทั้งสองกลุ่ม ถูกลดทอนลงไปอีกเกือบครึ่งกองพลจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ พร้อมกับหัวหน้าองครักษ์วังหลวงก็พลอยต้องสังเวยชีวิตไปด้วยอีกคน
จากนั้น ตั๋งโต๊ะจึงค่อยอัญเชิญฮ่องเต้เล่าเปียนกับพระอนุชาเล่าเหียบที่รับตัวมาจากกองพลคุ้มกันของสมุหนายกอ้องอุ้นที่ป่านอกเมือง ให้กลับคืนสู่พระราชวัง และนำกำลังทหารต่างถิ่นเข้าควบคุมสถานการณ์เมืองหลวงได้สำเร็จโดยง่ายด้วยบารมีของขุนพลใหญ่แห่งแผ่นดิน และกองทัพหมีทมิฬอันเกรียงไกร
อ้วนเสี้ยวซึ่งรอโอกาสอยู่แล้ว จึงลอบยุยงให้ตั๋งโต๊ะยกหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนหองจูเปียนคนพี่ โดยใช้ข้ออ้างเพื่อตัดตอนล้มล้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างฮ่องเต้กับฝ่ายสิบขันที และง่ายต่อการควบคุมราชสำนักเอาไว้ ซึ่งตั๋งโต๊ะก็ไม่รอช้าที่จะทำตามคำแนะนำทันที
ร่ำลือกันว่า ตั๋งโต๊ะนำกำลังทหารคนสนิทบุกเข้าวังหลวง ใช้กระบี่ฟ้าสังหารคู่กายปลิดชีพฮ่องเต้เซ่าเต้-เล่าเปียนในยามค่ำคืน แล้วใส่ความป้ายสีให้กับพวกขันทีที่ยังหลงเหลืออยู่ และขุนนางนายทหารที่แข็งขืนให้เป็นแพะรับบาปไปอีกมากมาย จนกองกำลังเดิมในเมืองหลวงยิ่งอ่อนแอลงอย่างชัดเจน ขุนนางนายทหารล้วนกลัวตาย รีบทะยอยเข้ารายงานตัวต่อขุนพลตั๋งโต๊ะ ผู้กลายเป็นวีรบุรุษกู้แผ่นดิน
ที่จริงแล้ว เสาหลักสายบุ๋นอย่างสมุหนายกอ้องอุ้นยังมีน้ำหนักไม่น้อย หากออกโรงระดมหัวหน้ากองทหารแทนสมุหกลาโหมที่ตายอย่างกระทันหัน ยังอาจพอต้านทานได้ หากแต่อ้องอุ้นเห็นแล้วว่า อ้วนเสี้ยว โจโฉ สองแกนนำสายทหารล้วนสยบต่อขุนพลทมิฬไปแล้ว กองกำลังพยัคฆราชและองครักษ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก อีกทั้ง แนวทางของตั๋งโต๊ะที่จะยกหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้นั้น กลับสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง จึงปล่อยให้เลยตามเลยไปเช่นนั้น
เมื่อหมดสิ้นคนต่อต้านแข็งขืนแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงค่อยผลักดันเล่าเหียบขึ้นเป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้แทน และแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นพระมหาอุปราช ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก้าวข้ามตำแหน่งสมุหนายกอ้องอุ้น และตำแหน่งสมุหกลาโหมที่ยังว่างอยู่ บัดนี้ ตั๋งโต๊ะอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้า เพียงรองลงมาจากยุวกษัตริย์ เท่านั้น
กษัตริย์เหี้ยนเต้ พระชนมมายุเพิ่งแปดพรรษา ได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูการกระทำหยาบช้าของตั๋งโต๊ะ ขุนพลเลือดผสม ผู้อ้างตัวเป็นวีรบุรุษกู้แผ่นดิน ครานี้ มาถึงขั้นพกพาอาวุธเข้ามาในพระราชวัง และอ้างเหตุขอเก้าอี้มานั่งในยามเข้าเฝ้าแล้ว
ขุนพลเอียวปิด หัวหน้าสายนักรบที่ได้เลื่อนตำแหน่งมาแทนที่ซุนเกี๋ยน และเสนาบดีเอียวปิว น้องชาย อยู่ร่วมในท้องพระโรงใหญ่ จ้องมองดูยุวกษัตริย์ด้วยความสงสารเห็นใจ สองพี่น้องเกิดมาในตระกูลขุนนางใหญ่หลายแผ่นดิน ทำให้พบเห็นการขึ้นและลงของอำนาจทางการเมืองบ่อยครั้ง จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมอย่างแค้นใจ เพราะฟากขุนนางที่มากบารมีอย่างอ้องอุ้น อ้วนเสี้ยว ดันพร้อมใจกันเปิดช่องให้คนเลวมีอำนาจเหิมเกริมขึ้นมาจนได้
...
ณ วัดใหญ่นอกเมืองหลวง หลวงจีนวัยประมาณห้าสิบปี กำลังนั่งสนทนาอยู่กับสหายต่างสถานะสามคนที่เคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน “ยังดีที่น้องสาม น้องสี่ช่วยกันตีความตามบันทึกลับได้ถูกต้อง เหตุการณ์ล้มล้างเครือข่ายขันทีครั้งนี้จึงมิได้ลุกลามมาถึงตัวน้องรอง ขอเพียงอีกสักพัก ท่านกลับคืนไปสู่สถานะเดิม ย่อมมีหนทางเข้าถึงตัวฮ่องเต้น้อยได้ไม่ยาก แล้วค่อยรื้อฟื้นอำนาจภายในวังกลับคืน”
น้องรองคารวะรับคำ ในขณะที่น้องสามเอ่ยปากสำทับเพิ่มเติม “การลงมือของอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นทำให้แผ่นดินฮั่นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เจ้าเมืองต่างๆรอบนอกจะเริ่มตั้งตัวเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อราชสำนักอีกต่อไป และมุ่งทำร้ายกันเอง คล้ายเหตุการณ์ยุคราชวงศ์โจวที่เสื่อมถอย พวกเราเพียงรอคอยให้ถึงเวลาที่สุกงอมแล้ว ค่อยรุกชิงคืนบัลลังก์กลับจากขุมกำลังเหล่านี้ รื้อฟื้นอำนาจกลับสู่เชื้อพระวงศ์แซ่เล่าที่แท้จริงให้เป็นฮ่องเต้คนต่อไป”
“ผิดแล้ว เรากลับคิดว่าสมควรจะยกแผ่นดินนี้ให้กับเจ้าแล้ว น้องสาม” หลวงจีนส่งสัญญาณชัดเจนให้กับน้องสาม “ตัวเลือกที่เหลืออยู่ตอนนี้ ล้วนไม่คู่ควรต่อบัลลังก์กษัตริย์สักคนจริงๆ ถึงเวลาแล้วที่คนสกุลจูกัดจะได้เป็นราชันย์คนต่อไป”
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 1 - มัจฉากลางวารี
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย