22 ม.ค. 2021 เวลา 03:56 • นิยาย เรื่องสั้น
1.8. สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
สองกุนซือใหญ่ ลิยู ลิซก - ฮัวหยง มฤตยูสายนักรบ
เมื่ออำนาจในเมืองหลวงถูกรวบขึ้นไปอยู่กับตั๋งโต๊ะจนเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วไม่กี่เดือน ตั๋งโต๊ะก็เปลี่ยนจากวีรบุรุษนักรบเป็นจอมมารร้าย โดยไม่ใส่ใจต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชนชาติเดียวกันอีกต่อไป
เผอิญว่า หลักการประการหนึ่งที่กองทัพโบราณมักใช้กัน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองทัพ คือ ยามที่ได้ชัยชนะต่อสงครามแล้ว จงเปิดโอกาสให้นักรบทั้งหลายได้ช่วงชิงทรัพย์สิน และอาละวาดข่มขืนได้ตามสมควร ทั้งนี้ จะทำให้ประชาชนยากลำบาก แต่ทหารจะได้กำลังใจฮึกเหิมเป็นทวีคูณ และจงรักภักดีมากขึ้น
จอมมารตั๋งโต๊ะจึงปล่อยปละละเลยให้พรรคพวกลูกสมุนเหิมเกริม เบ่งอำนาจบารมี ปล้นชิงทรัพย์สิน ฉุดคร่าหญิงสาว จนเมืองหลวงปั่นป่วนวุ่นวาย และผู้คนบางส่วนต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง ไม่กล้าออกมาในที่เปิดเผย บางส่วนกลับชิงหลบหนีอพยพออกจากเมืองหลวง ส่งสัญญาณหายนะให้เห็นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จิวจง ในฐานะเจ้าเมืองลกเอี๋ยง ยอมรับการกระทำอันเลวร้ายไม่ได้ จึงยื่นถวายฎีกาฟ้องร้องต่อหน้าพระที่นั่ง แต่กลับถูกตั๋งโต๊ะโต้เถียงขัดขวาง และวันต่อมา ท่านเจ้าเมืองจิวจงก็กลับกลายเป็นซากศพแขวนคอตายในบ้านพักอย่างมีเงื่อนงำ ทำให้ครอบครัวสกุลจิวที่เหลืออยู่ รวมทั้งจิวยี่ หนึ่งในสี่ยอดคุณชายเมืองหลวง ต้องรีบโยกย้ายกลับบ้านเดิม เพื่อหลบหนีเภทภัยทางการเมือง
วิธีการของตั๋งโต๊ะเป็นการถอดแบบการปกครองมาจากสายทหารที่มีความเด็ดขาด ดุดันเป็นที่ตั้ง พอนำมาใช้กับราชสำนักและเมืองหลวง จึงคล้ายจะรวบอำนาจสูงสุดไว้ในกำมือ "ใครยอม อยู่รอด ใครขวาง ต้องตาย" กลายเป็นคำพูดติดปากของพวกจอมทรราชย์ไปแล้ว ตั๋งโต๊ะเห็นแก่พวกพ้องเกินไป หรือกำลังเล็งเห็นการณ์ไกล เพื่อหวังยึดครองแผ่นดินไว้เสียเองแล้วกระมัง
...
ระหว่างที่ตั๋งโต๊ะกำลังลุ่มหลงระเริงในอำนาจอยู่ในเมืองหลวง โดยมีพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้น้อย เป็นแค่หุ่นเชิดนั้น ภาพความแตกแยกระหว่างรัฐบาลส่วนกลางกับหัวเมืองสำคัญต่างๆ ที่มีคนเคยคาดการณ์ไว้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
เจ้าเมืองใหญ่หลายแห่งที่ควบคุมดูแลพื้นที่ในระดับมณฑลตามการปรับเปลี่ยนระบบการปกครองครั้งล่าสุด ต่างแสดงท่าทีต่อต้านผู้สำเร็จราชการตั๋งโต๊ะอย่างชัดเจน กระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งส่วนกลาง และเร่ิมสร้างฐานอำนาจอิทธิพลของตนเอง จนเกิดปะทะกับดินแดนใกล้เคียง กลายเป็นเรื่องขัดเคืองกันเองระหว่างหัวเมืองสำคัญต่างๆ จนวุ่นวายหลายแห่ง
คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนก็ทะยอยกันสร้างอำนาจบารมีกันเองตามอำเภอใจ โดยกลุ่มคนที่โดดเด่นที่สุดในยามนั้น คือ ผู้ตรวจการแผ่นดินซุนเกี๋ยน อดีตหัวหน้าสายนักรบแห่งกองทัพพยัคฆราช ซึ่งตัดสินใจปักหลักอยู่ที่เมืองเตียงสา มณฑลเกงจิ๋วใต้ และกำลังแผ่อิทธิพลแถบหัวเมืองทางใต้อีกมากมาย โดยประกาศต่อต้านรัฐบาลใหม่อย่างชัดเจน ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตั๋งโต๊ะเป็นรายแรก
ขุนพลซุนเกี๋ยนกลายเป็นความหวังใหม่ให้กับผู้คนมากมาย ด้วยความที่ภาพลักษณ์เป็นนักรบอาชีพที่เก่งกาจ นิสัยเปิดเผยห้าวหาญ และเคยดำรงตำแหน่งราชการใหญ่โต ทำให้เจ้าเมืองขนาดกลางขนาดเล็ก และขุนนางนายทหารคล้อยตามเข้าพวกไปด้วยหลายคน แม้ว่าจวบจนบัดนี้ พยัคฆ์ร้ายแซ่ซุนยังไม่เคยต้องลงมือทำสงครามกับฝ่ายใดอย่างจริงจังเลย
ติดตามมาด้วยอ้วนสุด น้องชายต่างมารดาของอ้วนเสี้ยว ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองลำหยงอยู่ ก็ตั้งตนขึ้นเป็นอิสระเช่นกัน สกุลอ้วนเป็นตระกูลขุนนางเก่าหลายสมัย มีทรัพย์สมบัติไม่น้อย และมีเส้นสายโยงใยไปถึงชนเผ่านอกกำแพงใหญ่ จึงเป็นที่นับถือรักใคร่ของประชาชนเป็นทุนเดิม เมื่อผนวกกับความที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองด้วย จึงพอเบียดเสียดผู้คนขึ้นมาผงาดได้บ้าง
ที่จริง อ้วนสุดยังมีพี่ชายต่างมารดานามอ้วนเสี้ยวเป็นคนใกล้ชิดของตั๋งโต๊ะ ไม่สมควรรีบร้อนเปิดเผยตัวตนเช่นนี้ เพราะรังแต่จะสร้างความลำบากต่อพี่ชาย หากแต่อ้วนสุดไม่เคยรักใคร่ใส่ใจต่ออ้วนเสี้ยวมาตั้งแต่เด็ก ด้วยถือตนว่าเป็นทายาทคนโตของแม่ใหญ่ อ้วนเสี้ยวเกิดก่อนแต่มาจากเมียน้อยฐานะต้อยต่ำ กลายเป็นการปีนเกลียวภายในสกุลขุนนางใหญ่ที่ผู้คนรับรู้ทั่วทั้งแผ่นดิน
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีโตเกี๋ยมแห่งชีจิ๋ว เตียวสิ้วแห่งอ้วนเซีย เตียวล่อแห่งฮันต๋ง 
ฮันฮกแห่งกิิจิ๋ว กองซุนจ้านแห่งปักเป๋ง ล้วนเป็นเจ้าเมืองสำคัญที่ตั้งตนเป็นเอกเทศด้วยเช่นกัน หากแต่มีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่นปกครอง ยังห่างไกลจากคนดังระดับแผ่นดินอยู่อีกช่วงหนึ่ง
ในขณะที่กลุ่มอำนาจเก่าแก่อย่าง เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว และ เล่าเอี๋ยน เจ้าเมืองเสฉวน สองเชื้อพระวงศ์อาวุโสผู้สูงศักดิ์ กลับนิ่งเฉยต่อสถานการณ์บ้านเมือง จนบางคนรำลึกได้ว่า อาจเป็นเพราะความบาดหมางรุนแรงภายในตระกูลที่เคยเกิดขึ้นในราชสำนักในอดีต มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยคุณสมบัติของเชื้อพระวงศ์อาวุโส ย่อมสามารถตั้งตนเป็นหัวหน้าแกนนำ หรือระดมผู้คนได้ไม่น้อยเลย
แผ่นดินฮั่นจึงเหมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้วนับแต่นั้น เหตุการณ์ย้อนกลับไปคล้ายกับยุคสมัยเลียดก๊ก ที่แต่ละแคว้นปกครองกันเอง ต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันเองด้วยสงครามการศึกและชั้นเชิงการทูต ไม่น้อมรับคำสั่งของรัฐบาลกลางอีกต่อไป และดูคล้ายตั๋งโต๊ะจะไม่ได้หวั่นเกรงต่อเรื่องราวเหล่านี้มากนัก
หลายเดือนมาแล้วที่สามองครักษ์ยอดฝีมือ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ยังคงตกค้างอยู่ที่เมืองเสเหลียง ไม่ได้ติดตามวีรบุรุษกู้ชาติเข้าไปในเมืองหลวงตามที่ควรจะเป็น ภายหลัง ตั๋งโต๊ะส่งข่าวสั่งการให้ทั้งสามรีบเร่งติดตามไปทำงานตามหน้าที่ ก็ได้แต่ผัดผ่อนคำสั่งรายงานตัวมาโดยตลอด โดยอ้างเรื่องป่วยไข้ที่ยังไม่หายดี ไม่พร้อมต่อการเดินทางไกลข้ามเมือง
จนกระทั่งสถานการณ์บ้านเมืองแตกแยกปรากฏชัดเจนขึ้น เตียวหุยซึ่งเฝ้ารอข่าวสำคัญชิ้นนี้อยู่ จึงนำความไปบอกกล่าวปรึกษาต่อพี่ร่วมสาบาน และชักชวนให้ปลีกตัวออกห่างจากตั๋งโต๊ะโดยเร็ว เล่าปี่เองก็หวั่นเกรงเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างมาก จึงเห็นชอบโดยทันที
นอกจากนั้นแล้ว สายข่าวยังเข้ามารายงานเพิ่มเติมเรื่องกองกำลังไม่ทราบสังกัดจำนวนหลายพันนาย กำลังเคลื่อนพลผ่านเขตทะเลทรายเข้ามาจากทางด้านเหนือตามเส้นทางทะเลทรายใหญ่ สมควรจะมาถึงหน้าประตูเมืองในสองสามวันข้างหน้าแล้ว หากสามองครักษ์ยังอยู่ที่นี่ ก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ป้องกันเมืองเสเหลียงที่บัดนี้ แทบจะปราศจากกองกำลังทหารที่จะต่อต้านได้แล้ว
หนทางหนึ่งที่อาจจะรักษาเมืองเสเหลียงเอาไว้ได้ ก็คือ การร้องขอความช่วยเหลือจากกองทัพชนเผ่าเกี๋ยง และเผ่าตี กองกำลังต่างถิ่นที่กลับกลายมาเป็นพันธมิตรกับแผ่นดินฮั่นมาสักระยะหนึ่ง หากแต่กลุ่มนักรบไร้สังกัดดูมีความคึกคักเหี้ยมหาญ อาจจะทำให้การต่อสู้ดุเดือดยืดเยื้อ และพอสายข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กองทัพดังกล่าวมีพวกชนเผ่าแดนไกลหนุนหลังด้วย กลับทำให้หนทางสายนี้ดูตีบตันลง เพราะอาจจะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมได้ง่าย
เมื่อรูปการณ์เป็นไปในทางร้าย ทั้งสามจึงเห็นพ้องกันที่จะรีบเผ่นออกจากเมืองเสเหลียงอย่างเงียบๆ โดยทิ้งให้เตียวเจ หวนเตียว ขุนพลรอง รับหน้าที่ดูแลเมืองแทน แล้วคนทั้งสามก็พากันอพยพย้ายฝั่งไปอาศัยพำนักอยู่กับกองซุนจ้าน เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ ซึ่งบัดนี้ ได้เป็นเจ้าเมืองปักเป๋งทางตะวันออกเฉียงเหนือ และเพิ่งตั้งตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลไปอีกกลุ่มหนึ่งแทน
ในขณะเดียวกัน กองทัพม้าใส่เกราะเหล็กจากนอกด่านได้เคลื่อนเข้ายึดเมืองเสเหลียงไปอย่างง่ายดาย เพราะเตียวเจ หวนเตียวประเมินกำลังแล้วเห็นว่าพวกตนเองต้านไม่ไหวแน่นอน ก็รีบเผ่นหนีไปยังหัวเมืองหน้าด่านลำดับต่อไปโดยเร็วก่อนจะเกิดการปะทะกันให้เสียหายเดือดร้อนกันไปเปล่าๆ
ผู้นำกองกำลังลึกลับคือม้าเท้งกับลูกชายทั้งห้า และหันซุย สหายสนิท เหล่าทหารล้วนเป็นเหล่าทหารรับจ้างที่มาจากชนเผ่าเร่ร่อนนอกทะเลทรายหลากหลายแห่งปะปนกัน และถึงกับได้รับความสนับสนุนอย่างดีจากเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี คล้ายกับเคยมีการติดต่อกันมาล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จนเป็นเหตุให้ตั๋งโต๊ะที่ทราบเรื่องราวในภายหลังไม่กล้าตอแยในทันที และไม่ได้ส่งคนมาตามหาองครักษ์มากฝีมือทั้งสามอีก เพราะเข้าใจไปว่า พวกเล่าปี่เสียชีวิต หรือเปลี่ยนใจย้ายข้างไปแล้ว
ส่วนม้าเท้งกับพวกมาจากที่ใด ไม่มีใครล่วงรู้ แต่กลับมีกองทัพม้าเหล็กที่แข็งแกร่ง และอาจหาญจนประมาทไม่ได้เลย ในเมื่อมาตั้งหลักพักฐานอยู่ที่เมืองเสเหลียงที่เคยเป็นค่ายฝึกทหารของกองทัพหมีทมิฬ จึงสามารถศึกษาเรียนรู้แนวทางการฝึก และพัฒนาศักยภาพกองทัพขึ้นใหม่ รวมทั้งเพาะเลี้ยงอาชาสายพันธุ์พิเศษเพิ่มเติม จนกลายเป็นกองทัพม้าเหล็กที่มีประสิทธิภาพการรบสูงขึ้นไปอีกมาก ม้าเท้งจึงกลายเป็นเจ้านครอิสระหน้าใหม่ที่ถูกจับตาดูอย่างไม่อาจประมาทเลยทีเดียว
ภายหลัง ม้าเท้งยังจัดการให้หันซุยขยับขยายไปยึดครองพื้นที่เมืองอื่นได้สำเร็จ ทำให้ขุมกำลังตระกูลม้านับเป็นกลุ่มแรกๆที่ไม่ใช่อดีตเจ้าเมืองมีตำแหน่งตราตั้ง และมีการสร้างอิทธิพลยึดครองพื้นที่ด้วยการช่วงชิงจากคนอื่น กลายเป็นต้นแบบให้หัวเมืองอื่นๆเริ่มทำตามอย่างบ้างในเวลาต่อมา
...
ทางด้านเมืองหลวงลกเอี๋ยง หลังจากตั๋งโต๊ะครองอำนาจแล้ว มันก็แทรกแซงปรับเปลี่ยนพรรคพวกของตนให้เข้ายึดกุมตำแหน่งสำคัญแทนคนเดิม โดยสร้างพวกซื้อใจตัวหลักในเมืองหลวงไว้ด้วยส่วนหนึ่ง ผสมกับลูกสมุนดั้งเดิมด้วยส่วนหนึ่ง อย่างเช่น สายพลเรือน ก็มีสองกุนซือ ลิยู ลิซก เข้าควบคุมการปกครองบางส่วนเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงกับปลดสมุหนายกอ้องอุ้นเสียทันที ด้วยยังเกรงบารมีที่มีสะสมมายาวนาน และลูกศิษย์ของอ้องอุ้นเองก็อยู่ในราชการไม่ใช่น้อย
กุนซือลิซกจึงเสนอชื่อขุนนางเก่าอย่างราชบัณฑิตซัวหยง ฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีลูกศิษย์มากมายในเมืองหลวงเช่นกัน ยกย่องให้ขึ้นมาเป็นพระราชครู ดูแลการศึกษาของฮ่องเต้น้อยองค์ใหม่แทน หวังให้คานอำนาจกับสมุหนายกอ้องอุ้น คู่แข่งทางสายวิชาการที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอ้องอุ้นมาตลอด
นับจากสมัยราชวงศ์จิ๋นสืบเนื่องมาถึงราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา ขุนนางในราชสำนักแตกแยกทางความคิดออกเป็นสองสายหลัก บ้างก็ยึดถือหลักคุณธรรม เน้นระเบียบแบบแผนตามปรมาจารย์ขงจื้อในยุคเลียดก๊ก บ้างก็ชมชอบวิธีการที่มุ่งเฉพาะผลงานเป็นสำคัญ ไม่คำนึงเรื่องขนบธรรมเนียมและพิธีรีตอง ตามแนวคิดแบบปรมาจารย์ม่อจื้อในยุคสมัยเดียวกัน ทำให้สานุศิษย์ลัทธิขงจื้อม่อจื้อทั้งสองสายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาโดยตลอด ผลัดกันขึ้นเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนัก ถ่วงดุลอำนาจสายบริหารกันอยู่เรื่อยมา
จนยุคสมัยนี้ ผู้นำความคิดสายขงจื้อ คือ สมุหนายกอ้องอุ้น ส่วนผู้นำความคิดสายม่อจื๊อ ก็คือ ราชบัณฑิตซัวหยง นี่เอง หากแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา อ้องอุ้น สายขงจื้อ มีตำแหน่งราชการสูงกว่าหลายขั้น จึงช่วงชิงความได้เปรียบ ยึดครองฐานการเมืองมาได้โดยตลอด ทำให้ ซัวหยง สายม่อจื๊อ ดูตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
ภายนอกราชสำนัก แวดวงนักวิชาการยังมีขงหยง ทายาทตามสายเลือดของขงจื้อซึ่งเป็นทั้งผู้นำลัทธิอันเลื่องชื่อ ยิ่งตอกย้ำให้กลุ่มก้อนของฝ่ายขงจื้อเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ผิดจากซัวหยง ผู้นำแห่งลัทธิม่อจื้อซึ่งยากจน ไม่ใคร่จะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากนัก
ท่ามกลางมิติของการเมือง มิติของแวดวงวิชาการก็มีการชิงดีชิงเด่นเช่นเดียวกัน และปัญหาก็คือ ผลกระทบของการแย่งชิงนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้เสียด้วย
...
ในใจซัวหยงนั้น ยึดถือเรื่องผลงานเป็นสำคัญตามหลักการม่อจื๊อ ทำให้คิดเห็นว่า เตียวเหยียง โฮจิ๋น ตั๋งโต๊ะ หรือใครก็ตาม ล้วนแต่เป็นนักการเมือง ย่อมมุ่งแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ให้กับฝ่ายตนไว้ก่อน จึงไม่ได้ถึงกับตั้งแง่รังเกียจพฤติกรรมฝ่ายตั๋งโต๊ะมากมายนัก อีกทั้งนิสัยส่วนตัวที่มันได้พบปะสนทนากับตั๋งโต๊ะโดยตรง ก็มิได้เลวร้ายจนเกินไป
ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้มันแตกต่างจากอ้องอุ้นที่ยึดถือแนวคิดสายขงจื้อ ที่เน้นคุณธรรมเป็นสำคัญ มันเพียงมีความคิดเห็นว่า นี่คือ โอกาสของกลุ่มนักคิดสายม่อจื๊อแล้ว จึงเพียงยื่นข้อเสนอให้ลูกสมุนของตั๋งโต๊ะเพลามือลงบ้าง เพื่อรักษาฐานเสียงของประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งจอมทรราชย์รับปากโดยง่าย เพราะเห็นพ้องว่า ถึงเวลาต้องปรับปรุงท่าทีบ้างเช่นกัน
เมื่อมันได้รับตำแหน่งแต่งตั้งจากตั๋งโต๊ะ ก็สนับสนุนรัฐบาล ปรับเปลี่ยนตำแหน่งงาน และผลักดันผลงานเต็มความสามารถเพื่อรับใช้แผ่นดินฮั่น โดยบางครั้งยอมปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ความเลวร้ายของฝ่ายตนเอง เพื่อรักษาอำนาจรัฐไว้บางส่วน และรอคอยโอกาสในการช่วยเหลือประเทศชาติในยามคับขัน บางครั้ง ก็เลยตามเลยตามน้ำ รับส่วยสินบน หรือ เบี้ยบำเหน็จกำนัลจากพรรคพวกของตั๋งโต๊ะ เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ บัณฑิตกับทรราชย์จึงกลับมีความสัมพันธ์เช่นนี้
นับว่า ซัวหยงเป็นยอดคนที่กล้ำกลืนความอัปยศโดยแท้ และภาระหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มันยินดีอย่างมาก ก็คือ การได้เป็นพระราชครูให้กับพระเจ้าเหี้ยนเต้อย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถสั่งสอนแนวทางความคิดแบบม่อจื้อให้กับฮ่องเต้น้อยอดทนอดกลั้น เพื่อรอคอยวันที่มีโอกาสลงมือชิงอำนาจกลับคืน
วีรชนแบบซัวหยง ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่ใช่สิ้นสุดแค่ตัวมัน หากแต่วีรชนเหล่านี้ เหมือนปิดทองหลังพระ บางครั้ง ก็สำเร็จ เป็นจุดพลิกผันของฝ่ายที่ได้ชัยชนะ บางครั้งก็ล้มเหลว กลายเป็นตัวร้ายตายเปล่า พวกมันทั้งหลายเกิดขึ้นและสูญหายไปในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ทางสายทหาร ตั๋งโต๊ะก็ยึดถือเอาทหารเสือทั้งสอง อันมีอ้วนเสี้ยวกับโจโฉ เป็นนายทหารใหญ่ในสังกัด เทียบเท่าลิฉุย กุยกี ลูกน้องดั้งเดิมในกองทัพตนเอง โดยให้อ้วนเสี้ยว ซึ่งเป็นคนดัง เชื้อสายขุนนางเก่า ขึ้นเป็นสมุหกลาโหมแทนโฮจิ๋น ตอบแทนที่อ้วนเสี้ยวนำกองกำลังเก่ามาสวามิภักดิ์เป็นรายแรก และแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างที่เปิดรับขุมอำนาจเก่าที่โอนอ่อนผ่อนตาม
แต่ตั๋งโต๊ะก็กระจายอำนาจหน้าที่ โดยปรับให้เอียวปิดไปอยู่สายการข่าวแทนอ้วนเสี้ยวที่ถูกเลื่อนขึ้นเป็นสมุหกลาโหมไปแล้ว และผ่องถ่ายกองทัพพยัคฆราชสายนักรบออกไปให้กับฮัวหยง ลูกน้องเก่าจากเสเหลียง ดูแลแทน จึงเป็นการลดบทบาทการบังคับบัญชาของหัวหน้าสามกองพลแห่งกองทัพพยัคฆราชเดิมลงโดยปริยาย ซึ่งอ้วนเสี้ยวต้องคอยปรามให้โจโฉ เอียวปิด ยอมตามทิศทางลมไปก่อน เพื่อรอคอยโอกาสลงมือในภายหลัง
ที่จริงแล้ว โครงสร้างของกองทัพยังมีสายบังคับบัญชาอื่นอยู่อีกจำนวนหนึ่ง หากแต่สายการข่าว สายเสนาธิการ และสายนักรบนั้นคือหัวใจหลักในการขับเคลื่อนกำลังพลของกองทัพพยัคฆราช โดยเฉพาะสายนักรบที่มีจำนวนคนในสังกัดมากที่สุด ดังนั้น การปรับเปลี่ยนอย่างกระทันหันเช่นนี้ ย่อมทำให้ตั๋งโต๊ะเข้าควบคุมกองทัพพยัคฆราชที่หลงเหลือไว้ในกำมือแล้ว
หากแต่อ้วนเสี้ยวเริ่มมีความกังวลใจอยู่เงียบๆ เพราะไม่ปรากฏว่ามีขุนพลนามลิโป้ หรือพ่อเลี้ยงเต๊งหงวน ในวงการขุนนางเลย หรือว่า องค์กรป่วนอดีตฯ ทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงไปก่อนแล้ว จนวันหนึ่ง ลิซก กุนซือสำคัญ ของตั๋งโต๊ะ ก็แวะเวียนมาเยี่ยมอ้วนเสี้ยวถึงที่พัก "ท่านพี่กระสา ข้าพบลิโป้แล้ว แต่มีปัญหาใหญ่"
"ปัญหาใดหรือ อีกา" อ้วนเสี้ยวถามกลับ
ที่แท้ ลิซก ก็คือ อีกา ลำดับหก ที่ทำงานประสานกันกับเตียวหุย นกนางแอ่น ลำดับ เก้า มาโดยตลอด และได้มาเดินหมากต่อกับอ้วนเสี้ยว นกกระสา ลำดับสาม ที่เมืองหลวง จึงอธิบายเพิ่ม "ข้าสืบพบว่า เต๊งหงวนเกิดปัญหาอื้อฉาวในครอบครัว จนลาออกจากราชการไปนานแล้ว พวกเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อของมันปรากฏอยู่ ส่วนลิโป้เล่า เนื่องจากไร้คนหนุนนำรับเลี้ยงไว้ เลยเป็นเพียงนักสู้เร่ร่อนอยู่เท่านั้น และเพิ่งเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อนนี่เอง"
"คงเป็นฝีมือขององค์กรป่วนอดีต เรื่องนี้มันทำได้สำเร็จไปก่อนโดยที่พวกเราไม่ได้พบเห็น แล้วเราจะทำอย่างไรดี" อ้วนเสี้ยว หรือ นกกระสา งงงันไปกับสถานการณ์ที่แปรผันเกินคาด
“พวกเราก็คงต้องสร้างฉากให้เกิดลิโป้คนใหม่น่ะสิ พี่นกกระสา" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านบน ที่แท้คือ เหยี่ยวดำ ลำดับสิบสาม ที่มาแฝงตัวคอยช่วยเหลืออยู่กับอ้วนเสี้ยวในเมืองหลวงพอดี
...
ทวนไร้น้ำใจ ลิโป้ เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มดุดันในวัยสามสิบปี พเนจรร่อนเร่ไปในยุทธภพ มุ่งสร้างชื่อเสียงโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการสงคราม ประสบการณ์ยากแค้น และความไร้น้ำใจของผู้เป็นอาจารย์ในวัยเยาว์ หล่อหลอมมันให้ไม่เชื่อใจผู้คน นอกจากตัวมันเอง และอาวุธคู่กาย
ตัวมันมีชื่อเดิม เฟิงเสียน ถือกำเนิดในบ้านสกุลลิที่มีฐานะการเงินมั่นคง จึงมีพื้นฐานการศึกษา หากแต่เกิดเหตุในวัยแปดขวบ ครอบครัวเดินทางไปไหว้พระต่างเมือง กลับถูกโจรโพกผ้าเหลืองปล้นชิง สังหารผู้คนจนหมดสิ้น เหลือเพียงตัวมันที่เผอิญถูกสะบัดเหวี่ยงตกไปในท้องร่องข้างทาง จึงรอดชีวิตมาได้ หากแต่ไม่รู้ทางกลับบ้านเกิดเสียแล้วด้วยความที่ยังอายุน้อยเกินไป
เด็กน้อยเฟิงเสียนจึงต้องใช้ชีวิตร่อนเร่ หาทางกลับคืนสู่บ้านสกุลลิอย่างไร้เบาะแส จนกลายเป็นขอทานพเนจร กลับพบพานยอดฝีมือลึกลับที่ต้องการคนติดตามรับใช้อยู่พอดี โดยแลกเปลี่ยนกับการเรียนวิชายิงเกาทัณฑ์​ จนถึงวันหนึ่ง ยอดฝีมือกลับละทิ้งมันไปอย่างไร้เยื่อใย แม้แต่ชื่อเสียงเช่นไรก็ไม่เคยเปิดเผยให้รับรู้
เฟิงเสียนจึงกลับมาใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นข้าทาสแรงงานอีกหลายปี จนเผอิญถูกชะตากับขุนนางเมืองหลวง ได้รับการไถ่ตัวมาเป็นลูกเลี้ยงบำเรอกามที่เป็นกระแสนิยมด้านมืดในสังคมยุคนัั้นด้วยความจำยอม และส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก กลายเป็นช่วงเวลาเติบใหญ่พร้อมกับความแค้นเคืองต่อผู้คนรอบข้าง และรับฟังกระแสการต่อต้านรัฐบาลภายนอก ทำให้ลิโป้รับรู้ถึงเป้าหมายอีกหนึ่งเรื่อง เป็นการแก้แค้นต่อพรรคฟ้าเหลือง กลุ่มโจรที่โพกผ้าเหลืองเฉกเช่นเดียวกันกับพวกโจรที่ปล้นฆ่าครอบครัวของมันในอดีต
ทางออกเดียวที่มันจะจัดการพวกคนเหล่านี้ คือ วิทยายุทธ์ มันจึงเร่ิมมุ่งหวังฝึกปรือวิชาเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากวิชาเกาทัณฑ์ มันเก็บออมเงินทอง หวังขอร่ำเรียนวิทยายุทธ์ แต่สำนักยุทธ์กลับมีคนชั่วช้าปะปนอยู่มาก ถึงกับหลอกลวงช่วงชิงเอาเงินไป ยิ่งทำให้ลิโป้สะสมความเกลียดชังต่อผู้คนมากขึ้น สุดท้าย มันจึงลงมือล้างแค้นต่อพ่อเลี้ยงโฉดก่อน เพื่อไปให้ไกลจากดินแดนโสมม ค้นหาชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น
การเดินทางครั้่งนี้ มันกลับโชคดี ได้พบพานเซียนผู้วิเศษ มอบคัมภีร์ยุทธ์และทวนสีดำสนิทที่ถูกซุกซ่อนในถ้ำใหญ่กลางป่าเขา จึงทุ่มเทฝึกฝนวิชาด้วยตนเอง อาศัยหมาป่า และเสือร้ายเป็นเป้าซ้อมฝีมืออยู่หลายปี ค่อยกลับเข้าเมือง ใช้ชื่อ ลิโป้ ทวนไร้น้ำใจ วางเดิมพันประลองฝีมือไปตามพวกสำนักยุทธ์ต่างๆ ถึงกับสามารถเอาชนะนักสู้ชั้นสูงได้ไม่น้อย จนเริ่มมีชื่อเสียงเลวร้ายในยุทธภพอยู่บ้าง
ภาพลักษณ์ของยุทธภพในยุคราชวงศ์เสื่อมโทรมย่อมมิได้สวยงามมากนัก นักสู้บางคนก็เป็นเพียงผ่านเหตุการณ์ศึกสงครามมาบ้าง เรียนรู้การต่อสู้มาจากกองทัพ หรือถ่ายทอดกันในวงศ์ตระกูล ส่วนรากฐานสำนักวิทยายุทธ์ก็ยังไม่แข็งแกร่งมั่นคงนัก คงมีแต่ตัวเจ้าสำนักก่อตั้งหรือผู้ฝึกสอนไม่กี่คนที่พอมีน้ำหนักบ้างเท่านั้น จึงถือว่า นิยามของยุทธภพในสมัยโบราณนั้นยังอ่อนแอเปราะบางยิ่งนัก
การที่ลิโป้พบพานยอดวิชา ได้อาวุธชั้นเยี่ยม จึงถือว่าได้เปรียบมาแล้วหลายขั้นนัก กอปรกับมีพื้นฐานวิชาเกาทัณฑ์ดั้งเดิม จึงทำให้พอจะเบียดเสียดเข้าสู่ทำเนียบคนมีชื่อเสียงได้ไม่ยากนัก แม้ว่า การฝึกฝนนั้นเป็นการร่ำเรียนด้วยตนเองก็ตาม
น่าเสียดายที่ยามนั้น พรรคฟ้าเหลืองกลับแตกสลายไปแล้ว และพ่อเลี้ยงชั่วช้าก็หายสาบสูญ มันจึงเหลือเพียงการค้นหาบ้านเกิดเป็นเป้าหมาย ยามที่อับจนปัญญา มันกลับคิดได้ว่า แทนที่จะออกไปค้นหาทีละเมือง มันเพียงสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ พวกญาติพี่น้องก็อาจจะติดต่อกลับมาได้เอง มันจึงต้องเปลื่ยนวิธีการใหม่ รีบเดินทางมาถึงเมืองหลวง เพื่อสมัครเข้ากองทัพ เพราะเชื่อมั่นว่า ฝีมือของมันน่าจะมีน้ำหนักเพียงพอต่อตำแหน่งทหารระดับขุนพลได้บ้างเช่นกัน
ยามเช้าแล้ว ลิโป้ก้าวเดินไปยังโรงทหารด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตั้งใจจะสมัครเป็นทหารอาสาเพื่อทดสอบฝีมือวัดระดับตามธรรมเนียม
แต่แล้ว เงาร่างคนสูงใหญ่ทิ้งตัวลงตรงหน้า ใช้เพียงมือเปล่าไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถชิงเอาทวนไร้น้ำใจไปจากมือมันได้ และนำมาจ่อที่คอหอยของมัน พร้อมกล่าวคำชักชวนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ลิโป้-เฟิงเสียน เจ้าพร้อมจะเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของแผ่นดินแล้วหรือไม่”
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา