1 ก.พ. 2021 เวลา 22:00 • ปรัชญา
เปลวไฟกลางสายธาร (ประกายไฟกลางสายธาร) (๑๓)
คนรับใช้ของชีวิต
เรามีความคิดเกี่ยวกับเรื่องความดีสูงสุดที่ได้รู้จัก แต่เราไม่ย้อนไปดูสิ่งที่เราคิดยึดถืออยู่ว่าเป็นอะไร เป็นสิ่งที่ต้องเลี้ยงไว้หรือเป็นสิ่งที่ต้องละ เมื่อเราเฝ้าดูจิตจริงๆ เราจะพบว่าความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีความเหลวแหลกในตัวของมัน
ความคิดมากมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงเพื่อเสริมให้เราอวดโอ่ต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น เพียงแต่เราเห็นความคิดที่เกิดขึ้น เห็นความเหลวแหลกในตัวของมัน ว่ามันคิดพะนออัตตา ต่อให้ความคิดที่เราชอบเรียกมันว่า creative-สร้างสรรค์ แต่ก็มักเหลวแหลกอยู่ในตัวมัน อวดอ้าง ยโสโอหังแฝงอยู่ ระบบการศึกษาของเราทำให้เรารู้สึกคุยโตกันเกินไป
"เราจะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อสังคมมันเป็นเช่นนี้ เราจะอยู่อย่างไม่คิดได้อย่างไร?"
ปัญหาเรื้อรังเป็นสมการที่ซับซ้อนนี้ แทนที่เราจะตั้งต้นสะสางให้ง่าย เรากลับทำให้ไม่รู้จบ และที่สุดช่วงชีวิตของเราไม่ใช่การมุ่งแก้ปัญหา ไม่ใช่การมุ่งทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ซับซ้อนขึ้นด้วยความคิด คิดสับสนหนักขึ้นทุกวันๆ เราฉลาดเกินไป เพราะเราถูกสั่งสอนให้ยึดถืออัตตาที่ฉลาดสามารถ และเรามุ่งหวังที่จะเป็นคนเก่งกับเขาสักคนหนึ่งในสังคมอันยุ่งยากนี้ด้วย
อย่าทำให้ชีวิตลำบาก เพียงทำใจให้ซื่อๆ ดำรงสติอยู่ ทำใจให้ซื่อเท่านั้น ไม่มีอะไรมาก อย่าต้องการอะไรมาก การกระทำนี้มันเพียงเพื่อให้เราเลิกต้องการ เลิกจัดสรรตัวเองคือเลิกหวาดกลัว
ผู้มีความรู้ที่แท้จริงต่อการดำรงชีวิต ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้มีชีวิต เหตุผลอันมากมาย ข้อคัดค้านอันมากมายพรั่งพรูหลั่งไหลในใจเราในเรื่องนี้ก็เพราะเรายังไม่แตะต้องตัวชีวิตนั้น
เหมือนคนที่หิวน้ำ ต่อให้แช่อยู่ในสระน้ำอันใสเย็นก็จะตะโกนด้วยความหิวน้ำ ด้วยเหตุผลนานาประการที่จะไม่ดื่มน้ำ ทั้งๆ ที่เราก็แช่อยู่ ก็เพราะไม่รู้จักน้ำว่ามีอยู่ที่ใดและน้ำนั้นมีประสิทธิคุณอย่างใด
ธรรมก็คือตัวเรานั่นเอง ตัวเราก็คือธรรม ความพออกพอใจของเราน่าจะขึ้นกับการมีชีวิตล้วนๆ การที่เห็นแสงแดด เปลวไฟ หรือการได้นั่งหายใจอยู่ รู้ธรรม-รู้ตัวอยู่ ไม่มีการโอ้อวด ไม่มีริษยา ไม่คลางแคลงในตัวชีวิต
ตราบเรามาถึงวันซึ่งชีวิตบอกเราว่า เราควรจะทำอะไร บอกเราให้เป็นผู้ที่สนับสนุนชีวิต รับใช้ชีวิต ชีวิตมันจะบอกเราว่าควรจะสะสมทรัพย์ ควรจะวางแผนเท่าใด ชีวิตมันเป็นนายของเรา
ตัวเราเป็นอะไรบางอย่างที่แผ่วเหมือนหมอกบาง ส่วนชีวิตนั้นเป็นดุจแสงอาทิตย์อันแรงกล้า หมอกเหล่านั้นไม่อาจรอหน้าได้ ตัวเราเป็นเพียงคนรับใช้ของชีวิต
แม้ว่าวิถีชีวิตในสังคมนี้ เราอาจจะถูกเหยียบย่ำ เราอาจจะพลาดจากการมีชีวิตที่มั่งมีศรีสุข แต่เราก็ได้มีชีวิตอันแท้จริง
เราอาจจะพลาดจากการมีสถานภาพทางสังคม, ฐานะ และการสนับสนุนจากผู้อื่น แต่เราไม่พลาดจากการดำรงชีวิต มันก็พอเพียงแล้วที่เราจะค้นพบความดี ความงาม และความจริงของชีวิต
การมีชีวิตกับความดีนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน การมีชีวิตอยู่กับความรู้แจ้งก็เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะชีวิตนั้น คืออาการแห่งการรู้สึกตัว-รู้ได้อยู่ในตัว และทุกขณะการรู้อยู่ของชีวิตมีต่อเนื่องกัน
ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องการอะไรอีก เมื่อนั้นเราเข้าถึงชีวิตแล้ว เข้าถึงชีวิตล้วนๆ แล้ว
มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องการอะไรนั้น อาจจะดูโง่เกินไปก็ได้ แล้วๆ เล่าๆ เราพูดว่า "เดี๋ยวนี้ ผมไม่ต้องการอะไร ผมเป็นคนไม่มีปัญหา ผมเป็นคนมีอิสระ" แล้วปล่อยให้จินตนาการเพ้อพกเกี่ยวกับอิสรภาพเกิดขึ้น
ดังนั้น เมื่อความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น ปัดมันทิ้งไป มองให้เห็นความเหลวแหลกของความคิดปรุงแต่ง การมองเห็นความเหลวแหลก แทนที่ตัวเราจะเหลวแหลก กลับจะเบาโปร่ง อิสระขึ้นในตัวเอง
อยู่กับขณะปัจจุบันจริงๆ เห็นอยู่ต่อสภาพจริงๆ ในขณะนั้น ไม่รัก ไม่เกลียดสิ่งใดๆ ในโลก ชีวิตอยู่เหนือความรักและความเกลียดเหมือนดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว ล้วนอยู่เหนือความรักและความเกลียด
สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่เหนือความรักและความเกลียด การวิปัสสนาเช่นนี้ เราไม่ต้องอาศัยรูปแบบใดๆ แต่อาศัยสิ่งเดียวคือความสงัดทางใจและการใฝ่สัมฤทธิ์ทางธรรม
สิ่งดีๆ มักจะซ่อนอยู่เหนือความคิดซ้ำซากของชีวิต ผิวหนังอันอ่อนนุ่มมักจะซ่อนอยู่ในซอกของอวัยวะ, ดอกไม้ซึ่งงามลึกซึ้งมักซ่อนอยู่ในป่าลึก นกสีแปลกๆ สวยๆ มักอยู่ในป่าที่ลึกไกลๆ ฉันใด ปรีชาญาณอันเร้นลับก็ห่างไกลจากวิถีคิดนึกตามสามัญอันนั้น
ทิวทัศน์อันงดงามของชีวิตนั้นเป็นการเห็นเฉพาะตัว เหมือนเราอยากจะชื่นชมกับทิวทัศน์ดั้งเดิมจริงๆ นั้น ต่อเมื่อเราไม่เห็นรอยเท้าของผู้คนเท่านั้น เมื่อตัวเราซึ่งเป็นตัวแทรกแซงในทัศนียภาพอันงดงามของชีวิตนั้นไม่มีอยู่ เมื่อนั้นการเห็นของเราก็สมบูรณ์แล้ว
วันแล้ววันเล่าที่เราวนเวียนอยู่ในวัฒนธรรมของชาวพุทธ ค่านิยมอะไรต่างๆ แต่นั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พอจะทำให้ชีวิตชัดเจนขึ้น การทำบุญสุนทานมากมาย เทียบไม่ได้กับการแผ่เมตตาชั่วครู่ชั่วยาม
การนึกแผ่เมตตานั้นมีอานิสงค์สูงกว่าการทำทานด้วยวัตถุมากมายนัก
แต่การแผ่ความรักความเมตตานั้นเทียบไม่ได้กับการเห็นแจ้ง เพียงแต่เราเห็นความคิด และมันยุบตัวลงในขณะนั้น อานิสงค์ก็สูงยิ่งกว่าการแผ่เมตตา หรือทำบุญสุนทานอย่างเทียบกันไม่ได้
อย่ากังวลสงสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้รับการแผ่เมตตานั้นหรือไม่ เขาจะล่วงรู้หรือไม่ว่าเรารักเขา ไม่จำเป็นใดๆ ที่จะต้องตั้งคำถามเช่นนี้ขึ้น เพราะว่าเรานั้นรู้ก่อน เมื่อเราแผ่ความรัก ความรักกระทบตัวเราก่อนเพื่อน
และเชื่อเถิด เมื่อความรักกระทบตัวเรานั้น การเข้าเกี่ยวข้องกับทุกๆ สิ่งคือการเกี่ยวข้องด้วยความรักและเมตตา ตัวเราเป็นความรักก่อนจึงจะให้ความรักผู้อื่น
เปลวไฟกลางสายธาร (ประกายไฟกลางสายธาร)
การบรรยาย ท่ามกลางป่าเขา น้ำตก และความหนาวเหน็บบนดอยในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๒ หลายชีวิตไปรวมกันอยู่บนม่อนผาลาด ดอยสุเทพ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา