26 ม.ค. 2021 เวลา 12:06 • ไลฟ์สไตล์
บทที่ 8 พิชิตคดียา ไม่ใช่แค่ถามค้าน ซีรีส์ : เรื่องจริงหลังสอบตั๋วทนายความลับที่ไม่มีใครบอกคุณ
พิชิตคดียา ไม่ใช่แค่ถามค้าน
การได้ทำคดีอุกฉกรรจ์เป็นอีกหนึ่งความไฝ่ฝันของผู้เขียนในฐานะทนายความ นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องความท้าทายแล้วการได้ทำคดีที่มีความร้ายแรงเพียงคดีเดียวจะทำให้เราได้ประสบการณ์ในการทำงานอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับการอ่านหนังสือกฎหมายร้อยเล่มเลยทีเดียว เพราะต่อให้อ่านหนังสือมามากแค่ไหนก็ไม่มีวันเข้าใจหรือเห็นภาพเท่ากับการลงมือทำงานจริง และแล้ววันหนึ่งผู้เขียนก็ได้มีโอกาสได้ทำคดีสำคัญที่มีอิสรภาพของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเดิมพันนั่นคือคือคดียาเสพติด ซึ่งคดียาเสพติดนั้นมีทนายน้อยคนนักที่อยากจะทำ
จากเดิมที่ได้เรียนรู้มาว่าการทำคดียาเสพติดนั้นต้องเตรียมถามค้านดีๆ คิดหาคำถามเจ๋งๆ ไปถามค้าน จากที่เคยเข้าใจว่าการต่อสู้คดียาเสพติดนั้นทนายไม่ต้องทำอะไร ทำเพียงแค่การเตรียมคำถามไปถามค้านฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในความเป็นจริงการต่อสู้คดียาเสพติดมีมากกว่านั้นและไม่มีสูตรตายตัว ผู้เขียนได้เรียนรู้ว่าต่อให้สร้างสรรค์คำถามค้านที่ดีที่สุดแค่ไหนก็ตามถ้าไม่สามารถตัด “ปมของคดี” ที่มัดตัวจำเลยอยู่ ยังไงก็ไม่รอด และการถามค้านไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการตัดปมนั้น
จากที่เคยเข้าใจว่าต้องถามค้านให้เยอะที่สุด ถามอะไรก็ได้ ถามให้เยอะๆ เข้าไว้ หรือสู้แบบมวยวัดที่เหวี่ยงหมัดเปะปะโดยคิดว่ายังไงต้องโดนสักหมัดล่ะวะเป็นวิธีการที่ดูแล้วไม่ค่อยจะได้ผลถ้าคำถามนั้นไม่ “คม” พอที่จะไปตัดปมของคดีเลยอีกทั้งยังเป็นวิธีการที่เสียเวลาโดยใช่เหตุ ข้อดีอย่างเดียวของการถามค้านแบบมวยวัดที่ผู้เขียนเห็นก็คือเพื่อให้พยานสับสนและเบิกความขัดกันเท่านั้น
1
ในคดีนั้นผู้เขียนได้เรียนรู้ว่าการถามพยานฝ่ายเราเองก็สามารถตัดปมของคดีนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างจำเลยกับยาเสพติดและความสำพันธ์ของผู้ร่วมกระทำความผิด ดังนั้นแทนที่จะพุ่งเป้าไปที่การถามค้านพยานฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียว การเตรียมถามพยานฝ่ายตนเองดีๆ ให้เบิกความสอดคล้องกันก็มีความสำคัญพอที่จะทำให้จำเลยที่เป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากความผิดได้เลย
ด้วยความที่ผู้เขียนเป็นทนายสายลุย การลงสำรวจพื้นที่ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการทำคดี การได้เห็นสถานที่เกิดเหตุจริงจะทำให้ทนายเห็นถึงความถูกต้องหรือผิดพลาดของพยานหลักฐานฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี และสามารถจินตนาการได้ถึงธรรมชาติของพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น หากในสำนวนเขียนว่าจำเลยวิ่งหนีหายไปทางด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงด้านหลังตัวบ้านเป็นหนองน้ำหรือเป็นคลองจะเป็นไปได้ไหมที่จำเลยจะวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นต้น อย่างไรก็ดีการลงสำรวจพื้นที่เกิดเหตุมีความเสี่ยงไม่ว่าจะกับทนายหญิงหรือชายก็ตาม ดังนั้น จึงควรมีเพื่อนหรือทีมงานลงพื้นที่ด้วย
2
แม้ในสำนวนคดีมักมีแผนผังสถานที่เกิดเหตุอยู่แล้วก็ตาม ผู้เขียนในฐานะทนายความจำเลยก็ยังต้องลงมือทำแผนผังสถานที่เกิดเหตุเองขึ้นมาอีกฉบับรวมถึงถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุณ์ด้วยตนเอง เนื่องจากในคดีนั้นที่ผู้เขียนรับผิดชอบสถานที่เกิดเหตุถือเป็นอีกหนึ่งปมของคดีที่สำคัญ จึงต้องถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดทุกมุม รวมถึงจดบันทึกลักษณะอาคาร ต้นไม้ พื้นที่ สีสันตลอดจนวัสดุไว้สืบพยานในชั้นศาล
โชคดีที่ในคดีนั้นสภาพการณ์ในพื้นที่เอื้ออำนวยให้ผู้เขียนสามารถสอบถามหรือพูดคุยกับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุหรือในวันที่มีการจับกุม ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนสามารถประมวลเหตุการณ์จริงในวันดังกล่าวได้ว่าตามข้อมูลในสำนวนนั้นจริงเท็จแค่ไหนอย่างไร
จากการทำคดีนี้ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ว่าการทำคดีอุกฉกรรจ์โดยเฉพาะคดียาเสพติดหัวใจสำคัญคือการหา “ปมของคดี” ให้เจอ ว่าปมของคดีที่จะทำให้จำเลยติดคุกหรือพ้นผิดนั้นอยู่ที่ไหน แล้วหาวิธีตัดปมนั้นให้ได้ การถามค้าน การถามพยานหรือเทคนิคใดๆที่จะใช้ต้องพุ่งเป้าไปที่การตัดปมของคดี ต้องไม่ทำอะไรแบบเหวี่ยงแหเพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วอาจทำให้จำเลยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกก็เป็นได้
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
ติดตามเนื้อหาตอนอื่นๆได้ที่
………………………………………………………………………….
#ทนายยุ้ยคุยกฎหมาย
#ทนายดิษญา
โฆษณา