27 ม.ค. 2021 เวลา 10:44 • หนังสือ
สรุป Fear of Missing Out [Part 1]
คุณเข้าใจตัวคุณเองมากน้อยแค่ไหนกัน
ในชีวิตที่สับสนวุ่นวาย และเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เราพยายามจะปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆไปพร้อมๆกับการก้าวไปข้างหน้า แต่เราเข้าใจสิ่งที่เราเลือก ทางที่เรากำลังจะไปมากน้อยแค่ไหนกัน
สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาเจอกันหลังจากที่ได้รีวิวหนังสือ 📚 Fear of Missing Out ไม่ต้องตามใครแค่ใช้ชีวิตในแบบของคุณไปในโพสที่แล้วนะคะ ในวันนี้ก็จะมาสรุปเนื้อหาคราวๆให้ฟังในส่วนต้นของหนังสือ
หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึง อาการของการกลัวตกกระแสหรือ FOMO และอีกอาการหนึ่งที่เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน นั่นก็คือ FOBO 📚
ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้แบ่งไว้เป็น 4 ส่วนนะคะ นั่นก็คือ ทำความรู้จักกับสองพี่น้อง ผลกระทบของมัน วิธีรับมือ และสุดท้ายก็คือการนำไปใช้ประโยชน์ค่ะ 👍🏼
เริ่มต้นเลยนะคะ คำว่า FOMO และ FOBO เป็นคำที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้คิดและบัญญัติ💡 ขึ้นตั้งแต่สมัยที่เค้าเรียนอยู่ที่ Havart Business School หลังจากนั้นคำนี้ก็กลายเป็นคนยอดฮิต ที่กระจายตัวไปทั่วทุกมุมโลก ไปพร้อมๆกับอาการของมัน
FOMO เป็นเรื่องของความรู้สึก และความรีู้สึกนั่นก็คือ ความทะเยอทะยานที่จะไขว้ขว้าสิ่งที่ดีกว่า ใหม่กว่า และสดใสกว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่ และที่สำคัญก็คือเราจะเชื่อเสมอว่าเรามีตัวเลือก ซึ่งอาการแบบนี้เกิดจากสิ่งที่ในหนังสือเรียกว่า
ความไม่สมมาตรของข้อมูล ก็คือเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่มันเป็นตรงกันมั้ย และความรู้สึกแบบนี้แหละค่ะที่หอมหวานและเย้ายวนใจมากๆ 😱
เจ้าโฟโมเกิดมาจากหลายสาเหตุค่ะ แล้วก็อยู่กับเรามาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ตั้งแต่เรายังอยู่ในถ้ำ วิ่งในป่าล่าสัตว์กันอยู่เลย เพราะตามหลักชีววิทยา เราถูกสร้างให้วิตกจริต และเรียนรู้ที่จะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ เพื่อความอยู่รอด 👍🏼
ว่ากันง่ายๆคือ เราเรียนรู้ที่จะทำตามกลุ่มไป เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่ง และไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เพราะถ้าถูกทิ้งก็คืออดตาย แต่ในยุคนี้การตามๆกันไปไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความอยู่รอดอีกต่อไปแล้ว
นอกจากนี้โฟโมก็ถูกฝังอยู่ในทั้งศิลปะ วัฒธรรม รวมไปถึงศาสนาอีกด้วย และเจ้าตัวร้ายอีกตัวที่เรารู้จักกันดีและอยู่เบื้องหลังทุกอย่างเลยก็คือ เทคโนโลยีค่ะ ถึงแม้ผู้เขียนจะบอกว่าเฟสบุ๊คของเราไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของโฟโม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเทคโนโลยีคือแรงผลักดันอันใหญ่หลวง 😱
โฟโมมีผลต่อความคิดและทัศนคติของเราอย่างมากเลยนะคะ มันจะทำให้เรารหมดสนุก รู้สึกด้อยค่า แล้วก็เชื่อว่าเราประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนอื่น
โฟโมถูกใช้อย่างมากในภาคธุรกิจ เพราะมันส่งทำให้เราใช้อารมณ์เหนือเหตุผล และอยากทำอะไรที่เราไม่คิดจะทำ เนื่องจากความทะเยอะทะยาน และความต้องการเป็นส่วนนึงของฝูงชนที่โฟโมมอบให้เรา ทำให้เราทำอะไรโดยที่ไม่ได้ใช้เหตุผล
อย่างเช่น การที่เราทานอาหารร้านดัง ถึงแม้จะต้องต่อคิวเป็นชั่วโมงแต่ก็ยังอดทนรอ หรือการซื้อกระเป๋าแบรนเนมชื่อดัง ที่ถึงจะแพง เงินเดือนเราจะน้อย แต่ก็ยอมผ่อน เพราะดาราบอกว่าเราต้องมี😱
⚠️มาถึงคิวของโฟโบ พี่น้องที่คลานตามกันมาติดๆ แต่กลับร้ายกว่ามาก ที่เรียกโฟโบว่าเป็นพี่น้องกับโฟโม ก็เพราะว่าถ้าเรามีโฟโม เราก็มีโอกาสเป็นโฟโบได้ค่ะ
โฟโบคือทัศนคติที่พยายามเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งมันจะทำให้เรารอคอยตัวเลือกที่ดีที่สุด และกลัวที่จะทิ้งตัวเลือกอื่นๆ เพราะความจริงเราก็กลัวจะพลาดตัวเลือกที่มีอยู่เช่นกัน
อาการแบบนี้ส่งผลกระทบวงกว้าง ตั้งแต่เวลา งาน เพื่อน ครอบครัว เคยเจอคนที่นัดแล้วเทบ่อยๆมั้ยคะ หรือไม่ยอมรับนัดสักทีรอไปเรื่อยๆ เฮ้อ
2
คนที่เทเราเค้ามีหลายเหตุผล แต่ที่แน่ๆก็คือเราเป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งของเค้า ที่สุดท้ายแล้วดีไม่เท่าตัวเลือกอื่นของเค้า เราก็เลยโดนเท นี่แหละค่ะ คือผลกระทบจากโฟโบไปยังคนรอบข้าง
ซึ่งการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าก็ติดตามตัวเรามาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์เช่นกัน มนุษย์เรียนรู้ที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอดของตัวเรา👍🏼
2
นึกภาพตามนะคะ ถ้าบรรพบุรุษของเรานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ทะเลทรายอันแห้งแล้ง โดยไม่มองหาแหล่งน้ำเนี้ย ป่านนี้เราคงสูญพันธ์ตามไดโนเสาร์แล้วปล่อยให้แมวครองโลกไปแล้ว 🤣
แล้วอีกปัจจัยนึงที่พลักเจ้าโฟโมให้ทะยานขึ้นไปอีกขั้นก็คือวัฒนธรรม วัฒนธรรมมีผลต่อความคิด และความแตกต่างของวัฒนธรรมก็มีผลต่อตัวเราแตกต่างกันออกไปค่ะ
เช่น คนที่เกิดในสังคมที่ให้ค่าความอิสระ และเชื่อว่าเราการเลือกคืออิสระ เค้าก็จะให้ความสำคัญกับการเลือกมากๆ
แตกต่างจากคนที่เกิดมาในสังคมที่มีข้อจำกัด การเลือกไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย เค้าก็จะมีแนวโน้มที่จะยอมรับในสิ่งที่ได้มามากกว่าแสวงหาต่อไปเรื่อยๆ 😱
3
และปัจจัยสิ่งท้ายก็คงหนีไม่พ้นเฟสบุ๊คของเรา หรือเทคโนโลยีนั่นเอง เทคโนโลยีทำให้เราเข้าถึงตัวเลือกได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกลหรอกค่ะ Shopee ที่รักของเรานั่นเอง มีของให้เลือกเป็นร้อยๆ เจ้านั่นก็ถูก เจ้านี้ส่งไว เจ้านั่นที่ของแถม เลือกไม่ถูกสับสนไปหมด
โฟโบนั่นส่งผลต่ออาชีพของเราอย่างมากค่ะ แล้วก็ส่งผลต่อรูปแบบการทำงานของเราอีกด้วย มันสามารถชะงักการตัดสินใจของเรา หยุดยั้งการสร้างนวัตกรรมต่างๆ และยังทำลายความเป็นผู้นำอีกด้วย
นั่นเป็นเพราะโฟโบมีอำนาจที่จะทำให้เราอยากหยุดรอไปก่อน แล้วก็ไม่เลือกอะไรสักที ผู้นำที่ไม่กล้าตัดสินใจ ก็เหมือนแม่ทัพที่ไม่กล้าสั่งรบ จนข้าศึกเคาะประตูเรียก กว่าจะสั่งรบก็สายไปซะแล้ว😱
ถึงแม้การรั้งรอและต่อรองจะถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการทำงานของหลายๆอุตสาหกรรม แต่ถ้าทำจนเป็นนิสัยและเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน คงไม่ใช่เรื่องน่ารักสักเท่าไหร่
เพราะทุกคนต้องมานั่งรอเราตัดสินใจ จะทำไม่ทำ จะไปไม่ไป หรือจะคบไม่คบ คุยมาครึ่งปี คุยอยู่เป็นโหล ไม่เลือกสักที (โกรธเหมือนเป็นเรื่องของตัวเอง 555🤣) การกระทำแบบนี้ไม่น่าเอ็นดูสักเท่าไหร่หรอกค่ะ
เราจะกลายเป็นคนโลเล และเห็นแก่ตัวในสายตาคนอื่น และสุดท้ายอาจจะเสียความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นไปเลย 😱
เห็นแล้วใช่มั้ยคะ ว่าผลกระทบจากเจ้าพี่น้องทั้งคู่นั่นร้ายแรงกว่าที่เราคิด แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ผู้เขียนได้ให้ยาถอนพิษไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ติดตามกันได้ในสรุปพาร์ทต่อไปได้เลยค่ะ👍🏼
อย่าลืมกดติดตาม หรือคอมเม้นเล็กๆน้อยเป็นกำลังใจให้มีแรงออกตอนใหม่เร็วๆนะคะ 💕
หนังสือ: Fear of Missing Out ไม่ต้องตามใครแค่ใช่ชีวิตในแบบของคุณ
หมวดหมู่: จิตวิทยาและพัฒนาตนเอง
ผู้เขียน: แพทริค เจ. แมคกินนิส
ผู้แปล: สุวิชชา จันทร
สำนักพิมพ์: Amarin How to
#ReadD #หนังสือน่าอ่าน #รีวิวหนังสือ #หนังสือแนะนำ
โฆษณา