Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
11 ก.พ. 2021 เวลา 00:18 • นิยาย เรื่องสั้น
1.24. วิถีจารชนหัวขบถ
อ้วนสุด ผู้นำขบถฉิวฉุน - จิวยี่ ขุนพลสำอาง - ไทสูจู้ ขุนพลเจ้าปัญญา
ซุนฮก กุนซือหนุ่มใหญ่ กำลังมาแรงในกองกำลังฝ่ายโจโฉ ที่จริงแล้ว มันเป็นญาติสนิทกับซุนเกี๋ยน แต่เพื่อการณ์ใหญ่ในวันหน้า ทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นมีปัญหาแค้นเคืองกันด้วยเรื่องสุราการพนัน เพื่อให้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉเข้าใจไขว้เขวไปจากสภาพความเป็นจริง เพราะทั้งสองประเมินว่า ต่อไปภายหน้า อ้วนเสี้ยว โจโฉ คงต้องมีอนาคตยาวไกล และอาจจะกลายมาเป็นอุปสรรคต่อซุนเกี๋ยนก็เป็นได้
หลังฉากของมิตรภาพสามขุนศึกรุ่นใหม่ การแสดงละครตบตาต่อหน้าอ้วนเสี้ยวโจโฉจึงเป็นเสมือนใบเบิกทางให้ซุนฮกสามารถเข้าถึงสองคนนี้ได้เมื่อมีโอกาสอำนวย ซึ่งในที่สุด โอกาสนั้นก็มาถึงแล้วจริงๆ บัดนี้ มันอยู่เป็นกุนซือใหญ่ข้างกายของโจโฉที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอุปราชของแผ่นดินแล้ว
จุดประสงค์ในการแทรกซึมในยามนั้น คิดไว้เพียงเพื่อป้องกันอันตรายใดๆที่อาจจะเกิดต่อดินแดนภาคใต้ที่ซุนเกี๋ยนมุ่งหวังครอบครองเป็นฐานกำลัง โดยหน้าฉากของมันเหมือนจะยากจนข้นแค้น แต่ที่จริง มันกลับอยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมสุขสำราญ ที่เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวง เพื่อแอบเก็บเกี่ยวข้อมูลผู้คนสำคัญที่แวะเวียนเข้ามาใช้บริการในสถานที่ และแจ้งเบาะแสให้กับซุนเกี๋ยนสักระยะหนึ่งแล้ว
แต่เมื่อซุนเกี๋ยนเกิดตายไปอย่างกะทันหันจากข้อมูลเกี่ยวกับขุมกำลังลับของสุมาเต๊กโชที่มันส่งไปให้ ทำให้ซุนฮกยังคงต้องกัดฟันดำเนินแผนการต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เพราะนอกจากซุนเกี๋ยนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรับรู้ในแผนการนี้อีกเลย
สำหรับซุนเซ็ก ซุนกวน สองพี่น้องคนโตที่เหลืออยู่แล้ว ตัวมันก็เป็นเพียงญาติผู้ใหญ่ที่ไร้ความหมายคนหนึ่งตามสถานการณ์ที่สร้างขึ้นบังหน้าเท่านั้น นี่คือชีวิตอันน่ารันทดของสายลับโดยแท้
แต่สิ่งที่มันลงทุนลงแรงไปนั้น ได้ผลเป็นสองเท่าด้วยซ้ำ เพราะตอนที่มันแสร้งตกระกำลำบากในเมืองหลวงลกเอี๋ยงนั้น อ้วนเสี้ยวเป็นผู้ที่ลอบช่วยเหลือเจือจานให้มันมีชีวิตอยู่รอดได้มาโดยตลอด
เมื่อครั้งที่โรงเตี๊ยมของมันถูกเผาทำลายไปพร้อมกับเมืองหลวงลกเอี๋ยง และอ้วนเสี้ยวกำลังถอนทัพกลับไปตั้งตัวอยู่ที่เมืองกิจิ๋ว มันซึ่งเป็นลมหมดสติไปชั่วครู่เนื่องจากติดอยู่ในซอกหลืบตัวอาคาร จนสำลักควันไฟคละคลุ้ง รู้สึกหมดสิ้นหนทางแล้ว จึงได้แสดงตัวขอเป็นกุนซือในสังกัดติดตามทัพไปด้วย ซึ่งอ้วนเสี้ยวก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดียิ่ง โดยไม่รังเกียจในประวัติหน้าฉากอันฉาวโฉ่ของมัน
และแล้ววันหนึ่ง อ้วนเสี้ยวก็มอบหมายงานให้มันเข้ามาแทรกซึมอยู่ในกองทัพของโจโฉ เพื่อเป็นสายลับให้กับมัน โดยแนะนำให้มาช่วยโจโฉสร้างแผนแสร้งตายลวงลิโป้ และชักนำให้โจโฉยึดเมืองหลวงเอาไว้ก่อน
“ในความคิดของอ้วนเสี้ยวแล้ว มันคงต้องการยกโจโฉขึ้นเป็นเป้าล่อให้ปราบปรามเมืองต่างๆโดยรอบให้เป็นปึกแผ่นเสียก่อน แล้วมันค่อยจัดการโค่นอำนาจโจโฉในภายหลัง ดุจดั่งนกกระสาที่รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ละกระมัง” มันคาดเดาความคิดของอ้วนเสี้ยวที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดอย่างจริงจัง
แต่สำหรับแผนการยึดเมืองหลวงนั้นแปลกประหลาดนัก เพราะอ้วนเสี้ยวแนะนำให้ขอความร่วมมือจากกาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ ที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของแผ่นดินในฝ่ายของลิฉุยกุยกี ซึ่งทำให้ซุนฮกคาดเดาว่า กาเซี่ยงอาจจะเป็นสายลับสองหน้าของฝ่ายอ้วนเสี้ยวเช่นกัน
เพียงแต่แผนการลับสุดยอดครั้งนึ้ กาเซี่ยงห้ามไม่ให้เอ่ยอ้างถึงตัวมันเป็นอันขาด เพียงให้แจ้งต่อโจโฉว่าทำตามความคิดของมันเองทั้งสิ้น ซึ่งกาเซี่ยงก็อาศัยสถานะกุนซือใหญ่ของมันให้ความช่วยเหลือในการสร้างสถานการณ์ขัดแย้งกันระหว่างลิฉุยกับกุยกี ผ่านทางเอียวปิด เอียวปิว สองพี่น้อง ขุนนางสายม่อจื๊อที่เลือกข้างจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น จนกระทั่งลิฉุยกุยกีทั้งสองคนแตกหักรบกันเอง จนสูญเสียกำลังพลไปทั้งสองฝ่าย และปลุกเร้ามวลชนให้เปิดประตูเมือง เปิดโอกาสให้โจโฉนำกองทัพเข้ามายึดเมืองหลวงได้โดยง่าย เป็นการปิดฉากกองทัพหมีทมิฬอันเกรียงไกรของจอมทัพตั๋งโต๊ะในอดีต
นอกจากนั้นแล้ว กาเซี่ยงเองก็เป็นผู้ที่วางแผนให้ตังสินนำฮ่องเต้ไปซ่อนตัวไว้ก่อนเกิดศึกปฏิวัติเปลี่ยนขั้วอำนาจในครั้งนี้ และชี้แนะให้มันนำกำลังพลไปควบคุมตัวฮ่องเต้ไว้ก่อนมีใครพาหลบหนีไปที่อื่นอีก
ทั้งๆที่มีผลงานสำคัญทั้งสิ้น กาเซี่ยงกลับขอให้มันปกปิดเรื่องที่ลอบช่วยเหลือทั้งหมดในครั้งนี้ไว้ก่อน โดยกาเซี่ยงอ้างว่า มันยังมีภารกิจลับต่อเนื่องในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง จึงไม่สะดวกให้ใครรับรู้ว่ามันแอบช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง
“เวลาเท่านั้นเป็นบทพิสูจน์” กาเซี่ยงกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไป
ดังนั้น ซุนฮกจึงเป็นผู้ที่ได้รับความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ไปทั้งหมด ร่วมกันกับสองพี่น้องตระกูลเอียว และหัวหน้าองครักษ์ตังสิน
...
โดยสรุปแล้ว สถานะของซุนฮกนี้ช่างซับซ้อนยุ่งเหยิงยิ่งนัก จนมันเองก็ครุ่นคิดคำนึงจนเริ่มสับสนในความคิด หัวสมองถูกใช้งานกดดันจนแทบระเบิดแล้วเช่นกัน
เริ่มแรก มันคือพวกพ้องของซุนเกี๋ยน บิดาของซุนเซ็กที่กำลังแผ่อำนาจอยู่ทางแดนใต้ แต่ไม่มีผู้ใดในกลุ่มซุนเซ็กรับรู้ถึงความนัยนี้แล้ว ซึ่งมันเป็นสายลับสองหน้า เพื่อก่อการบ่อนทำลายอ้วนเสี้ยวกับโจโฉโดยตรง และดูแลจัดการให้ขุมกำลังทั้งสองอยู่ห่างไกลจากการเติบโตของกลุ่มซุนเซ็กไว้ก่อน
ต่อมา มันกลายเป็นกุนซือในสังกัดอ้วนเสี้ยว คนที่มีพระคุณต่อมันในยามตกยาก เป็นทูตล่อลวงที่เคยถูกอ้วนเสี้ยวหลอกใช้ให้เสียประวัติ จนถูกเพื่อนกุนซือในสังกัดเดียวกันแอบเย้ยหยัน และค่อยมาเป็นสายลับสองหน้าที่อ้วนเสี้ยวมอบหมายให้มาอยู่ข้างกายโจโฉ
และแล้ว มันได้กลายมาเป็นกุนซือในสังกัดโจโฉ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับโจโฉ และรวบรวมอำนาจการปกครองให้คืนสู่ราชวงศ์ฮั่น ตอนนี้ โจโฉให้น้ำหนักกับมันยิ่งกว่ากุยแกด้วยซ้ำ เพราะกุนซือหนุ่มมีอาการป่วยเรื้อรังตลอดมา และมันเองก็ล่วงรู้ความลับบางอย่างของกุยแกแล้วด้วย
คนที่มันกังวล กลับเป็นกาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ ที่ยากจะคาดเดาผู้นั้นต่างหาก
…
ที่จริงแล้ว เหตุการณ์ที่ประทับใจครั้งแรกของซุนฮกที่มีต่อโจโฉนั้น คือความแค้นฝังใจในอดีตเมื่อสิบปีก่อน
คืนหนึ่งในเมืองหลวงลกเอี๋ยง มันต้องออกจากบ้านในยามวิกาล เพื่อมาตามหมอตำแยให้มาทำคลอดให้กับภรรยาของมัน แต่กลับถูกนายทหารตรวจการหนุ่มหน้าใหม่เรียกทหารให้จับตัวไว้ไต่สวนเป็นเวลานาน และเฆี่ยนตีทำโทษอีกหลายที เพราะละเมิดคำสั่งที่ห้ามออกจากบ้านในยามวิกาล
ในค่ำคืนนั้น กว่ามันจะสามารถกลับมาถึงบ้านพร้อมกับหมอตำแย ก็สายเกินไปแล้ว ภรรยาสาวได้ขาดใจตายไปด้วยความเจ็บปวดจากการเบ่งคลอด ตายไปพร้อมกับทายาทคนแรกของมัน และสาเหตุสำคัญที่ทำให้มันกลับถึงบ้านช้าเกินไป เพราะนายทหารหน้าใหม่ที่ชื่อว่า “โจโฉ”
ชีวิตมันหลังจากนั้นจึงตกต่ำ และรันทดอย่างยิ่ง ก็เพราะโจโฉผู้นี้นี่เอง มีเพียงโต๊ะพนัน และสุราเมรัย ที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจมันไว้ได้จากความเศร้าเสียใจ ซึ่งแม้แต่ญาติสนิทอย่างซุนเกี๋ยนเอง ก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากช่วยปลอบใจในชะตาชีวิตของมันบ้างเป็นครั้งคราว
ดังนั้น หากลำดับความเป็นศัตรูแล้ว โจโฉย่อมมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยอ้วนเสี้ยว ที่ยังต้องชั่งน้ำหนักต่อไป หากไม่คิดทำร้ายพวกตระกูลซุนแล้ว ก็ยังพอเป็นมิตรต่อกันได้อยู่ เรื่องการหลอกใช้งานย่อมไม่อาจนับเป็นสาระสำคัญในหมากกระดานยามนี้ นี่จึงเป็นความลับภายในใจของซุนฮก
บางครั้ง ฮกอาจจะหมายความถึง “ค้างคาว” ค้างคาวที่มีความคิดเห็นเป็นเอกเทศ ไม่ต้องการเป็นพวกพ้องกับฝูงนก หรือฝูงหนูทั้งสิ้น ค้างคาวจึงมักจะลิขิตชีวิตของตัวเอง เป็นเส้นทางชีวิตของจารชนผู้โดดเดี่ยวและเดียวดาย
...
อ้วนเสี้ยว หรือนกกระสา อันดับสาม มีเปรียบเหนือผู้คนโบราณ เพราะมาจากยุคอนาคต ย่อมรู้สึกสงสัยในท่าทีของซุนเกี๋ยน และซุนฮกมาโดยตลอด ข้อมูลในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีความเชื่อมโยงกันของญาติทางสายเลือดให้ปรากฏ ทำให้อ้วนเสี้ยวต้องเลือกวิธีการปฏิบัติต่อซุนฮกเองว่า จะใช้หนทางใดในการผลักดัน หรือชักจูงให้ซุนฮกไปอยู่กับฝ่ายของโจโฉได้อย่างลงตัวที่สุด
มันเคยสร้างความผิดหวังให้กับซุนฮกเอาไว้เมื่อครั้งส่งตัวไปเจรจาทางการทูตกับกองซุนจ้าน หลอกลวงให้ร่วมกันกดดันฮันฮก จนตัวมันสามารถยึดครองเมืองกิจิ๋วได้สำเร็จ นับเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ยากจะประสานคืน นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่จงใจทำลายศรัทธาของซุนฮกที่มีต่อตัวมัน
และแล้ว เหตุการณ์ปราบลิฉุยกุยกีนี่เอง ที่ทำให้อ้วนเสี้ยว นกกระสา จำเป็นต้องให้ความร่วมมือกันกับคนในหน่วยปักษาสวรรค์ จัดส่งกุนซือชั้นดีประเคนให้กับโจโฉ พร้อมกับข้อมูลเชิงลึกที่พลิกฟ้าสลับแผ่นดิน ส่งต่อให้โจโฉได้ขึ้นเป็นตัวจริงเสียงจริงอย่างง่ายดาย
เวลานี้ ซุนฮกไปอยู่กับโจโฉในฐานะของสายลับสองหน้า คนของอ้วนเสี้ยว ข้อมูลนี้เองที่เฝ้าวนเวียนอยู่ในความคิดของนกกระสา หรือว่า มันควรจะดำเนินการให้เด็ดขาด ยึดกุมอำนาจบริหารแผ่นดินเสียเอง ด้วยความเพียบพร้อมที่อ้วนเสี้ยวมีอยู่
ความคิดของกระสามักจะแปลกแยกแตกต่างไปกว่าคนอื่นๆในหน่วยปักษาสวรรค์ จนมันเองเกือบถูกปลดออกจากสมาชิกไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะครั้งหนึ่ง มันเคยเสนอความเห็นในที่ประชุมหลังจากการเดินทางย้อนอดีตว่า ประวัติศาสตร์ที่ตัวมันกลับไปแก้ไขนั้น ที่จริงแล้ว สมควรเพียงแก้ไขให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม หรือ ปรับแต่งเรื่องราวให้ดีขึ้นกว่าเดิม
จนบางครั้ง มันยังนึกว่า ตัวมันเองอาจไม่เหมาะที่จะเป็นหนึ่งในหมู่มวลปักษาจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่นกกระสา แต่เป็นเหมือนค้างคาวที่พลัดหลงเข้ามาอยู่ในฝูงนก เพียงเพราะมีปีกเหมือนกันเท่านั้น
กระสา-อ้วนเสี้ยวนั่งพักจิบน้ำชาในเก๋งกลางสวนใหญ่ เหม่อมองดูอ้วนซงลูกน้อยที่กำลังวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้ออยู่อย่างสนุกสนาน ไม่รับรู้ถึงชะตาชีวิตที่กำลังจะผันเปลี่ยนในไม่ช้า
ก่อนเดินทางย้อนอดีตในครั้งนี้ มันได้รับคำทำนายพิสดารจากหมอดูชื่อดังแห่งยุค เป็นคำทำนายเกี่ยวกับการเดินทางไกลที่ไร้จุดจบ และทายาทสืบสกุลที่กลายเป็นผู้นำแห่งดินแดนเลื่องชื่อ
หรือว่า ณ โลกคู่ขนานแห่งหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะชนะศึกกัวต๋อล้มล้างโจโฉ สกุลอ้วนได้ครองอำนาจทางเหนือแทนที่สกุลโจ และอ้วนซงจะได้เป็นราชันย์แห่งตงหงวนในลำดับต่อไป กลายเป็นราชวงศ์ใหม่ที่สร้างสันติสุขให้กับแผ่นดินโดยเร็ว
…
นับจากซุนเซ็กออกมาตั้งกองกำลังอิสระในนามพันธมิตรกับอ้วนสุด และใช้กลยุทธ์ “แมวไล่จับหนู” ติดตามล่าขุนพลไทสูจู้ กลืนกินดินแดนเก่าของเล่าอิ้วแทบหมดสิ้น จนกลายเป็นขุมกำลังกังตั๋งทางแดนใต้นั้นแล้ว
ฝ่ายไทสูจู้ยังไม่ยอมหยุดยั้งแผนการ มองเห็นเป็นจังหวะทอง จึงข้ามฟากแสร้งไปขอลี้ภัยการเมืองอยู่กับอองเอี๋ยน แห่งเมืองห้อยเข อีกหนึ่งเมืองอิสระทางใต้สุดที่ไม่แสดงท่าทีฝักใฝ่ฝ่ายใด ขุนพลเจ้าปัญญายังคงใช้กลเม็ดเดิม แสร้งแตกหักกับอองเอี๋ยนที่เป็นคนฝ่ายบุ๋น ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวผู้นำ แล้วจึงเปิดประตูเมืองยอมสวามิภักดิ์ให้กับกองทัพซุนเซ็กได้โดยง่าย อองเอี๋ยนในวัยใกล้ชราจึงได้แต่มอบตราประจำเมือง ยอมรับความพ่ายแพ้ร่วมกันกับคนดังไทสูจู้
สุดท้าย ไทสูจู้ได้รับการต้อนรับเข้าสู่กองกำลังกังตั๋งในฐานะขุนพลที่พ่ายศึกอย่างต่อเนื่อง มีเพียงซุนเซ็กกับจิวยี่ เท่านั้น ที่รับรู้ถึงกลยุทธ์แมวจับหนู แต่คนมีปัญญาอย่างเตียวเจียวกับโลซกน่าจะพอคาดเดาได้อยู่เลาๆ ทั้งหมดจึงยอมรับในสติปัญญาและความสามารถของขุนพลใหม่อย่างสนิทใจ แตกต่างจากอุยกายและคนอื่นๆที่อาจจะประเมินไทสูจู้ด้อยค่าลงไปบ้าง
ซึ่งเรื่องนี้ ไทสูจู้กลับไม่ใส่ใจ เพราะกลยุทธ์จารชนนั้นถือเป็นเรื่องลับที่ไม่คู่ควรต่อการเปิดเผย ซุนเซ็กจึงมีความประทับใจต่อไทสูจู้มากยิ่งขึ้น โดยยกระดับให้เป็นขุนพลคู่บัลลังก์ เพียงรองจากจิวยี่ อุยกาย สองเสาหลักฝ่ายบู๊เท่านั้น
…
พอเสร็จศึกเมืองห้อยเขเรียบร้อย แคว้นเองจิ๋วจึงเป็นเหลือเพียงสองพยัคฆ์ร้ายที่ต้องมาตัดสินกันเอง เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแดนใต้ ซุนเซ็กแห่งชีสอง ฉายาพยัคฆ์หนุ่มหน้าหยก ผู้เป็นทายาทอดีตพยัคฆ์ร้ายแห่งเตียงสา เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับ เงียมแปะฮอ จ้าวเสือขาวแห่งต๋องง่อแล้ว เดิมพันครั้งสำคัญคือการครอบครองดินแดนกังตั๋งอันกว้างใหญ่ทางแดนใต้ทั้งหมด
มาถึงจุดนี้แล้ว เตียวเจียวคล้ายมีวาระอื่นใดซ่อนเร้นอยู่ จึงย้ำเตือนให้ซุนเซ็กสร้างความพร้อมในการรบเสียก่อน โดยให้จิวยี่ อุยกาย ทุ่มเทเวลาไปกับการสร้างกองทัพรูปแบบใหม่ที่เมืองชีสอง นอกเหนือไปจากกองทัพทหารเดินเท้าและทหารม้าตามปกติ เป็นการสร้างฐานทัพเรือ เพื่อเตรียมการรบทางน้ำ จุดแข็งสำคัญที่อดีตโจรสลัดอย่างเงียมแปะฮอเกาะกุมไว้ตลอดมา
ในขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่า เตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ หนึ่งในขุมกำลังสัตตดารา ก็กำลังวางแผนการใหญ่ให้กับพรรคฟ้าเหลืองอยู่เบื้องหลังบัลลังก์ของซุนเซ็กอีกทอดหนึ่ง ตราบใดที่ซุนเซ็กยังคงอยู่ เตียวเจียวย่อมมีน้ำหนักไม่ด้อยกว่าผู้ใดในแดนกังตั๋งแล้ว เบื้องหลังบัลลังก์พยัคฆ์ จึงคล้ายมีเงามืดปกคลุมอยู่บางๆอีกชั้นหนึ่ง
…
นอกจากความเคลื่อนไหวของไทสูจู้ เตียวเจียวแล้ว ฝั่งโลซกยังสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เช่นกัน โดยได้แนะนำให้ซุนเซ็กได้ไปพบปะพูดคุยกับกลุ่มพ่อค้าใหญ่ผ่านทาง เกียวก๊กโล อดีตเจ้าสัวคนสำคัญจากเมืองหลวงที่กลายมาเป็นนักลงทุนรายใหญ่แห่งแดนกังตั๋ง โดยได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากผู้นำตระกูลโล เศรษฐีอีกกลุ่มหนึ่ง และตระกูลจู จอมอิทธิพลในท้องถิ่นเมืองห้อยเขอีกด้วย
แน่นอนว่า กลุ่มสกุลโลย่อมหมายถึงเครือญาติผู้มีฐานะของโลซกที่ตัดสินใจโยกย้ายติดตามกันมาจากเมืองหลวง ตั้งแต่ครั้งที่เจ้าสัวเกียวจัดการการหลบหนีให้กับงอฮูหยินและพวก ด้วยสายสัมพันธ์ศิษย์โลกับอาจารย์เกียว จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้รับความร่วมมืออย่างดี
แต่สำหรับกลุ่มสกุลจูที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองห้อยเขมาได้สักระยะหนึ่งแล้วจนกลายเป็นคหบดีที่มีชื่อพอสมควรนั้น พอสืบสาวเบื้องลึกลงไปแล้ว ตัวผู้นำสูงวัยทางฝั่งนั้นกลับเป็นสหายเก่าแก่ของผู้นำอาวุโสของสกุลโลอีกทอดหนึ่ง
ในเมื่อกลับกลายเป็นเพื่อนเก่าพบพานกัน ทั้งหมดจึงสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยง่ายดาย และเจ้าสัวเกียวจึงผลักดันให้เกิดการก่อตั้งเป็นสหพันธ์การค้า ดูแลส่วนแบ่งผลประโยชน์เฉกเช่นเดียวกับตอนที่อยู่เมืองหลวงลกเอี๋ยง โดยครั้งนี้ ใช้ชื่อเป็นสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ล้อกันกับชื่อ สหพันธ์หมาป่าเงิน ทางด้านเหนือ
นอกจากนี้ ซุนเซ็กยังส่งซุนกวน น้องชายวัยเยาว์ ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเกียวชวน เพื่อฝึกวิชาสืบทอดการบริหารจัดการด้านการค้าขาย เรียนรู้การสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจจากคนระดับเจ้าพ่อการค้าไปด้วยอีกทางหนึ่ง
ในเมื่อดินแดนนี้ มีมันที่ยังหนุ่มแน่นเป็นขุนศึกผู้เกรียงไกร และจิวยี่เป็นขุนพลประจำแผ่นดินแล้ว ซุนกวนผู้น้อง ซึ่งมีแววอัจฉริยะทั้งบุ๋น บู๊ ไม่จำเป็นต้องซ้ำรอยด้านบู๊ แต่ควรเป็นมือวางทางเศรษฐกิจ ดูแลด้านบุ๋นให้กับมัน ร่วมกับโลซก เมื่อบู๊บุ๋น สอดประสานกันเช่นนี้ จึงจะทำให้แว่นแคว้นสกุลซุนจึงจะรุ่งเรืองได้สูงสุดและยาวนาน พร้อมจะรับช่วงต่อจากพวกผู้อาวุโสได้ต่อไป
ซุนเซ็ก สมแล้วที่เป็นลูกพยัคฆ์อย่างเจ้าพ่อคนดังซุนเกี๋ยนผู้ล่วงลับ แต่เสียดายที่โชคชะตากลับเล่นตลกให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้
…
ซุนแจ้ง ผู้นำตระกูลซุนคนใหม่ ยืนสำรวมพูดคุยอยู่กับบุคคลลึกลับสี่คนในสถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ไม่ห่างไกลจากฐานทัพเมืองชีสองเท่าใดนัก ปากทางเข้าเป็นซอกหลืบลับตาผู้คนจากลุ่มน้ำไต้กัง ภายในเป็นหุบเขากว้างใหญ่ สามารถเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ได้สะดวกสบาย พร้อมรองรับชุมชนได้นับพันนับหมื่นคน
บรรดาคนทั้งสี่ มีเพียงคนเดียวในชุดเสื้อผ้าหรูหราที่ใช้ผ้าปิดบังใบหน้า นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นเสื่อ คล้ายเพิ่งฝึกหัดบรรเลงพิณกู่เจิ้งบนโต๊ะตั่งเตี้ยเสร็จสิ้น คนที่สองเป็นหนุ่มใหญ่ ผิวดำกร้าน นั่งขีดเขียนพื้นดินคล้ายกำลังคำนวนอันใดอยู่ ไม่สนใจใคร และคนที่สาม ถือทวนใหญ่ กับคนที่สี่ที่คล้ายคนพิการขาดหายไปครึ่งตัว ยืนเฝ้าระวังอยู่ห่างออกไปคล้ายกับองครักษ์คุ้มกัน
“หุบเขาแห่งนี้เหมาะสมต่อการกบดานซ่อนกาย และเพาะสร้างกองทัพลับ โดยที่ขุมกำลังต่างๆไม่ล่วงรู้ ช่วงนี้ เราคงต้องซ่อนตัวอยู่สักพักหนึ่ง เพื่อรอให้ถึงเวลาอันสมควร” คนเล่นพิณกล่าวพร้อมทอดสายตามองสำรวจดูชัยภูมิแห่งใหม่
“เพียงแต่น่าเสียดายนักที่พอปรับเปลี่ียนเป้าหมายครั้งใหญ่ แต่คนสำคัญของฝ่ายเราคล้ายมีปัญหาทางจิต ความทรงจำเลอะเลือนสับสน ทำให้เราไม่อาจติดต่อถ่ายทอดแผนงานได้ คงต้องยอมรอคอยไปสักระยะหนึ่งก่อน” ซุนแจ้งตอบรับ
คนเล่นพิณกล่าวตอบ “เรื่องนั้น เรากลับนึกได้ถึงชื่อหมอเทพยดาฮัวโต๋ที่อาจจะมีหนทางรักษาอาการเช่นนี้ได้ ซุนแจ้ง คงต้องพึ่งพาฝีมือของเจ้าอีกแล้วนะ”
ซุนแจ้งรับคำแล้วจากไป แต่คนที่พวกมันกล่าวถึง คือ หมอเทพยดาฮัวโต๋ อาจจะตกอยู่ในอันตรายโดยไม่คาดคิดเสียแล้ว
…
อีกหนึ่งขุมกำลังลับ ณ วัดป่าน้อยที่สอง เขาจวนหยกสัน เมืองซินเอี๋ย เป็น เภาก้วย หลวงจีนซ่อนกายร่างพิการ และศิษย์น้องเภาเจ๋ง กับ เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว และ จูกัดกุ๋ย ในชุดขนนกลายพร้อย กำลังร่วมประชุมความคืบหน้าของพวกตน
“สืบทราบมาว่า คนที่ลงมือสังหารเล่าหงีเป็นยอดฝีมือด้านเกาทัณฑ์คนหนึ่ง จึงมิน่าจะใช่ขุมกำลังปักเป๋งของกองซุนจ้าน” เภาเจ๋งรายงาน “เกาทัณฑ์ปักใส่ต้นคอของเล่าหงีที่กำลังจิบน้ำชากลางสวน ที่นั่น รายล้อมด้วยกององครักษ์ชั้นดี รอบกายในระยะหนึ่งร้อยก้าว สมควรไม่มีผู้คนซุ่มซ่อนได้เลย”
การใช้เกาทัณฑ์สังหารในระยะไกลย่อมเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นทั่วไป หากแต่การยิงใส่ต้นคอในระยะหนึ่งร้อยก้าวเช่นนั้น อาจจะเก่งกาจเกินไปสักหน่อย
เล่าเปียวจึงกล่าวเสริม “ยอดฝีมือเกาทัณฑ์ระดับนั้น น่าจะใกล้เคียงระดับของฮองฮูสง จูฮี สองในสามขุนพลห่วงสัมพันธ์ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่คดีขบถคราก่อน หรือว่ามือสังหารเกี่ยวข้องกับพวกมัน”
จูกัดกุ๋ยโบกพัดขนนกหันหลังมองไปทางทิศตะวันตก “ยินว่า ท่านเล่าเอี๋ยนมีขุนพลในสังกัดชื่อ ฮองตง สมญา จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ แต่หากใช้เกาทัณฑ์อาจดูโจ่งแจ้งเกินไป หรือจงใจให้คิดเป็นอื่น เพราะยามนี้ หากต้องการเสาะหากษัตริย์ใหม่ตามสาแหรกราชวงศ์ ย่อมเป็นท่านเล่าหงี เล่าเปียว และเล่าเอี๋ยนตามลำดับ”
ทั้งหมดใบหน้าแปรเปลี่ยน ที่จริงวันนี้ เล่าเอี๋ยนก็สมควรมาร่วมประชุมด้วย แต่กลับแจ้งป่วยไข้กระทันหัน ต่างเหลียวมองโดยรอบคล้ายหวาดระแวงภัยจากระยะไกล
เภาก้วยยังคงสีหน้าเรียบเฉย แสร้งหันเหบทสนทนากลับคืน “จริงสิ น้องเปียว ได้ยินว่า เจ้าก็ได้ขุนพลและฮูหยินใหม่เช่นกัน เป็นคนแซ่ชัวใช่หรือไม่”
เล่าเปียวรีบประสานมือคารวะ “ถูกต้องแล้ว เป็นท่านจูกัดส่งเสริมให้พบพานกัน”
จูกัดกุ๋ยเสแสร้งหรุบสายตาเหมือนครุ่นคิด หรือว่า พี่ใหญ่เริ่มสงสัยในตัวมันแล้ว จึงมิได้ใส่ใจตอบรับต่อถ้อยคำสร้างความแตกแยกเมื่อครู่
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 1 - มัจฉากลางวารี
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย