Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
12 ก.พ. 2021 เวลา 05:51 • นิยาย เรื่องสั้น
1.25. แนบเนียนตามสถานการณ์
เงียมแปะฮอ จ้าวเสือขาว - อิเกียด ผู้วิเศษล่องหน - โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว
ฝ่ายเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย นับตั้งแต่เอาชนะศึกโจโฉได้แล้ว ก็ถือโอกาสพักอาศัยอยู่ที่เมืองชีจิ๋วกับโตเกี๋ยมต่อไป ไม่กลับไปเมืองของกองซุนจ้านอีก เพราะเห็นว่าเมืองปักเป๋งไม่น่าเป็นฐานที่มั่นที่ดีได้ในอนาคต ด้วยชัยภูมิที่ห่างไกลใจกลางประเทศ และสภาพผืนดินที่หนาวเหน็บแร้นแค้น อีกทั้งมีอ้วนเสี้ยวแห่งเมืองกิจิ๋ว และชนเผ่านอกด่าน เป็นศัตรูสำคัญ กดดันอยู่ทั้งสองแนวชายแดน
นอกจากนั้นแล้ว คดีลอบสังหารเล่าหงีเชื้อพระวงศ์ที่ร่ำลือกันว่า เป็นฝีมือของกองทัพปักเป๋ง คล้ายดั่งม่านหมอกที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเอาไว้ หากเป็นกองซุนจ้านลงมือจริง แสดงว่า มันย่อมไม่ประสงค์ดีต่อคนแซ่เล่าเท่าไรนัก
จริงอยู่ว่า เล่าปี่มิได้ถือกำเนิดจากคนแซ่เล่า หากแต่ยังคงอาศัยเชื้อสายสกุลในการสร้างตัวตนอยู่ จึงมิอาจให้ความมัวหมองดังกล่าวมาแปดเปื้อนตนเองไปด้วย ทำให้สามพี่น้องเห็นพ้องต้องกันให้ปลีกตัวออกห่างจากพวกกองซุนให้มากที่สุด
สุดท้าย เมื่อจูล่งเร่งรัดต้องการให้กลับเมืองปักเป๋ง จึงแจ้งจุดประสงค์ขออยู่่ที่เมืองชีจิ๋วต่อไป ยินยอมให้จูล่งนำกองทัพม้าขาวทั้งหมดคืนถิ่นได้เลย
จูล่งจ้องมองสามพี่น้องตรงหน้าแน่วนิ่ง เห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คน จึงกล่าวเฉลยก่อนอำลา “ที่จริง นายท่านล่วงรู้เจตนาของพวกท่านเป็นอย่างดี จึงให้เราคุมกองทัพมาด้วยตนเอง หากเกิดเหตุการณ์ใดไม่ชอบมาพากล ให้ลงมือได้ตามสมควร แต่เราเห็นว่าพวกท่านเป็นคนจิตใจดีงาม ยังมีอนาคตก้าวไกล จึงขอยั้งมือไว้ไมตรีเพียงแค่นี้ วันหน้า พวกเราอาจจะได้พบกันอีกครั้งในสนามรบ”
ความหมายของถ้อยคำ นั่นคือ กองซุนจ้านวางแผนให้จูล่งสังหารสามพี่น้องเสีย หากเห็นแววว่า คนเหล่านี้จะทรยศหลบหนี แต่ทางหนึ่ง จูล่งลังเลที่จะต่อกรกับกวนอู เตียวหุย สองยอดฝีมือพร้อมกันแบบซึ่งๆหน้า และอีกทางหนึ่ง จูล่งคือประมุขสัตตดารา ย่อมต้องเหลือทางถอยไว้ เผื่อว่า ขุมกำลังปักเป๋งอาจจะล่มสลาย
ฝ่ายเล่าปี่ตระหนักถึงความสามารถของจูล่ง แต่ก็ยังรู้สึกระแวงในตัวของจูล่งอยู่ไม่คลาย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของน้องสามเตียวหุยกับจูล่ง คงต้องมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่ เพราะบางครั้ง สายตาของจูล่งเหมือนมองดูน้องสามด้วยความเคียดแค้นชิงชัง หรือว่าทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันอยู่ แต่ดูคล้ายเตียวหุยจะไม่รู้ตัวว่าตนเองตกเป็นเป้าหมาย กลับพูดจายกย่องจูล่งกรอกหูตนเองอยู่เนืองๆ
ในเมื่อสถานการณ์ยังไม่อำนวย มันจึงยอมปล่อยให้จูล่งนำกองทัพม้าขาวกลับเมืองปักเป๋งตามลำพัง อย่างน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องแตกหักกับสหายเก่าในวัยเยาว์ แต่ก็ยังเอ่ยคำอาลัยทิ้งเชื้อเอาไว้ เผื่อภายภาคหน้าจะยังได้กลับมาร่วมเส้นทางเดียวกันได้อีก
…
ส่วนโตเกี๋ยมเอง ตั้งแต่ตรากตรำกรำศึกบนกำแพงเมืองครั้งนั้นเป็นต้นมา ก็มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังมาโดยตลอด สร้างความกังวลใจให้กับพวกเล่าปี่ยิ่งนัก จนเตียวหุยที่ต้องการพบหมอมือดีอยู่แล้วเช่นกัน ถึงกับตามตัวหมอฮัวโต๋ผู้มีชื่อเสียงให้มาดูแลอาการอย่างใกล้ชิด
ที่จริงแล้ว นางแอ่น-เตียวหุยไม่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบในศึกกุนจิ๋วแต่อย่างใด หากเพียงต้องการให้พวกเล่าปี่ จูล่งตัดใจถอนทัพออกจากสมรภูมินั้น เพื่อเปิดโอกาสให้โจโฉได้ชิงเมืองคืน จึงแสร้งหาเหตุว่า ตนเองไม่ทันระวังตัว โดนค่ายกลสี่เทวะกลุ้มรุมทำร้าย จนต้องรักษาตัวอีกสักระยะหนึ่งก่อน
ด้วยเหตุนี้ เตียวหุยจึงเชิญตัวหมอเทพยดาฮัวโต๋มาช่วยรักษาตนเอง และพลอยได้ “รักษา” โตเกี๋ยมไปด้วยเช่นกัน
แต่เหมือนว่าจะสายเกินการณ์แล้ว โตเกี๋ยมจึงสิ้นชีพด้วย”โรคแทรกซ้อน”ไปในที่สุด ทำให้ส้มหล่นใส่มือเล่าปี่ที่รอคอยอยู่ ผู้คนในเมืองชีจิ๋วอันกว้างใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ ล้วนเต็มใจ ยินดียกให้มันขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แทนอย่างง่ายดาย
จากนั้น เล่าปี่ก็ไม่เสียทีที่ได้รับการฝึกฝนการเล่นละครตบตาจากเตียวหุยมานาน จึงอาศัยช่วงเวลาเริ่มต้นชีวิตใหม่นี้ ผูกมิตรไมตรีกับกลุ่มข้าราชการ ผู้มีอิทธิพล รวมทั้ง ราษฎรเมืองชีจิ๋ว และพลอยได้ บิต๊ก บิฮอง กันหยง ซุนเขียน เข้ามาเป็นพรรคพวกเพิ่มเติม
สองพี่น้องสกุลบิ บิต๊กบัณฑิตสายบุ๋น บิฮองนักสู้สายบู๊ นับเป็นคุณชายคนดังประจำเมือง พอยอมเข้าร่วมกับเจ้าเมืองคนใหม่ ย่อมทำให้ผู้คนแซ่ซ้องยินดี ส่วนบัณฑิตกันหยงเป็นสหายเก่าของเล่าปี่ที่ตามมาสมทบ และขุนนางสายบุ๋นซุนเขียนเป็นคนเก่าแก่ของโตเกี๋ยม ซึ่งเป็นทูตที่ไปเจรจาขอความช่วยเหลือจากปักเป๋งตั้งแต่ต้น
ในขณะที่กวนอู เตียวหุยก็เหมาเอาความดีความชอบในการปกป้องเมืองจากสงครามไว้เสียเอง จนผู้คนแทบลืมเลือนวีรกรรมกองทัพม้าขาว พร้อมทั้งตั้งกองอาสาระดมผู้คนเพิ่มเติม และฝึกฝนกองทัพชีจิ๋วจนแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ขุมกำลังเล่าปี่เริ่มมีชื่อเสียงในฐานะเจ้าเมืองเถื่อนคนใหม่ เพราะเป็นการส่งมอบอำนาจโดยความชอบส่วนตัวของโตเกี๋ยม มิใช่มาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
…
หากแต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เล่าปี่ได้ครองเมืองชีจิ๋วได้ไม่ทันไร ลิโป้กับพวกก็ยกกองทัพที่หลงเหลืออยู่มาตั้งกดดันอยู่ที่หน้าประตูเมือง ขออาศัยอยู่ด้วยในฐานะอดีตสมุหกลาโหมที่ถูกลิฉุยกุยกีล้มล้าง และภายหลัง ยังเป็นโจรขบถโจโฉยึดอำนาจไปอีกทอดหนึ่ง
ลิโป้อ้างว่า ช่วงที่ผ่านมา มันสวมรอยแสดงตนเป็นพรรคฟ้าเหลืองใหม่ เพื่อสร้างความสับสนงุนงงต่อทรราชย์ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็คือ ลิฉุย กุยกี ในเบื้องแรก แต่กลับถูกโจโฉจงใจสอดแทรกแผนการ และทำลายกองทัพจนยับเยิน ทำให้คนทั้งสองบาดหมางกันอย่างหนัก
ต่อมา มันจึงใช้ชื่อพรรคฟ้าเหลืองใหม่ ฉวยโอกาสยึดเมืองกุนจิ๋วจากโจโฉได้ช่วงหนึ่ง และได้ประสานกันกับพวกเล่าปี่ จูล่งในการตีกระหนาบกันแบบพันธมิตรที่มีศัตรูร่วมกัน ทำให้ในศึกครั้งนั้น ทั้งฝ่ายมันและเล่าปี่ จึงไม่ได้เกิดการปะทะกันเลยอย่างที่ควรจะเป็น เพียงแต่เสียดายที่มันพลาดท่าหลงกลลวงของโจโฉ จนทำให้กองทัพพินาศไปอีกครั้งหนึ่งในภายหลัง
เล่าปี่รีบประเมินสถานการณ์ หากขัดขืน ลิโป้คงอ้างเหตุก่อศึกสงครามต่อกันซึ่งหน้า เพราะตนเองก็มีชนักติดหลังเป็นเจ้าเมืองแบบเถื่อนๆอยู่ แต่หากยินยอมอ่อนข้อให้พวกลิโป้มาอยู่ร่วมกันในเมืองเดียวกัน คงสร้างความลำบากใจ และต้องกระทบกระทั่งกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงนี้ เตียวหุยที่มีฝีมือสูงสุดในกลุ่มของตน ก็ยัง “ได้รับบาดเจ็บมาจากการต่อสู้” ในศึกพันธมิตรเล่าปี่-ลิโป้
“เพิ่มหนึ่งมิตรด้วยความลำบากดีกว่าเพิ่มหนึ่งศัตรูเพราะความมักง่าย” และหนึ่งมิตรนี้เป็นถึงขุนพลอันดับหนึ่งของแผ่นดินที่คนร่ำลือกันทั่วอย่างลิโป้ด้วย เล่าปี่จึงจำยอมถอยให้ลิโป้ขึ้นนั่งเมืองชีจิ๋วแทนทันที โชคดีนักที่ลิโป้ไม่ได้เผยโฉมในตอนที่เป็นผู้นำกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองให้ปรากฏ จึงทำให้ยังรักษาภาพพจน์ที่ดีอยู่ในสายตาคนทั่วไป และยังมีคำแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้เล่าปี่รับฟังไปแล้วด้วย
ลิโป้ย่อมยินดีเป็นที่สุด หากแต่ตันก๋ง กุนซือกลับฉุดรั้งไว้ให้ได้คิด ถึงเล่าปี่จะเอ่ยปากให้แล้ว แต่มีหรือกวนอู เตียวหุย สองยอดฝีมือนั้น จะยอมให้โดยง่าย ถ้าต้องลงมือกันในตอนนี้ มันเองอาจจะเพลี่ยงพล้ำได้ เพราะตัวมันเองก็ยังบอบช้ำภายในอยู่ไม่น้อยจากการปะทะกับทวนวชิระ เตียนอุย และการแตกทัพมาด้วย
ในเมื่อเกิดความกริ่งเกรงว่าจะต้องกระทบกระทั่งกัน ลิโป้จึงแสร้งบ่ายเบี่ยง ขอไปอยู่เมืองกันชนเล็กๆระหว่างเมืองหลวงกับเมืองชีจิ๋วอย่างเมืองเสียวพ่ายตามที่ตันก๋งมั่นหมายไว้ก่อนแทน เล่าปี่จึงยินยอม และได้แต่จัดโต๊ะเลี้ยงดูลิโป้กับพวก อันมีเตียวเสี้ยน ตันก๋ง โกซุ่น เตียวเลี้ยว ร่วมกันกับน้องรองกวนอู น้องสามเตียวหุย อยู่เนืองๆ โดยหวังสร้างความคุ้นเคยกันกับขุนพลมีชื่อให้มากยิ่งขึ้น
แต่แล้ว เล่าปี่ก็สังเกตเห็นสายตาที่คุ้นเคยเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากขุนพลหนุ่มเตียวจูล่งคนนั้น หากแต่เป็นสาวงาม เตียวเสี้ยน ภรรยาสาวสวยเลื่องชื่อของลิโป้ ที่จ้องมองเตียวหุยอย่างเคียดแค้นเช่นเดียวกัน เบื้องหลังของเตียวหุยต้องเป็นอะไรที่สำคัญมากแล้วกระมัง เล่าปี่พยายามคิดหาทางเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทั้งสามอย่างลับๆ
ในขณะเดียวกัน สายตาอีกคู่หนึ่งจากฝั่งเหย้าก็แอบมองสำรวจสาวงามที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหวั่นไหวใจ แต่ต้องหักห้ามเอาไว้ เพราะสาวงามนั้นมีคู่ครองที่ดุดัน อำมหิต เป็นที่เลื่องลือทั้งแผ่นดิน อิงแอบอยู่ข้างกายไม่ห่าง กวนอูจึงได้แต่ซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจ “หญิงงามมีคู่ครองอยู่ก่อนแล้ว มิอาจเป็นรักที่สมหวัง”
...
ทางฝ่ายโจโฉได้เป็นมหาอุปราช อิงอำนาจกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นอย่างชอบธรรม จึงเริ่มแสดงอำนาจประกาศยกเลิกตำแหน่งเจ้ามณฑลซึ่งยังคงเป็นความสับสนทางอำนาจมาตลอด และแต่งตั้งเจ้าเมืองทั้งหลายขึ้นมาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ทั้งนี้ นับเป็นหมากพิฆาต เพื่อลดทอนอำนาจของคนมีอิทธิพลบารมีสูงส่ง เช่น เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน เป็นต้น และกระตุ้นเตือนความจำว่าเมืองทั้งหมดยังสมควรต้องส่งส่วยเครื่องบรรณาการให้กับรัฐบาลใหม่ที่บริหารงานให้กับแผ่นดินฮั่นด้วย
เว้นไว้แต่เพียงอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด สองพี่น้องคู่อาฆาตดั้งเดิมที่โจโฉจงใจประกาศให้เป็นขบถต่อแผ่นดิน โดยกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกองทัพขบถโพกผ้าเหลืองใหม่ กับเพิ่มชื่อเจ้าเมืองที่มีปัญหาอีกสองรายคือ เตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเซียที่โจโฉได้ยินข่าวว่า พวกลิฉุยกุยกีพากันไปหลบซ่อนอยู่ และเงียมแปะฮอ อดีตโจรสลัดผู้แย่งชิงเมืองต๋องง่อ จึงไม่อาจยอมรับสถานะให้ดำรงตำแหน่ง
ที่จริงแล้ว หากใช้เกณฑ์ดังกล่าว ม้าเท้งแห่งเสเหลืองและเล่าปี่แห่งชีจิ๋ว ก็อาจจะเข้าข่าย “เจ้าเมืองเถื่อน” เช่นกัน หากแต่โจโฉยังยอมละเว้น เเพื่อไว้หน้ายื่นไมตรีแก่คนที่เคยร่วมศึกสิบแปดเจ้าเมืองพันธมิตรมาด้วยกัน และเก็บขุนศึกไว้ใช้งาน
นี่ย่อมเป็นผลงานความคิดของกุนซือซุนฮกอีกเช่นเคย ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะดูท่าทีของเจ้าเมืองทั้งหลายก่อนลงมือดำเนินแผนต่อไป นั่นคือ การเสี้ยมให้คนอื่นต่อสู้กันเอง โดยโจโฉเริ่มตั้งเป้าหมายที่กลุ่มภาคเหนือ-ตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงก่อน เพราะยินว่าแถบภาคตะวันตกกำลังเกิด “โรคระบาด”ไปทั่ว และภาคใต้ก็เผชิญกับ “ภัยธรรมชาติ” ทั้งพายุฝน และน้ำท่วมใหญ่ คงยากจะทำการใดๆในช่วงเวลานี้
…
ระยะหลังมานี้ พวกอุบัติภัยทั้งหลาย เฉกเช่น โรคระบาด หรือ ภัยธรรมชาติ นั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆแทบจะเกิดทุกปีโดยไม่รู้สาเหตุ เหล่าราษฎรร่ำลือกันว่า เป็นลางร้ายที่ฟ้าดินต้องการลงโทษผู้คน หรือตอบโต้ราชวงศ์เสื่อมโทรม แต่กลับมีกระแสข่าวลืออ้างถึงการปล้นทำลายสุสานหลวงจิ๋นซีฮ่องเต้ครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงมาสู่เตียงอันนั่นเอง
ครั้งนั้น พวกตั๋งโต๊ะย้ายถิ่นหนีภัยสงครามสิบแปดทัพอย่างกระทันหัน ทรัพย์สินสมบัติประจำคลังหลวงย่อมขาดแคลน เศรษฐกิจเมืองเตียงอันไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างปราสาทราชวัง ทำให้ ลิซก ลิยู สองกุนซือ ชี้แนะให้แอบส่งคนไปปล้นสุสานหลวงจิ๋นซี ขุมทรัพย์โบราณที่ถูกละเว้นด้วยความเชื่อด้านเคล็ดลางอาถรรพ์ แต่พวกตั๋งโต๊ะจนตรอกแล้ว จึงมิอาจไม่ลงมือแล้ว
อาถรรพ์สมบัติโบราณอาจจะเป็นเรื่องจริงจัง เพราะปราสาทราชวังที่ตั๋งโต๊ะใช้ทรัพย์สินสมบัติเหล่านั้นสร้างขึ้น ราวกับเป็นของร้อน เพิ่งถูกใช้งานจริงจังได้ไม่กี่ปี ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้น ลิฉุย กุยกี ผู้นำฝ่ายรัฐบาล ก็ล้วนถึงแก่กาลพินาศล่มจม และสุดท้าย สิ่งก่อสร้างสำคัญเหล่านั้นก็ถูกเผาทำลายในสงครามกลางเมืองจนหมดสิ้น
…
คำสั่งที่ให้เล่าปี่หาทางกำจัดขบถลิโป้ คู่ปรับเจ้าเก่าถูกส่งไปถึงในไม่ช้า เช่นเดียวกันกับคำสั่งให้ม้าเท้ง กองซุนจ้านร่วมกันกำจัดขบถอ้วนเสี้ยวทางเหนือ และให้เล่าเปียวกำจัดขบถอ้วนสุด ซุนเซ็กกำจัดขบถเงียมแปะฮอทางใต้ จนเกิดสงครามย่อยๆต่อเนื่องขึ้นตามแนวชายแดนต่างๆ
คงมีแต่เล่าปี่ที่เพิกเฉยคำสั่งแรกนั้นไป คำสั่งต่อมาจึงเป็นคำสั่งที่กดดันให้เล่าปี่ช่วยเล่าเปียวทำศึกกระหนาบอ้วนสุดเป็นการเร่งด่วนก่อน คราวนี้ เล่าปี่ยังไม่กล้าหาญจะขัดขืนซ้ำสอง ด้วยเกรงจะโดนข้อหากบฏไปด้วย จึงยอมเคลื่อนทัพไปรบกับอ้วนสุด พร้อมกับกวนอู ปล่อยให้เตียวหุยเฝ้าเมือง เพราะ “ยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ” ตามคำสั่งของหมอเทพยดาที่จากหายไปอย่างกระทันหันทั้งคณะ
…
ปกติ หมอฮัวโต๋มักจะเดินทางไกลมาพร้อมกับลูกศิษย์คนสนิทสองสามคน เพื่อเป็นลูกมือช่วยเหลือจัดเตรียมยาสมุนไพร หรืออุปกรณ์ในการรักษา แต่การมาที่เมืองชีิจิ๋วครั้งนี้ กลับเกิดเหตุแปลกประหลาดกับกลุ่มของหมอฮัวโต๋ นางแอ่น-เตียวหุยจึงร้อนรุ่มใจ รีบแจ้งเหตุระดมสมาชิกอิสระ อันได้แก่ เฒ่ากระเรียน อีกา และเหยี่ยวดำ ให้มาหารือกันโดยด่วน
แต่แล้ว นกฮูกกลับส่งข่าวมาแจ้งในภายหลังว่า ตนเองเพียงรีบร้อนเดินทางกลับกระท่อมรังนก เพื่อจัดการกับคนไข้ประจำเป็นการฉุกเฉินเท่านั้น ทำให้พวกสมาชิกคนอื่นที่เดินทางกลับมาจากภารกิจต่างทิศทางโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งนางแอ่นแปลกใจอยู่บ้าง จึงได้แต่รั้งตัวให้พี่น้องทั้งสามร่วมดื่มกินชุดใหญ่เป็นการชดเชยความผิด และนัดแนะขอความช่วยเหลือกับแผนการต่อไปในภารกิจของตนเอง ซึ่งอาจจะสุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง
ตามพงศาวดาร เตียวหุยต้อง “ทำเรื่องผิดพลาด” ดื่มสุราก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนของลิโป้ จนทำให้ลิโป้มีข้ออ้างในการบุกเข้ายึดเมืองชีจิ๋ว นางแอ่นจึงจัดฉากให้อย่างแนบเนียน แต่ต้องการทดสอบระดับฝีมือกับลิโป้อย่างจริงจังสักครา จนเกือบถูกสามขุนพล ลิโป้ โกซุ่นกับเตียวเลี้ยวรุมเอาชีวิตไปได้จริงๆ เพราะกุนซือตันก๋งไม่ได้ต้องการแค่เมืองใหญ่ หากแต่ยังต้องการให้พวกลิโป้ปลิดชีวิตเตียวหุยเป็นการตัดแขนซ้ายของเล่าปี่ไปเสียเลย
เตียวหุยหวังประลองเดี่ยวกับลิโป้ เพราะโอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เบื้องแรก ทวนอสรพิษที่มีความพลิกแพลงสูงยังพอทัดเทียมกับทวนไร้น้ำใจที่ว่องไวได้อยู่ แต่พอมีโกซุ่น เตียวเลี้ยวเพ่ิมเติมขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงตกอยู่ในวงล้อมสามขุนพลชั้นดี และกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็วเกินคาด
ยังดีที่เหยี่ยวดำในชุดคลุมหน้าตัดสินใจลงมือช่วยเหลือ จึงทำให้การต่อสู้กลับมาได้สูสีอีกครั้งหนึ่ง พอประเมินความสามารถเช่นนี้ แสดงว่า พลังยุทธ์ของนางแอ่นกับเหยี่ยวดำน่าจะสูงส่งในอันดับต้นๆของแผ่นดินได้แล้วจริงๆ
เมื่อทดสอบพลังฝีมือจนสาสมใจ นางแอ่นค่อยโบกอาวุธให้สัญญาณ ฉับพลัน พายุฝนบ้าคลั่งก็โหมกระหน่ำลงมายุติการต่อสู้ของคนทั้งห้าไปโดยปริยาย และแล้ว เตียวหุยกับคนคลุมหน้าก็ล่องหนหายตัวไปจากวงต่อสู้ ปล่อยให้พวกลิโป้งุนงงสงสัย และสะพรึงกลัว ทึกทักไปว่า เตียวหุยมีอิทธิฤทธิ์เวทมนต์ติดตัว
…
ทางฝ่ายเล่าปี่ได้มีโอกาสติดต่อประสานงานกับเล่าเปียว เชื้อพระวงศ์อาวุโส เพื่อตีกระหนาบอ้วนสุดนั้น แม้ว่าไม่ได้พบหน้ากันสักครั้ง แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้อุปนิสัยซึ่งกันและกันบ้าง ซึ่งเล่าปี่ประเมินว่า เล่าเปียวยังยึดติดอยู่ในกรอบความคิด และดูระมัดระวังตัวจนเกินเหตุ หากไม่มั่นใจเต็มที่ ก็ไม่ยอมลงมือสุ่มเสี่ยง ทำให้การศึกกับอ้วนสุดไม่คืบหน้า ทั้งๆที่มีความได้เปรียบเหนือกว่าทุกด้าน
พอเล่าปี่มาตั้งทัพอีกแนวชายแดน ทำให้อ้วนสุดเสียเปรียบที่ต้องรับศึกสองด้าน แต่เล่าเปียวกลับไม่สั่งการให้ชัวมอ เตียวอุ๋น สองขุนพลสำคัญรุกต่อ ปล่อยให้เล่าปี่ กวนอูต้องสู้รบอยู่ถ่ายเดียวจนอ่อนแรง มิได้ทำให้กลยุทธ์สองประสานของเล่าเปียว เล่าปี่ นั้นเป็นประโยชน์ต่อการศึกสักน้อยนิด
เมื่อเล่าปี่ทราบข่าวการเสียเมืองชีจิ๋ว จึงร้อนใจระคนท้อแท้ รีบใช้เป็นเหตุในการถอยทัพกลับอย่างเร่งด่วน แต่ฝ่ายอ้วนสุดกลับถือโอกาสขยายผล โดยส่งกองทัพไล่ตามมาตีล้ำมาถึงเมืองชีจิ๋วบ้าง แต่ลิโป้มีหรือจะยินยอมให้เป็นเช่นนั้นได้ เพราะเมืองนี้ถือว่าตกอยู่ในกำมือของตนเองไปแล้ว
ตันก๋งจึงชี้แนะให้ลิโป้ประกาศศักดาด้วยการยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่พู่หมวกของอ้วนสุดในระยะไกล ทำให้กองทัพของอ้วนสุดต้องล่าถอยไปก่อนด้วยกริ่งเกรงในฝีมือของลิโป้ ชื่อเสียงของขุนพลอันดับหนึ่งยังคงก้องหูอยู่ทั่วแผ่นดิน แถมซ้ำด้วยฝีมือเกาทัณฑ์ที่แม่นยำราวจับวางเช่นนี้ จึงทำให้ลิโป้ ขุนพลทวนไร้น้ำใจมีน้ำหนักในสายตาผู้คนอีกครั้งแล้ว นับเป็นการกลับมาของลิโป้ที่งดงามย่ิงนัก
อ้วนสุดจึงตัดใจกลับไปเฝ้าระวังกองทัพของเล่าเปียวอีกทางหนึ่งต่อไป ส่วนเล่าปี่เอง ก็จนใจ ตระหนักว่าอ้อยเข้าปากช้าง ยากยิ่งจะเอากลับคืน จำต้องยกเมืองชีจิ๋วให้ลิโป้ไปตามสถานการณ์ โดยยอมย้ายตัวเองสลับไปอยู่ที่เมืองเสียวพ่ายแทน
…
การที่ลิโป้ยิงเกาทัณฑ์ระยะไกลได้อย่างแม่นยำเข่นนั้น กลับเป็นข่าวใหม่ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า ทวนไร้น้ำใจ จะมีความสามารถด้านเกาทัณฑ์ขนาดนั้น แต่หากได้ทราบว่า อาจารย์ผู้ชี้แนะวิชาให้กับลิโป้ตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ที่จริง ก็คือ จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ ฮองตง มือปราบชื่อดัง ก็คงจะเข้าใจได้ไม่ยาก
ครั้งนั้น ฮองตงเพิ่งเริ่มเข้าสู่ยุทธภพ ยังไม่ใคร่มีชื่อเสียงมากนัก เคยรับลูกศิษย์ตัวน้อยๆอยู่สามคนในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ศิษย์คนแรกนั้น ก็คือ เด็กน้อยพเนจรลิโป้ ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาให้ยาวนานที่สุด หากแต่ฮองตงมีนิสัยแปลกประหลาด พฤติกรรมเกิดขึ้นตามแต่อารมณ์ จึงพาลไม่ได้บอกชื่อแซ่กับลูกศิษย์ตัวน้อย
แล้ววันหนึ่ง เมื่อต้องโยกย้ายไปทำงานที่เมืองอื่น ก็เพียงทิ้งเงินทองให้พอประทังชีวิต และจากไปโดยไม่ร่ำลา ทำให้ลิโป้ต้องพเนจรร่อนเร่ต่อไปอย่างเดียวดาย เพาะนิสัย “ไร้น้ำใจ” อย่างที่อาจารย์เป็น ยิ่งเมื่อวันเวลาผ่านไป ต่างฝ่ายต่างก็มีอายุมากขึ้นตามลำดับ และมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขึ้นมาแล้ว กลับไม่รู้จักกันว่า เป็นศิษย์อาจารย์ในครั้งเก่าก่อน และก็ไม่เคยมีโอกาสกลับมาเจอหน้ากันอีกเลย
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปริศนาในยุทธจักรที่ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน
…
เมื่อเอาชนะด้วยกำลังไม่ได้ อ้วนสุดก็อาศัยชั้นเชิงการทูต เพื่อเป็นการผูกมิตรเพิ่ม และลดทอนศัตรู โดยการสร้างความแตกแยกระหว่างลิโป้กับพวกเล่าปี่ เพราะลิโป้เองก็ถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับโจโฉอยู่ ซึ่งงานนี้ ตันก๋งกลับแอบเห็นดีด้วย เพื่อยึดฐานที่มั่นเมื่องชีจิ๋วเอาไว้ให้เด็ดขาด และบ่อนทำลายพันธมิตรลิโป้-เล่าปี่เสียก่อนจะเป็นภัยต่อเครือข่ายสุมาในอนาคต จึงส่งเสริมให้ลิโป้ลอบกำจัดพวกเล่าปี่เสียทันที แต่เตียวหุยกลับเป็นเหมือนนกรู้ จึงได้ชักชวนเล่าปี่และครอบครัวทั้งหมด หนีเข้าเมืองฮูโต๋ไปอยู่กับโจโฉ ศัตรูคู่แค้นของลิโป้เสียเลย
เตียวหุยเพียงให้เหตุผลง่ายๆว่า “ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ในเมื่อคราก่อน ลิโป้หนีโจโฉมาหาเราได้ คราวนี้ เราก็หนีลิโป้กลับไปหาโจโฉได้เช่นกัน บัดนี้ คงถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าถ้ำเสือเสียแล้ว”
แนบเนียนอีกครั้งด้วยสถานการณ์การเมือง และด้วยภาระหน้าที่ของนางแอ่นแห่งหน่วยปักษาสวรรค์แล้ว!
...
การที่พวกเล่าปี่เข้ามาสวามิภักดิ์กับโจโฉนั้น กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันในหมู่กุนซือของโจโฉ ซุนฮกต้องการให้กำจัดทิ้งก่อนจะเป็นภัย แต่กุยแกไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าพวกเล่าปี่มีฝีมือพอตัวอยู่หลายคน น่าจะมีประโยชน์ต่อการศึกได้บ้าง และเป็นท่าทีผ่อนปรนต่อศัตรูที่จะทำให้คนอื่นๆกล้าเปลี่ยนใจมาสวามิภักดิ์กันมากขึ้นในภายหลัง ซึ่งตรงใจกับโจโฉเป็นยิ่งนัก
ที่จริงแล้ว ซุนฮกย่อมต้องเห็นด้วยต่อการเก็บรักษาคนอย่างเล่าปี่เช่นเดียวกับกุยแก แต่เพราะความทะเยอทะยานของเล่าปี่นั้น อาจจะเป็นผลร้ายต่อพวกตระกูลซุนได้ ซุนฮกซึ่งมีปัจจัยซ่อนเร้นให้ต้องคำนึงถึงมากกว่า จึงคิดจะกำจัดหมากกลุ่มนี้ไปก่อนเท่านั้นเอง
ดังนั้น ซุนฮกจึงผลักดันให้แต่งตั้งเล่าปี่ให้กลับไปครองเมืองเสียวพ่ายอีก เพื่อคานอำนาจกับลิโป้ไว้ก่อน โจโฉก็ยิ่งเห็นด้วย อย่างน้อย ตนเองจะได้ยกทัพใหญ่ลงไปจัดการกับพวกลิฉุยกุยกีที่หนีไปอยู่กับเตียวสิ้วแห่งเมืองอ้วนเซียซึ่งเป็นขุมกำลังนอกเหนือการควบคุมที่อ่อนด้อยที่สุด และอยู่ใกล้เมืองหลวงได้อย่างวางใจ
หากได้เมืองอ้วนเซีย และกำจัดพวกลิฉุยกุยกีให้เสร็จสิ้นได้แล้ว เมืองฮูโต๋ก็จะปลอดภัยขึ้นจากคลื่นใต้น้ำอีกระดับหนึ่ง และเมืองนี้ขาดไร้ขุนพลมีฝีมือใดๆ จึงไม่น่าจะลำบากนัก โจโฉจึงตัดสินใจให้สี่เทวะอยู่รักษาเมืองหลวง ร่วมกับกุยแก กุนซือสำคัญ แล้วพาแต่โจงั่ง ลูกคนโต โจอันบิ๋น หลานชาย กุนซือซุนฮก และขุนพลลำดับถัดมา เช่น ซิหลง อิกิ๋ม งักจิ้น เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำสงคราม พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะจัดเตรียมองครักษ์ชั้นดี เตียนอุย เคาทูไปด้วยกัน
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 1 - มัจฉากลางวารี
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย