15 ก.พ. 2021 เวลา 02:44 • นิยาย เรื่องสั้น
1.28. คำพิพากษาซ่อนเงื่อน
ตันกุ๋น(ตันก๋ง) กุนซือจอมโหด  - โกซุ่น ขุนพลไร้พ่าย - เตียวเลี้ยว ดาวขุนพล
กลับมาที่เมืองชีจิ๋ว ลิโป้และพวก อันมี ตันก๋ง โกซุ่น เตียวเลี้ยว และนายทัพทั้งหลาย ถูกใส่โซ่ตรวนนำตัวมาให้โจโฉพิจารณาลงโทษเป็นรายตัว โดยมีลิโป้เป็นอันดับแรก โจโฉเอ่ยถามความเห็นในที่ประชุมเพื่อหยั่งเสียงดูก่อน ฝ่ายซุนฮกรีบเสนอให้ประหารทิ้ง ส่วนฝ่ายกุยแกก็ยังต้องการเก็บไว้ใช้งานอีกเช่นเคย แต่คราวนี้มีเสียงของเล่าปี่ เจ้าเมืองชีจิ๋วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวช่วยในการตัดสิน
“ท่านก็เห็นที่มันทำกับตั๋งโต๊ะ และคนอื่นๆแล้ว มิใช่หรือ ไยจะต้องเก็บเชื้อไฟไว้ให้เป็นกังวลเปล่าๆ” เล่าปี่กล่าวด้วยความหลังฝังใจที่โดนลิโป้หักหลังชิงเมืองชีจิ๋วไป และไม่ต้องการให้โจโฉได้คนเก่งไปเสริมทัพด้วยอีกประการหนึ่ง
ที่จริงแล้ว ไม่ต้องถามโจโฉก็ไม่ต้องการเก็บลิโป้ผู้ที่เป็นศัตรูเก่าทั้งด้านการเมือง และความรักของตนมานานหลายปี เอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามตำตา และคอยเตือนใจถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ในศึกเมืองอ้วนเซีย ลูกหลานและคนสนิทล้วนตายด้วยน้ำมือของมัน อีกทั้ง แฮหัวตุ้น ญาติสนิทเองก็เพิ่งสูญเสียดวงตาไปเพราะมันด้วย โจโฉจึงออกคำสั่งให้นำตัวลิโป้ ไปประหารชีวิตเสียในทันที
เมื่อลิโป้ได้ฟังคำตัดสินแล้ว ถึงกับหน้าถอดสี รีบอ้อนวอนขอชีวิตต่อคนทั้งหลายอย่างไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าเล่าปี่และคนที่คุ้นเคยในฝ่ายโจโฉ จนเตียวเลี้ยวอดใจไม่ได้ จึงตวาดห้ามว่า “ยอมตายอย่างมีคุณค่า ดีกว่ามีชีวิตอย่างไร้ความหมาย เมื่อถึงคราวตายแล้ว จงยอมตายอย่างขุนพลผู้ยิ่งใหญ่เถิด” ลิโป้จึงยอมสงบปากคำลง
โจโฉ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงเข้าไปกระซิบถามลิโป้ถึงข่าวคราวของซัวบุ้นกี หญิงงามกลางใจของมันทั้งสองคนที่หายสาบสูญไปเนิ่นนาน แต่ลิโป้กลับตัดไมตรี ตอกย้ำความแค้นด้วยวาจาว่า "คนรักเก่าของเจ้าคนนี้คงตายไปพร้อมกับซัวหยงในครั้งนั้นแล้ว เจ้าเก่งเพียงไรก็เรียกนางคืนกลับมาไม่ได้หรอก"
โจโฉเลิกคิ้วและกระซิบตอบโต้ไปอีกหลายคำ พอแว่วคำ “เตียวเสี้ยน” ออกมา ลิโป้ก็คล้ายถูกไฟนรกจี้ใส่ ฮึดสู้สะบัดโซ่ตรวนคล้องลำคอโจโฉรัดเอาไว้อย่างอาฆาตแค้น หมายจะเสี่ยงชีวิตให้ตายไปด้วยกัน
ทุกคนรอบข้างยังตกตะลึงอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า มีแต่เตียวเลี้ยวที่คุกเข่ารอฟังคำตัดสินอยู่ลำดับถัดไป ลอบยกโซ่ตรวนของตนกระแทกใส่ลิโป้จนเสียจังหวะ ทำให้โจโฉสะบัดตัวหลุดไปได้ เมื่อลิโป้ขยับกายยกโซ่ตรวนหมายจะตามซ้ำอีก ง้าวของกวนอู ทวนของเตียวหุย และกระบี่ของเล่าปี่ ก็พุ่งมาขวางทาง ปลิดชีวิตขุนพลอันดับหนึ่งของแผ่นดินไปในทันที
ง้าวเป็นง้าวมังกรเขียวของกวนอูไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทวนนั้น เดิมเป็นของลิโป้เอง ทวนไร้น้ำใจที่เตียวหุยเพิ่งได้รับมอบจากโจโฉให้เป็นอาวุธประจำตัวแทนทวนอสรพิษที่ถูกทำลายไป และกระบี่ที่ตามมาทีหลังสุด ก็คือกระบี่ฟ้าสังหาร อาวุธอาถรรพ์ที่ปลิดชีวิตคนดังมาแล้วหลายคน
โจโฉปาดเหงื่อ กล่าวขอบคุณพวกเล่าปี่ทั้งสามก่อนจะเริ่มตัดสินศัตรูที่เหลือ ซึ่งโจโฉเห็นความห้าวหาญของเตียวเลี้ยวเมื่อครู่แล้ว ก็ลอบพึงพอใจอยู่ กุยแกเห็นเป็นโอกาสจึงเสนอให้เก็บเตียวเลี้ยวไว้เป็นพวก พร้อมคำทักท้วงจากซุนฮกในทันที
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งจากด้านข้างก็เสริมขึ้นว่า “สำหรับแม่ทัพเตียวเลี้ยวผู้นี้ ข้าขอชีวิตไว้ด้วยก็แล้วกัน มันเป็นคนซื่อสัตย์ยิ่งนัก” ผู้กล่าววาจานี้ กลับเป็นกวนอูที่ยืนอยู่ด้านหลังของเล่าปี่
นับว่า เล่าปี่จัดโต๊ะกินเลี้ยงที่เมืองชีจิ๋วไม่เสียเปล่าแล้ว อย่างน้อย กวนอู เตียวเลี้ยว ก็เป็นเพื่อนร่วมวงสุราที่ถูกคอกันยิ่งนัก จนถึงขั้นที่กวนอูเอ่ยปากขอชีวิตสหายเก่าในยามคับขันเช่นนี้
แต่ที่จริงแล้ว เป็นเตียวหุยต่างหากที่นัดแนะกับกวนอูไว้ตั้งแต่ก่อนมาร่วมฟังคำพิพากษาในครั้งนี้ “ท่านเองก็มีความชอบไม่น้อย หากขอชีวิตมันสักคน โจโฉต้องไว้หน้าแก่ท่านแน่นอน”
โจโฉรำลึกถึงความช่วยเหลือของกวนอู หรือเผิงเสียนในอดีต ทั้งจากศึกเมืองกุนจิ๋วและเมื่อครู่นี้ และเตียวเลี้ยวเองก็ดูไม่เลวร้ายแต่อย่างใด เก็บไว้เป็นขุนพลฝ่ายตนก็มีแต่ได้กับได้ จึงยอมรับเตียวเลี้ยวเข้าเป็นพวกตน ซึ่งเตียวเลี้ยวก็ลอบยินดีที่ตัวเองรอดตาย และตอบรับขอบคุณต่อโจโฉ กุยแก และกวนอู โดยเก็บความแค้นเคืองในตัวซุนฮกเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว
แต่โกซุ่นกลับไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษเช่นเดียวกันกับเตียวเลี้ยว อาจจะเป็นเพราะบาดแผลที่ฝากไว้กลางแผ่นหลังของโจโฉเมื่อครู่ ทำให้โจโฉมองไม่เห็นคุณประโยชน์ในตัวขุนพลผู้อยู่เบื้องหลังกองทัพไร้พ่ายแม้แต่น้อย
เมื่อครู่ กวนอูเป็นผู้เอ่ยปากขอชีวิตเตียวเลี้ยวได้สำเร็จ และได้รับการสนับสนุนจากกุนซือกุยแก ดังนั้น ซิหลงซึ่งเคยเป็นสหายเก่ากับโกซุ่นตั้งแต่เริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นทหารสายอาชีพในเมืองหลวงด้วยกัน จึงลองขอชีวิตให้บ้าง พร้อมสหายร่วมรบอิกิ๋ม งักจิ้นด้วย
โจโฉตาลุกวาว กุนซือและนายทหารที่พอมีปัญญาล้วนหยั่งรู้จิตใจได้ในทันที ไม่มีใครกล้าสนับสนุนพวกซิหลงทั้งสาม คงมีแต่ซุนฮกที่พอใจกล้า ไหวตัวทัน รีบเอ่ยปากแนะนำให้ประหารชีวิตโกซุ่นเสียในทันที
“ความชั่วช้าที่ลิโป้สะสมมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการประจบสอพลอของโกซุ่นเป็นสำคัญ พวกเราจึงไม่ควรละเว้นชีวิตนายทหารจอมโฉดเอาไว้ โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมอันดีงาม” ซุนฮกสรุปส่งท้าย
โจโฉพยักหน้ารับฟัง โบกมือให้พวกซิหลงล่าถอยกลับไป และสั่งให้ทหารนำตัวโกซุ่นไปตัดหัวเสียบประจานคู่กันกับลิโป้เจ้านาย
ซิหลงมองตามสหายเก่าที่ถูกลากตัวออกไป ในใจนึกรู้ว่า สถานะของกลุ่มตนเองสามคนเป็นได้เพียงแค่ขุนพลระดับรอง ยังไม่อาจมีน้ำหนักต่อโจโฉ มากเท่ากับ กวนอูซึ่งเป็นขุนพลในสังกัดของเจ้าเมืองบ้านนอกเสียด้วยซ้ำ
พอหันไปมองรอบด้าน พบกับสายตาที่เย้ยหยันมาจากกลุ่มสี่เทวะที่มักจะถือตนเป็นญาติสนิทของผู้นำ ยิ่งทำให้นายทหารมืออาชีพอย่างซิหลงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ในที ในขณะที่เตียวเลี้ยวก็แอบเก็บข้อมูลความขัดแย้งครั้งนี้ไว้เป็นประโยชน์ในอนาคต
สุดท้ายคือตันก๋ง กุนซือคนสำคัญที่มีความหลังอันซับซ้อนกับโจโฉในอดีต ที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานแล้ว
ตันก๋งเห็นตัวอย่างจากพวกลิโป้ทั้งสามแล้ว รู้ว่าโจโฉย่อมมีความคิดเห็นของมันเอง มันเอ่ยปากไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก จึงสงวนปากคำเอาไว้ พร้อมทั้งขบคิดถึงคำกล่าวของเตียวเลี้ยวเมื่อครู่ที่ส่งสัญญาณออกมาดังๆ
ที่แท้เตียวเลี้ยวนี่เองที่เป็นสายลับสองหน้าในขุมกำลังสัตตดาราของท่านสุมาเต๊กโช อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน มันกลับไม่ล่วงรู้ได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ นับว่า ตัวเตียวเลี้ยวรอดชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง กลุ่มโจโฉก็จะเกิดไส้ศึกของท่านสุมาหนึ่งคนแล้ว ส่วนที่เตียวเลี้ยวจะสามารถช่วยชีวิตของมันซึ่งเป็นพวกเดียวกันได้ไหมนั้น มันยังกริ่งเกรงอยู่ มิอาจไว้วางใจได้เต็มที่นัก
อดีตที่ตนเองเคยกระทำไว้กับลิยูเมื่อหนหลังย้อนคืนมาให้เห็นในมโนจิต มันเคยอาศัยชีวิตพรรคพวกเดียวกัน เพื่อเป็นบันไดก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ดีขึ้น ดังนั้น บาปกรรมที่เคยสร้างไว้ อาจจะส่งผลถึงมันในวันนี้แล้ว นี่คงเป็นโชคชะตา
“สหายตันก๋ง ท่านคิดอ่านเช่นไรหรือ” เสียงโจโฉหยั่งท่าที
“ยอมตายอย่างมีคุณค่า ดีกว่ามีชีวิตอย่างไร้ความหมาย คำกล่าวอันยอดเยี่ยมของเตียวเลี้ยวยังก้องอยู่ในสองรูหู ตัวเราเป็นกุนซือที่ปรึกษา ขึ้นกับฝ่ายใดแล้วย่อมต้องจัดการให้กับฝ่ายนั้นอย่างเต็มที่ ท่านคิดเห็นเช่นใด ก็ดำเนินไปเช่นนั้นเถิด เราคงไม่พาดพิงไปถึงเรื่องราวหนหลังให้ใครต้องวุ่นวายใจหรอก” ตันก๋งตอบ แต่เหมือนกล่าวให้กับอีกผู้หนึ่งฟังอย่างจงใจ
“ไม่โหดเหี้ยม ไม่อาจเป็นใหญ่ได้ คำกล่าวนี้เจ้าจำได้หรือไม่” โจโฉทำเสียงเข้ม ชวนคู่สนทนาให้รำลึกถึงหนหลังเมื่อครั้งตันก๋งกล่าวประโยคตอกย้ำความขุ่นเคืองใจก่อนแยกทางจากกัน
ตันก๋งนึกในใจ หากโจโฉยึดถือเรื่องนี้เป็นความแค้นเคือง คราวนี้มันคงจบสิ้นกัน แต่ยังแข็งใจไม่ตอบโต้ เตียวเลี้ยวอาศัยจังหวะนี้ กล่าวแทรกขึ้น “ท่านกุนซือเป็นผู้ที่มีความสามารถ น่าจะช่วยท่านได้อีกมากนะท่านโจโฉ”
ฝ่ายซุนฮก กุยแกครั้งนี้ กลับประสานเสียงไม่เห็นด้วยให้เก็บไว้ คงเพราะการมีกุนซือเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นภัยต่อตำแหน่งของตนเอง ส่วนเล่าปี่ก็นิ่งเฉย เพราะไม่รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคนผู้นี้ ตันก๋งจึงโดดเดี่ยวยิ่งนัก ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโจโฉเองแล้ว
โจโฉกวาดตามองไปรอบๆที่ประชุม แล้วมองขึ้นไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ตันก๋งนั้นสมควรตายยิ่งนัก แต่เจ้าก็มีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน ข้าจึงอยากให้เจ้าอยู่ดูความสำเร็จของข้าในอนาคต ต่อแต่นี้ไป เจ้าจงใช้ชื่อใหม่เป็น ตันกุ๋น แทน และอยู่เป็นที่ปรึกษาคอยเตีอนสติให้แก่ข้าอีกแรง”
ดังนั้น ลิโป้ โกซุ่น และตันก๋งจึงจบฉากชีวิตลงไปพร้อมกัน และชีวิตใหม่ของตันกุ๋น เตียวเลี้ยวกลับเกิดขึ้นในที่นั้นแทน โดยเตียวหุย หรือนางแอ่น แห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ก็เพิ่งรู้ความลับเรื่องนี้ไปพร้อมกันด้วย
ตันก๋งที่กลายเป็นตันกุ๋น และเตียวเลี้ยว สายลับสองหน้าที่ยังคงสถานะไว้ได้ ต้องมาตกอยู่กับฝ่ายโจโฉโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่คือความผิดพลาดของสุมาเต๊กโชที่ไม่ได้นำพวกเล่าปี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหมากกระดานตั้งแต่ต้น จึงเกือบจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของเครือข่ายสุมาในครั้งนี้
...
โจโฉกลับไปยังห้องนอนของมัน คนที่นั่งรอคอยอยู่ตามลำพังในนั้น กลับเป็นเตียวเสี้ยน หญิงงามข้างกายของลิโป้ อดีตศัตรูที่เพิ่งถูกประหารชีวิตไปหมาดๆ
"หญิงที่เจ้ารักสุดใจ เจ้าก็เอาไปไม่ได้เช่นกัน ข้าจะดูแลเตียวเสี้ยนให้เอง" นี่คือถ้อยคำสุดท้ายที่โจโฉทำให้ลิโป้แค้นเคืองจนระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อครู่นี้เอง
เตียวเสี้ยนสงบนิ่ง และโอนอ่อนผ่อนตาม ดูเหมือนว่า นางจะยอมรับในชะตากรรมของนางแล้วเช่นกัน "เมื่อสามีตายในสนามรบ ภรรยาย่อมตกเป็นสมบัติของฝ่ายตรงข้ามไปโดยปริยาย" เป็นเรื่องปกติของสงครามในยุคสมัยนั้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเตียวเสี้ยน เจ๋าซือ หรือใครก็ตาม ในเมื่อเป็นหญิงงามสะคราญตาเช่นนี้ ตายไปก็น่าเสียดายเปล่า คราก่อน เจ้าวางยานอนหลับใส่เรา เพื่อเอาตัวรอด แต่ที่จริงแล้ว ก็เป็นเราที่พบพานเจ้าก่อนตั้งแต่ที่เจ้ายังคงเป็นสาวใช้ในจวนอ้องอุ้นครั้งนั้น เอาเถิด เปียนสี ภรรยาข้าก็เพิ่งตายไปไม่นาน จากนี้ไป ให้เจ้าใช้ชื่อ เปียนสี (ความหมายจีน “เปียน” คือ “ปรับเปลี่ยน”) แทน ให้พ้นจากคำครหาของราษฎรทั่วไป จงคอยช่วยดูแลโจผี และเพิ่มทายาทชายให้แก่ข้าโดยเร็ววันเถิด”
โจโฉสั่งความเบาๆ พร้อมลงมือ หวังสร้างทายาทเพิ่มเติมแทนโจงั่งที่ตายไปในสนามรบ ตัวมันเป็นเสือผู้หญิงที่ช่ำชอง พอรับรู้ได้ว่า สรีระร่างกายของเตียวเสี้ยนไม่เคยฝึกฝนวิชายุทธ์ใดๆ จึงไม่เคยเกรงกลัวสาวงาม ตั้งแต่ครั้งที่ปลอมตัวเป็นเจ๋าซือ หรือ ในยามที่กลับคืนเป็นเตียวเสี้ยนก็ตาม เพราะถือว่า ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่มีเปรียบกว่า ความท้าทายเช่นนี้ มันกลับชื่นชอบยิ่งนัก
“แน่นอน ท่านต้องมีแน่ เพราะในไม่ช้า บุตรของข้ากับลิโป้ในท้องก็จะลืมตามาดูโลกแล้ว” เตียวเสี้ยน หรือ เปียนสี ร้องตอบอยู่ในใจ มิได้คล้อยตามคำโจโฉเลย
ที่แท้ โจเจียง ลูกชายคนรองของโจโฉกับ “นางเปียนสี” กลับเป็นทายาทของลิโป้ ผู้เหี้ยมหาญไปเสียได้ มิน่าเล่า โจเจียงจึงมีบุคลิกแตกต่างจากบิดา มีความห้าวหาญราวกับขุนพลนักรบ สมกับเป็นทายาทของอดีตขุนพลอันดับหนึ่งโดยแท้
เตียวเสี้ยน หรือ เตียวเฟิง (วายุ) คิดถึงลิโป้ คนรักคนแรกในชีวิตของตนที่ตายไป และภาระที่ยังไม่จบสิ้นของพรรคฟ้าเหลืองที่ท่านบิดา เตียวก๊กตั้งขึ้นมา นางจำต้องเข้มแข็งต่อไป และสงวนท่าทีรักษาสถานะตนเองให้อยู่รอดไว้ก่อน
ลิโป้เป็นเพียงขุนพลอันดับหนึ่งที่ก่อการปฏิวัติจนได้เป็นสมุหกลาโหม แต่โจโฉเป็นจอมทัพผู้กรำศึก จนได้เป็นถึงมหาอุปราชแล้ว ต่อแต่นี้ นางยิ่งต้องระมัดระวังตนให้มากขึ้น เพราะการควบคุมโจโฉที่มีความคิดอ่านของตนเองชัดเจน และมีกลุ่มที่ปรึกษามากมาย คงไม่ใช่ง่ายดายเหมือนกับลิโป้ กลนางงามยังคงอยู่ หากแต่วิธีการนั้นคงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แล้ว
ด้วยความยินดีที่สร้างชื่อกู้คืนอำนาจบารมีได้อีกครั้งหนึ่ง และตอบแทนที่พวกเล่าปี่ช่วยชีวิตเอาไว้จากการเสี่ยงชีวิตก่อนตายของลิโป้ โจโฉจึงเชิญเล่าปี่ที่แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วไปแล้วนั้น ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นรางวัลพิเศษ
อันที่จริง กลับเป็นความคิดของกุยแก ที่หวาดระแวงว่า เล่าปี่อาจจะแผ่อิทธิพลให้เกิดปัญหาขึ้นอีก จึงอ้างเหตุเข้าเฝ้า เพื่อดึงตัวเอาไว้ในเมืองหลวง ยิ่งเห็นว่า กวนอู เตียวหุยติดตามมาด้วย เหลือเพียงพวกคนมือรองอย่าง บิต๊ก ซุนเขียน เฝ้าเมือง จึงยิ่งเข้าตามแผนการ ไม่ต้องกังวลใจกับสถานการณ์ชีจิ๋วอีกต่อไป
เมื่อเล่าปี่นั้น กลับเห็นเป็นโอกาสเจริญก้าวหน้า เมื่อมีโอกาสได้พบกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นคนปัจจุบัน จึงไม่ลืมที่จะโยงเชื้อสายเหล่ากอให้ฟังตามนิสัยที่ติดตัวมานาน ทำให้ฮ่องเต้น้อยรู้สึกสนใจ เมื่อให้คนไล่เรียงตามสาแหรกตระกูลกันลงมาแล้ว มันมีศักดิ์เป็นถึงพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ฝ่ายกษัตริย์เหี้ยนเต้เองในวัยยี่สิบต้นๆได้พบปะกับญาติอาวุโสคนใหม่ แต่เพิ่งมีผลงานโดดเด่นเช่นเล่าปี่ จึงรั้งตัวให้อยู่พูดคุยต่อเป็นการลับส่วนพระองค์ในบ่ายวันนั้น เพื่อบอกเล่าสถานการณ์เบื้องหลังตระกูลเล่าให้รับรู้ไว้ โดยมีหัวหน้าองครักษ์วังหลวง ตังสินที่เป็นคนสนิทใกล้ชิด เฝ้าระวังเหตุให้เป็นการเฉพาะ
ที่แท้ในลำดับราชวงศ์ที่ยังเหลืออยู่ หากไม่นับสายของเหี้ยนเต้-เล่าเหียบนี้แล้ว บุคคลต่อไปที่จะได้รับตำแหน่งกษัตริย์ด้วยเชื้อสายตระกูลเล่า ก็คือ เล่าเปียวแห่งเกงจิ๋ว และ เล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวน ตามลำดับ ทำให้เจ้าเมืองทั้งสองมีภาระซ่อนเร้นที่สำคัญเกินกว่าจะสุ่มเสี่ยงใดๆ จำเป็นต้องสงวนท่าทีรักษาตนเอง ไม่ค่อยเข้าร่วมกับการต่อสู้แย่งชิงทางการเมือง จนกว่าสถานการณ์จะเป็นใจให้สำเร็จจริงๆ
หากแม้นผิดพลาดเช่นใดไป ทั้งสองที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ ก็สามารถประกาศตนนำกำลังทหารบีบเข้ามาเป็นสองเส้นทางซ้ายขวา พร้อมชูธงกอบกู้ฮั่นกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง นี่คือหมากสุดท้ายก่อนตายของพระเจ้าเลนเต้ พระราชบิดาของพระองค์วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพื่อกอบกู้ภัยจากพวกขุนนางชั่ว หรือขันทีโฉดทั้งหลาย
นอกจากนั้น การวางตัวลดชั้นความสำคัญของคนทั้งสองลง เท่ากับว่าเป็นการเลื่อนลำดับสาแหรกของเชื้อพระวงศ์ เล่าหงี ที่เป็นขุนนางตรวจการ ขึ้นมาเป็นตัวล่อเป้าลวง หากมีการไล่ล่าสังหาร หรือช่วงชิงอำนาจ ก็จะไม่กระทบถึงแผนการใหญ่ที่วางเอาไว้
เปลือกนอก พระเจ้าเลนเต้อาจเหมือนฮ่องเต้เหลวไหล ไร้น้ำยา แต่ที่จริงแล้ว เป็นเพียงการเสแสร้งเพื่อให้ศัตรูตายใจเท่านั้น ท่านได้แอบติดต่อนัดแนะไว้กับเล่าเปียว เล่าเอี๋ยน พระอนุชาต่างมารดาที่วางใจได้ทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด เสียดายแต่ท่านเผชิญทั้งศึกนอกและศึกในพร้อมๆกัน
ศึกนอก คือ โจรโพกผ้าเหลือง และเจ้าเมืองหลายแห่งที่กระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมรับในอำนาจส่วนกลาง ศึกใน คือ กลุ่มขันทีและเหล่าทหารขุนนางกังฉิน กดดันจนสุขภาพร่างกายท่านทรุดโทรม อ่อนแอ จึงเป็นช่องทางให้โดนขันทีทั้งสิบลอบวางยาพิษปลงพระชนม์ไปอย่างไร้เงื่อนงำ เพื่อผลักดันพระราชโอรส องค์โต หองจูเปียนที่หัวอ่อน และรักใคร่ชอบพอกับพวกขันทีมากกว่า ขึ้นครองราชย์แทน
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทั้งหองจูเปียน และหองจูเหียบ (พระเจ้าเหี้ยนเต้) รับรู้มาโดยตลอด แม้ว่าตอนนั้นจะทรงพระเยาว์อยู่ก็ตาม ดังนั้น ฮ่องเต้หนุ่มเหี้ยนเต้จึงดำเนินตามรอยพระบาทของพระบิดาเลนเต้ คือ เสแสร้งเหลวไหลอ่อนแอ รักษาบัลลังก์ไว้ก่อน รอให้สถานการณ์สุกงอม ค่อยลงมือให้ไม่คาดคิด
เล่าปี่รับฟังข้อมูลเบื้องลึกดังกล่าวด้วยความยินดี และเข้าใจในตัวของฮ่องเต้ และเจ้าเมืองเชื้อพระวงศ์ทั้งสองมากยิ่งขึ้น นับว่าฮ่องเต้เติบใหญ่ และมีความคิดอ่านเป็นของตนเองแล้ว ภายใต้ความกดดันของตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้น ลิโป้ ลิฉุย กุยกี จนมาถึงโจโฉ ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนมาโดยตลอด ฮ่องเต้น้อยได้เปลี่ยนไปมากนักแล้ว
และแล้ว สิ่งที่มันไม่กล้าคาดคิดก็มาถึง เป็นคำพูดที่ทำให้ชะตาชีวิตของมันต้องเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา
“ในสภาวะที่บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย ตอนนี้ คงต้องปล่อยให้โจโฉยึดกุมอำนาจไปก่อน ทางหนึ่งเพื่อการรวบรวมแผ่นดินกลับมา และอีกทางหนึ่ง มันเป็นหมากเปิดเผย ถึงเวลาน่าจะกำจัดได้ไม่ยาก แต่หากแม้นตัวเราเป็นอันใดไปจริงๆในตอนนั้น ท่านอา ก็น่าจะเป็นลำดับที่สามต่อไปแล้ว จงรักษาตัวด้วย การอยู่ร่วมกันไม่มีประโยชน์อันใด จงเร่งหาหนทางออกจากเมืองหลวง ไปร่วมมือกับท่านอาทั้งสองเถิด” พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสสั่งความพร้อมส่งแหวนหยกรูปทรงธรรมดาให้ “สิ่งนี้จะทำให้ท่านอาทั้งสองยอมรับในตัวท่านโดยง่าย”
เล่าปี่รับแหวนพระราชทานด้วยความตื่นเต้นสับสน ช่วงเวลาที่ผ่านมา เป้าหมายหลักของเล่าปี่เป็นเหมือนดั่งคนธรรมดาทั่วไปที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น และมุ่งหวังไต่เต้าขึ้นเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตเท่านั้น แต่บัดนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้กลับเอ่ยปากระบุให้มันเป็นรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ในลำดับที่สามไปเสียแล้ว ทั้งๆที่ความเป็นจริง มันมิได้เป็นสายเลือดแซ่เล่าเลยด้วยซ้ำ
จังหวะนั้น มันสังเกตเห็นนางกำนัลที่คล้ายเดินผ่านมาโดยบังเอิญ และหยุดยั้งอยู่หลังม่านชั่วครู่หนึ่ง ดูช่างคุ้นตายิ่งนัก เลยทำให้มันไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันของฮ่องเต้วัยหนุ่มไป
“ข่าวนี้รู้ไปถึงหูของโจโฉ ย่อมเพิ่มงานภายนอกให้กับมันอีกหนึ่งกลุ่ม เราเองก็อยู่รอดปลอดภัยได้นานขึ้นอีกหน่อย” ยุวกษัตริย์คิดอยู่ในใจ
นางเปียนสีหรือเตียวเสี้ยนเดิม รีบหลบออกจากหลังม่านนั้นโดยเร็ว บอกกับตัวเองว่า โชคดียิ่งนักที่ฮ่องเต้มอบความเมตตาให้มาฝึกฝนงานพิธีการในวังหลวงเพิ่มเติม ทำให้นางเข้าออกในวังได้ตามสะดวก จนได้มาพบกับข้อมูลสำคัญเช่นนี้ และการที่นางไม่ได้เปิดเผยโฉมหน้ามากนักในคราครั้งก่อนที่อยู่ในเมืองหลวงกับลิโป้ แม้ว่าคนจำนวนมากจะรู้จักชื่อเตียวเสี้ยน หากแต่น้อยคนนักจักเคยพบหน้าถนัดตา พอนางอาศัยชื่อใหม่จึงไม่มีใครทันสงสัยใจเลย
“โจโฉคือหมากเปิดเผย รอโดนกำจัดเมื่อเสร็จศึก และเล่าเปียว เล่าเอี๋ยน เล่าปี่คือสาม อันดับแรกตามลำดับเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น” น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคฟ้าเหลือง และ พี่ใหญ่จูล่งได้ในอนาคต
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา