Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
16 ก.พ. 2021 เวลา 01:54 • นิยาย เรื่องสั้น
1.29. ความลับปรับท่าที
จูกัดกุ๋ย หนึ่งในสี่สุดยอดนครหลวง - เภาก้วย หลวงจีนซ่อนกาย - เภาเจ๋ง เจ้าอาวาสวัดป่าน้อย
เริ่มแรกที่โจโฉก้าวย่างเข้ามาดูแลค้ำจุนบัลลังก์ของกษัตริย์เหี้ยนเต้นั้น ได้ปรับเปลี่ยนระบบการบริหารมากมาย ควบคุมเข้มงวดในระเบียบแบบแผนมากขึ้น รวมทั้งโยกย้ายเมืองหลวงจากเมืองเตียงอันมายังเมืองฮูโต๋ ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่เคยสุขสบายมานานของกษัตริย์น้อยในวัยสิบกว่าปีหลายต่อหลายเรื่องโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ภายในใจของเหี้ยนเต้จึงไม่ค่อยพึงพอใจต่อตัวมหาอุปราช ผู้สำเร็จราชการคนใหม่สักเท่าใดนัก แต่ยังไม่กล้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง เหมือนเมื่อครั้งที่เคยกระทำต่ออ้องอุ้น เพราะตระหนักว่า โจโฉที่เติบโตมาทางสายทหาร พื้นฐานดุดันเหี้ยมหาญ อาจไม่ผ่อนปรนต่อตนเองเท่ากับอดีตขุนนางอาวุโสสายบุ๋น
แรงกดดันของตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นลิโป้ ลิฉุยกุยกี ทำให้จิตใจของฮ่องเต้หวาดระแวงต่อใครก็ตามที่มาอยู่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเป็นพื้นฐาน ประกอบกับหลักความคิดแนวม่อจื้อที่ราชครูซัวหยงสั่งสอนไว้ มุ่งเน้นแนวทางให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ทำให้เหี้ยนเต้วัยรุ่นเริ่มมีความคิดเห็นส่วนตัวที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ยึดถือเพียงหัวหน้าองครักษ์ตังสินกับสองพี่น้องสกุลเอียวเป็นสหายคู่พระทัยที่ไว้วางใจได้ ส่วนขุนนางนายทหารอื่นๆ เป็นเพียงเบี้ยหมากพร้อมสละทิ้งได้ทุกเมื่อ
ในยามนี้ ยุวกษัตริย์ที่เรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปไกลเกินกว่าโจโฉเล่าปี่คาดคิดแล้ว ถึงกับวางแผนอันแยบยลให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในแผ่นดิน แลกกับการรักษาบัลลังก์ให้กับตนเองแล้ว โดยโยนระเบิดอันเหลวไหลไปให้เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน และ เล่าปี่ ผ่านนางกำนัลของโจโฉที่แอบมาฟังเมื่อครู่นี้
สิ่งที่มันกล่าว อาจจะเป็นจริงเพียงสามส่วน เพียงแต่คำพูดอ้างอิงเหตุผลที่สวยหรูกลับทำให้เล่าปี่ และนางเปียนสี เชื่อสนิทใจถึงลำดับสาแหรกที่วางไว้ หมากครานี้ย่อมลดแรงกดดัน และซื้อเวลาให้มันได้อีกนานหลายปี ปล่อยให้โจโฉเข้าใจไขว้เขว ออกไปทำศึกวุ่นวายกับ เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน และเล่าปี่ ก่อน จะได้ละเลยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พระองค์กำลังเพาะบ่มขุมกำลังลับอยู่ในราชสำนัก
นี่คือกลยุทธ "ส่งเสียงตะวันออก จู่โจมตะวันตก" อย่างแท้จริง และต้องให้ความดีกับหัวหน้าองครักษ์ตังสินที่แสร้งทำได้อย่างแนบเนียนยิ่งนักในการจัดฉากเปิดทางให้นางเปียนสีได้รับฟังเรื่องราวไปด้วยพร้อมกันกับเล่าปี่
...
อันที่จริง โจโฉเองก็หวาดระแวงในการเข้าพบแบบส่วนพระองค์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้กับเล่าปี่อยู่เช่นกัน มักคิดว่า แผนการของกุนซืออมโรคครั้งนี้ ออกจะสุ่มเสี่ยงเกินไป พอได้รับฟังข้อมูลลับจากปากคำนางเปียนสีแล้ว ยิ่งตระหนักว่า มันได้สร้างเรื่องราวให้ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมาแล้ว
มันลอบตำหนิตัวเองที่พลาดปล่อยให้เล่าปี่เข้าเฝ้าในวังหลวงตามลำพัง จนได้ตำแหน่งเป็นพระเจ้าอาไปง่ายดายเช่นนั้น ก่อนถึงกำหนดการเดินทางกลับไปดูแลเมืองชีจิ๋ว มันจึงเชิญเล่าปี่มากินเลี้ยงในสวนดอกไม้ส่วนตัวเป็นการลับเฉพาะ ไม่ให้มีคนติดตาม โดยให้แฮหัวสองพี่น้อง และ เตียวเลี้ยว ซิหลง เลี้ยงรับรองกวนอู เตียวหุยไว้ที่โถงรับรองชั้นนอก
เหตุการณ์ซ้ำรอยคล้ายกับครั้งที่สิบขันทีเรียกตัวโฮจิ๋นเข้ามาตามลำพังเพื่อเชือดทิ้ง โจหยิน โจหอง นำกำลังทหารแอบซ่อนรอฟังสัญญาณห่างไปเพียงเล็กน้อย หากโจโฉส่งสัญญาณทิ้งจอกสุราเมื่อใด พวกเล่าปี่ทั้งสามจะถูกฆ่าตายทันทีในข้อหา “คิดการณ์ลอบสังหารท่านผู้นำ”
โจโฉเป็นผู้นำเข้าบทสนทนาต่างๆ จนสุดท้ายก็มาจบลงที่เรื่องบุคคลยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ไล่เรียงตั้งแต่ อ้วนเสี้ยว ซุนเซ็ก อ้วนสุด เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน และเจ้าเมืองอื่นๆที่มีชื่อเสียง เป็นอาทิ เล่าปี่ชี้จุดเด่น มันโต้กลับจุดด้อย จนในที่สุด ก็เหลืออีกเพียงสองผู้เหี้ยมหาญแห่งยุคสมัย
“ตัวเราเห็นว่า มีแต่ท่านกับข้าเท่านั้น ที่เหมาะสมจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนี้แล้วกระมัง” โจโฉกล่าวสรุปอย่างชัดเจนพร้อมสังเกตท่าทีของเล่าปี่อย่างไม่กระพริบตา หากคำกล่าวไม่ตรงกับใจแล้ว สามพี่น้องก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตทันที
เสียงเปรี้ยงของฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งๆที่ปราศจากเค้าฝน เล่าปี่อาศัยจังหวะนั้น ทำตะเกียบหล่นจากโต๊ะ และยกมือขึ้นอุดหูเหมือนหวาดกลัวเสียงนั้นอย่างยิ่ง จึงทำให้ โจโฉเข้าใจว่า เล่าปี่ขลาดกลัวแม้แต่เพียงเสียงฟ้าผ่า มีหรือที่คนเช่นนี้จะทำการใหญ่ได้ตลอด จึงคลายความระแวงลงไปได้หลายส่วน และปล่อยให้เล่าปี่กลับบ้านไปพักผ่อน
…
ระหว่างทางกลับ เล่าปี่นึกแปลกใจ เหตุใดเตียวหุยจึงล่วงรู้แม้แต่เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ละเอียดเช่นนี้ ทั้งบทสนทนาของโจโฉ และทั้งเสียงฟ้าผ่าในเวลาใกล้กันนั้น จะเป็นเรื่องบังเอิญที่คาดการณ์ได้ด้วยหรือ
แต่ก็นับว่า มันเล่นละครได้แนบเนียนไม่น้อย จนโจโฉสิ้นความระแวง แต่พอหวนคิดไปถึงเรื่องที่เตียวจูล่งและเตียวเสี้ยนมีสายตาแค้นเคืองกับเตียวหุยด้วยแล้ว ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
"ทั้งเตียวจูล่ง และ เตียวเสี้ยน ต่างก็ออกสำเนียงเป็นแซ่เตียวได้เช่นกัน จริงสิ เตียวหุย เตียวเลี้ยว เตียวคับ ก็เป็นเฉกเช่นกัน หรือว่าปัญหาล้วนอยู่ที่แซ่เตียว"
มันนึกย้อนไปถึงคนแซ่เตียวที่มีมากมายในวงการการเมือง ขุมอำนาจต่างๆ ล้วนมีแต่คนแซ่เตียว ทั้งเตียวเหยียง เตียวสิ้ว เตียวล่อ รวมทั้งเตียวก๊ก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง จุดกำเนิดของความวุ่นวายในแผ่นดินตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ล้วนมีพวกแซ่เตียวเข้ามาเกี่ยวพันทั้งสิ้น มันคงจะคิดมากเกินไปเสียแล้ว
…
กลับมาที่สวนดอกไม้ของโจโฉ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกันสองคน แต่ไร้เงาร่างใดๆทั้งสิ้น เสียงหนึ่ง กล่าวขึ้น “หายตัวนานๆอย่างนี้ มันช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ปกติเราเพียงพรางกายสั้นๆ เท่านั้นเอง”
อีกเสียงหนึ่งกล่าวตอบ “เพราะท่านอยากจะให้เรื่องฟ้าผ่านี้แนบเนียน ก็ต้องเป็นเช่นนี้ แหละ หากไม่อยู่ใกล้ชิดเช่นนี้ ข้าคงกะจังหวะแน่ชัดไม่ได้เช่นกัน”
เสียงแรกกล่าว “มีคนกำลังเดินมา”
…
ทั้งสองสงบเสียงลง หากแต่โจโฉยังได้ยินแว่วๆตั้งแต่แรกว่า เหมือนมีคนคุยกันอยู่ในบริเวณนั้น มันกวาดตามองไปรอบๆด้วยความสงสัย ไม่มีผู้คน แต่เมื่อครู่ มันได้ยินเสียงสนทนาแน่นอน หรือว่า “ผู้วิเศษล่องหน”ท่านนั้น ยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้ ข้างกายของมันมาตลอด
โจโฉแกล้งทำเป็นเมามาย ไขว่คว้าค้นหาของสะเปะสะปะไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงลมผ่านเข้าหู เหมือนดั่งเสียงคนเคลื่อนกายหลบอยู่ใกล้ๆ ฉับพลัน มันสังเกตเห็นเงาทึบจากแสงแดดผ่านกระทบพื้นวูบหนึ่ง “เป็นจริงดั่งคาด ร่องรอยเปิดเผยแล้ว”
มันทำเป็นเลิกหาของ และรีบกลับไปยังที่พักทันที เพื่อความปลอดภัยของตนเอง มันยังไม่แน่ใจว่า “ผู้วิเศษล่องหน”นี้มีฝีมือสักเพียงไร และเป็นพวกไหน จึงยังไม่อยากเสี่ยงเปิดโปงความลับนี้ออกไป
“เจ้านี่อาจจะเป็นพวกของเล่าปี่ จึงมาปรากฏในศึกกุนจิ๋วและในงานเลี้ยงครั้งนี้ หากเป็นพวกเรา มันย่อมปรากฏกายให้เห็นได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบซ่อนกายเช่นนี้ ตอนนี้ เราพบจุดอ่อนของมันแล้ว ตราบใดที่ไม่เปิดโปงให้มันรู้ตัว มันก็คงยังไม่ทำอะไรออกมา” โจโฉครุ่นคิดปะติดปะต่อกัน “ต่อไปต้องเพิ่มแสงไฟในที่พักให้มากขึ้น พกกระบี่ติดตัว และให้องครักษ์เคาทู ซุ่มซ่อนอยู่ข้างกายตลอดเวลาแล้ว”
นับจากนั้น ภารกิจองครักษ์ของเคาทูจึงแปรเปลี่ยนไปจากปกติ ตัวมันที่ร่างท้วมใหญ่ แต่วิชาตัวเบาล้ำเลิศ จำเป็นต้องซุ่มซ่อนอยู่ตามเพดาน หรือขื่อหลังคา จ้องมองเฝ้าระวังให้กับเจ้านายจากมุมลับตาผู้คน ราวกับว่า อาจจะมีนักฆ่าอื่นใดมาช่วงชิงลงมือกลางที่สาธารณะต่อหน้าผู้คนได้
ที่แท้ ความหวาดระแวงอย่างรุนแรงของจอมคนอย่างโจโฉ มีจุดเริ่มต้นเช่นนี้นี่เอง และเป็นสิ่งที่ตอกย้ำทำให้ระมัดระวังตัวตลอดเวลาด้วยความตึงเครียด จนโรคปวดหัว ที่เป็นอยู่ก่อนนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
…
เจ้าของบทสนทนาลึกลับช่วงต้นนั้น ย่อมเป็นผู้เฒ่ากระเรียนกับอีกาที่หายตัวแฝงกายเข้ามาสร้างฟ้าผ่ากลางงานเลี้ยงตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั่นเอง
พอทั้งสองออกมาพ้นจากเรือนที่พักของโจโฉ และหลบเข้าตรอกซอยที่ปราศจากผู้คนรอบข้างแล้ว ค่อยคืนร่างกลับสู่สภาพปกติ เป็นนักพรตพเนจรกับลูกศิษย์สูงวัยเดินปะปนผู้คนออกไปทางนอกเมือง คนเมืองหลวงอาจจะไม่รู้จักคุ้นหน้าคนทั้งสอง หากแต่ถ้าเป็นคนเมืองต๋องง่อ อาจจะตกอกตกใจไม่น้อยที่เห็นผู้วิเศษอิเกียด คนดังแดนใต้ออกมาเดินอยู่แถวเมืองหลวงฮูโต๋เช่นนี้
“น้องเก้าปลอดภัยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้น พวกเราแวะไปเยี่ยมนกฮูกที่เมืองอ้วนเซียกันก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับสู่แดนใต้ อีกไม่นาน เราอาจต้องอาศัยตัวยาสำคัญจากน้องสี่สักจำนวนหนึ่ง จัดการกับเมืองต๋องง่อ เหมือนอย่างที่เคยใช้กับเมืองเตียงอันครั้งก่อนนั้น” เสียงนักพรตพูดให้พอได้ยินกันสองคนก่อนหายลับไปกับฝูงชน
สรรพเสียงในท้องถนนคนเดินนั้นเซ็งแซ่อื้ออึง แต่สำหรับคนที่จงใจเงี่ยหูฟังข้อความมาโดยตลอดอย่างพ่อบ้านใหญ่เทียลิดกลับได้ยินทุกคำพูด มันแอบสังเกตพบความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองตั้งแต่ภายในสวนหลังบ้าน หลังจากที่โจโฉแสร้งทำมึนเมาแล้ว จึงสะกดรอยตามมาอย่างเงียบงัน ชั้นเชิงในการปะปนผู้คนของมันนับว่า แนบเนียนไร้พิรุธแม้แต่น้อย
เพียงแต่ข้อมูลที่มันได้ยินมาเช่นนี้ สมควรจะถ่ายทอดกับนายใหญ่โจโฉโดยตรง หรือส่งต่อให้สหายรุ่นน้อง กุยแก กุนซืออมโรค วิเคราะห์ให้ฟังก่อน จะดีกว่าหนอ เพราะเรื่องราวอาจจะใหญ่โตเกินกว่าตัวมันคนเดียวจะแบกรับไหวเสียแล้ว
…
เบาะแสจากลูกเกาทัณฑ์สลักชื่อ “ฮองตง” ทำให้จูกัดกุ๋ยปักใจเชื่อว่า ผู้บงการที่หวังลอบสังหารเล่าเปียว คือ เล่าเอี๋ยน ด้วยสาเหตุที่ต้องการกำจัดรัชทายาทตามสาแหรกประจำราชวงศ์ เลื่อนอันดับให้กับตนเอง
เบื้องต้น เภาก้วยยังไม่ใคร่เชื่อถือนัก หากแต่ต่อมา เมื่อถึงรอบการประชุม เล่าเอี๋ยนกลับขออนุญาตนำกำลังพลมามากกว่าปกติ โดยอ้างว่า จะไปเที่ยวล่าสัตว์กลบเกลื่อน กลับตอกย้ำให้เป็นที่น่าสงสัยมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย เภาก้วย เล่าเปียว และเภาเจ๋ง จึงตัดสินใจใช้การประชุมดังกล่าว พิสูจน์ความจริงใจของผู้ต้องสงสัย และลอบเตรียมการวางกับดักเอาไว้ถึงขั้นที่สังหารผู้คนสำคัญเป็นการปิดปากเสียแล้ว
…
ณ วัดป่าน้อยที่สอง หลวงจีนผู้ซ่อนกาย เภาก้วย หรือ “พี่ใหญ่” กับ จูกัดกุ๋ย น้องร่วมสาบาน และสองเชื้อพระวงศ์ เล่าเปียว เล่าเอื๋ยน รวมทั้ง เจ้าอาวาสเภาเจ๋ง ล้วนนั่งปรึกษากันในห้องโถงใหญ่
ภายนอกอารามใหญ่ที่ปกติ ไม่มีผู้คนมากมายนัก ครั้งนี้ กลับรายล้อมด้วยกองทหารเสฉวน เกงจิ๋ว และหลวงจีนองครักษ์ประจำวัด แยกออกเป็นสามกองใหญ่ คล้ายเฝ้าระวังการก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่
ยังดีที่วัดป่าน้อยที่สองอยู่บนภูเขารกร้างว่างเปล่า ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรมากนัก การวางกำลังพลมากมายกลับไม่ใคร่เป็นที่รับรู้มากนัก อีกทั้ง เจ้าเมืองเองก็ส่งสัญญาณบอกกล่าวกันภายในให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกไปตรวจตราที่อื่น
จากที่สืบทราบ จูกัดกุ๋ย ซึ่งคาดว่าเป็นน้องสามตามที่เคยเรียกขานกัน คือน้องร่วมสาบานกับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่เดิมนั้นก็คือ สี่วิญญูชนเมืองหลวงที่เคยมีบทบาทสำคัญทางการเมือง ดังนั้น เมื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน เภาก้วยย่อมมีฐานันดรศักดิ์เดิมเป็นเชื้อพระวงศ์นาม เล่าหัว แล้วกระมัง
ในอดีต เล่าหัวล่วงเกินเบื้องสูง ถูกกษัตริย์ฮวนเต้ลงทัณฑ์ตัดเอ็นมือเอ็นเท้า นับเป็นการลงโทษรุนแรง และอำมหิตยิ่งนัก หากมันจะโกรธแค้นต่อราชบัลลังก์สืบทอด คิดก่อการขบถต่อแผ่นดิน ก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก
…
เภาก้วยในฐานะผู้นำสูงสุด กล่าวเริ่มต้น “ตัวข้าเล่าหัว และญาติผู้น้องทั้งสาม อันได้แก่ เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน เล่าฉวน ในอดีตถูกเล่าจื้อ-ฮวนเต้ทำร้ายสาหัสนัก เพียงเพื่อเปิดทางให้เล่าหง-เลนเต้ได้ตำแหน่งฮ่องเต้ จึงได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการฟ้าดิน หมายตัดตอนความเหลวแหลกของราชวงศ์ฮั่นให้กลับสู่ความสงบสุข”
จูกัดกุ๋ยในชุดบัณฑิตลายพร้อย รับช่วงกล่าวต่อ “แต่แล้ว เกิดเหตุการณ์แทรกซ้อน ท่านเล่าฉวน เล่าหงี เล่าเปียวล้วนถูกลอบสังหารในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน คล้ายว่า ต้องการเจาะจงสังหารทายาทตามสาแหรกราชวงศ์ รวมทั้งครั้งล่าสุด มีหลักฐานเบาะแสเป็นลูกเกาทัณฑ์สลักชื่อนักฆ่า ทำให้เชื่อได้ว่า ตัวบงการอาจจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็คือ ตัวท่าน เล่าเอี๋ยน”
พลัน น้ำเสียงของจูกัดกุ๋ยกลับเปลื่ยนไป “แต่น่าเสียดายที่ท่านเล่าหัวมิเชื่อถือ แอบนัดแนะให้ท่านเล่าเปียว เล่าเอี๋ยน นำกองกำลังมาสมทบ ย่อมแสดงถึงความคิดหมายกำจัดผู้คน เราจึงได้แต่ต้องลงมือให้ถึงที่สุดในคราวเดียว” กล่าวจบคำ สร้างบรรยากาศตึงเครียดกดดัน ทำให้ทุกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะเล่าเอี๋ยน ถึงกับทำจอกน้ำชาหลุดร่วงจากมือ แตกกระจายบนพื้นเสียงดังสดใส
พลันเกิดเสียงเคลื่อนไหวต่อสู้กันทางด้านนอกพึ่บพั่บช้งเช้งครู่ใหญ่ และแล้ว เป็นขุนพลชัวมอก้าวเข้ามารายงาน “ตัวการ เล่าเฉีย เล่าเตีย เล่ามอ ล้วนตายในที่รบ ฝ่ายตรงข้ามไม่มีใครหลงรอดชีวิตขอรับ ท่านจูกัด”
เล่าเปียวพลันกระจ่าง ชัวมอเป็นคนที่จูกัดกุ๋ยแนะนำมาตั้งแต่ต้น การปรากฏตัวเลือกข้างเพื่อช่วยเหลือเจ้านาย จึงมิได้เกินความคาดหมายนัก ราชนิกูลแซ่เล่าทั้งสามหันมาสบตากัน พวกเล่าเฉียทั้งสามคือลูกชายฝีมือดีของเล่าเอี๋ยน ตามแผนการ เมื่อได้ยินเสียงจอกสุราเป็นสัญญาณ กลุ่มเล่าเฉียแห่งเสฉวน ชัวมอแห่งเกงจิ๋ว และหลวงจีนองครักษ์แห่งวัดป่าน้อยจะตรงเข้ามาจับกุมตัวการใหญ่ ซึ่งก็คือ จูกัดกุ๋ย แต่คาดไม่ถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะชิงวางหมากจารชนไว้ล่วงหน้า จึงได้แต่คาดหวังว่า เจ้าอาวาสเภาเจ๋ง ผู้ที่มีฝีมือสูงสุดที่ยืนอยู่ด้านหลัง จะลงมือแล้ว
แต่แล้ว เล่าเอี๋ยนที่มีปัญญาเป็นเลิศในกลุ่มรัชทายาท พลันฉุกคิดขึ้น “ผิดท่าแล้ว” แต่มิทันการ เภาเจ๋งพลันลงมือจี้จุดสยบเล่าเปียว เล่าเอี๋ยน เอาไว้ ส่วนเภาก้วย-เล่าหัว เป็นเพียงคนพิการไร้เรี่ยวแรงต้านอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงมือเพิ่มเติมอีก
“พวกท่านคาดเดามาถูกทางแล้วก็จริง แต่ยังคิดไม่ถ้วนถี่โดยตลอด ลำดับสาแหรกราชวงศ์ยังมีตัวเรา เล่าฉวน ด้วยอีกคนหนึ่ง มิใช่หรือ” สมณะเภาเจ๋ง ถึงกับเป็น เล่าฉวน ท่านสามที่ร่ำลือกันว่าตกเหวสิ้นชีพไปแล้วนั่นเอง
เล่าเอี๋ยนพลันถอนหายใจ “ที่แท้ เป็นเจ้าที่ร่วมมือกันกับจูกัดกุ๋ยมาโดยตลอด แสร้งทำเป็นถูกลอบสังหารเป็นคนแรก แต่ก็เพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรความสงสัย ออกมายืนข้างกระดาน สั่งการสังหารผู้คนได้ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขบวนการฟ้าดินล้วนเป็นตัวข้าที่ผลักดันให้เกิดขึ้น อาศัยรั้งรอลำดับสาแหรกราชวงศ์ เล่าฉวนต้องรอคอยทั้งเล่าหัว เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน ถึงสามคน ยังมีภายหลัง เล่าหง เล่าหงี ยังถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาทดแทน อีกทั้ง พอเปลี่ยนมือแต่ละครั้ง ยังต้องลงลึกไปที่ลูกหลานสายตรงเสียอีกทอดหนึ่ง เราจึงได้แต่ปรึกษากับกุนซือจูกัด หาทางลัดเข้าสู่บัลลังก์ให้กับตัวเองบ้าง” หลวงจีนเภาเจ๋ง-เล่าฉวนคล้ายอึดอัดใจมานาน ได้โอกาสระบายความในใจออกมาสักที
บัณฑิตจูกัดกุ๋ยโบกพัดขนนก ไม่กล่าวแทรกความใดๆ กลับเป็นหลวงจีนหัวหน้าองครักษ์สองคนเดินก้าวเข้ามาร่วมวงด้วย พอพวกเล่าหัวมองเห็นใบหน้าถนัดชัดเจน ทำให้ตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ใช่แล้ว พวกมันปกปิดฐานะ ยอมเข้ามาเป็นขุนพลใต้ร่มธงของเราเอง มันจะกลายเป็นผู้ฝึกสอนกองทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ เพื่อล้างมลทินแก้ไขชื่อเสียง และรอวันลงมือพลิกฟ้าถล่มแดนดินในวันหน้า” เภาเจ๋งเฉลย “อันที่จริง เราไม่ต้องการลงมือทำร้ายพวกท่านทั้งสาม หากแต่ต้องการอาศัยพวกท่านช่วยเหลือสนับสนุนขุมกำลังลับแห่งนี้ไปเรื่อยๆ แต่ในเมื่อพวกท่านดันเกิดสงสัยในตัวจูกัดกุ๋ย จนถึงขั้นคิดหมายกำจัดให้สิ้นซาก เราจึงได้แต่ต้องปรับเปลี่ยนแผนการไปบ้าง”
จูกัดกุ๋ยที่สงบนิ่งมานาน ค่อยกล่าวบ้าง “ในกลุ่มสี่วิญญูชน พี่รอง น้องสี่ และคนอื่นๆในขบวนการ ล้วนจงรักภักดีต่อพี่ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ท่านจึงยังมิอาจตกตายกระทันหัน จำต้องอยู่เป็นประมุขหุ่นเชิดให้กับพวกเราต่อไป เราจึงได้แต่ต้องทำให้ท่านที่พิการมือเท้าอยู่แล้ว ให้กลายเป็นคนอัมพาตหนักข้อยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่อาจขยับเยื้อน หรือ กล่าววาจาใดๆได้อีก คนทั้งสองไม่ทันหวาดระแวงในตัวเรากับท่านสาม ย่อมไม่ทันฉุกคิดสงสัยอันใด และระยะหลังมานี้ ท่านเองก็ทำตัวประหลาดพิกล พึงพอใจอยู่แต่ด้านหลังม่านบังตาอยู่แล้ว”
ดังนั้น หลายวันต่อมา รถม้าของหลวงจีนเภาก้วยที่กำลังเดินทางกลับสู่วัดม้าขาว จึงประสพอุบัติเหตุพลิกคว่ำไม่คาดฝัน แม้ท่านสมณะคนดังจะรอดชีวิต แต่ก็กลายเป็นคนพิการซ้ำซ้อนที่ไม่อาจพูดจา หรือขยับเขยื้อนแม้สักนิด ทำให้วงการสงฆ์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ยกตำแหน่งประมุขสายพุทธให้กับศิษย์น้องเภาเจ๋งแห่งวัดป่าน้อยแทน และปรับเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดม้าขาวให้กับลูกศิษย์รุ่นถัดไป เพื่อลดทอนภาระให้กับท่านเภาก้วยผู้พิการอาภัพ
…
“สำหรับท่านต้น เล่าเปียว ตัวท่านยังเป็นหลักประกันในการควบคุมขุมกำลังเกงจิ๋ว ชัวมอจะนำพาตัวท่านกลับไปพักผ่อน ราวกับคนที่มีชีวิตปกติสักพักหนึ่ง แล้วค่อยปล่อยข่าวว่า ท่านเกิดเจ็บป่วยเรื้อรัง จนประสาทเลอะเลือน ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนไม่อาจดูแลการงานได้อีก จึงมอบหมายให้สองพี่น้องสกุลชัวจัดการแทน จนกว่า เล่าจ๋อง ทายาทสืบสกุลจะสามารถขึ้นมาครองเมืองเกงจิ๋วได้เอง อ้อ แน่นอนว่า เล่ากี๋ ลูกคนโต ก็จะถูกวางยาให้อยู่นอกเส้นทางการเมือง ไม่อาจมีบทบาทใดๆได้อีก”
เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว เชื้อพระวงศ์คนดังที่มีน้ำใจกว้างขวาง จึงเป็นได้แต่ผู้นำหุ่นเชิด เปิดประตูกว้างต้อนรับบัณฑิตนักสู้ทั่วแผ่นดิน แต่ไม่อาจเก็บตัวผู้คนไว้ใช้สอยได้สักคน คล้ายเป็นเพียงไม้ประดับทางการเมืองไปตลอดกาล
…
“สุดท้าย ท่านรอง เล่าเอี๋ยน ตัวท่านก็เป็นหลักประกันในการควบคุมขุมกำลังเสฉวนเช่นกัน หากแต่พวกเล่าเฉียล้วนตกตายกันสิ้น ท่านจึงไม่สมควรอยู่รอด ปล่อยให้เล่าเจี้ยงเด็กน้อยขึ้นมาเป็นผู้นำแทน มันเองยังด้อยประสบการณ์ ย่อมถูกพวกเราชักจูงได้โดยง่าย เราคงต้องหาแพะรับบาปขึ้นมาสักกลุ่มกองหนึ่งแล้ว”
เหตุการณ์คดีสะเทือนขวัญจึงเกิดขึ้น ร่ำลือกันว่า เจ้าเมืองเล่าเอี๋ยนกับลูกทั้งสาม พร้อมกองทัพติดตาม ลอบออกมาเที่ยวเล่นล่าสัตว์แถบเขตแดนเตียงอัน-ฮันต๋ง ผ่านหุบเขาจื่อหวู่ พลันถูกโจรโพกผ้าเหลืองลงมือปล้นสังหาร ทำให้สถานที่เกิดเหตุถูกเปลี่ียนชื่อเรียกเป็นหุบเขามรณะไปแล้ว
ทายาทคนสุดท้าย เล่าเจี้ยง พอจะล่วงรู้เงื่อนงำเบาะแสอยู่บ้างว่า พวกเล่าเอี๋ยนออกไปทำภารกิจอันใด จึงได้แต่สอบถามความเป็นจริงมายังญาติอาวุโส เล่าเปียวและเภาเจ๋ง-เล่าฉวน
หากแต่ทั้งสองล้วนตอบหนังสือกลับไปตรงกันว่า ท่านผู้นำตรวจสอบพบแล้ว คนทั้งสี่มีความผิดฐานสมคบกัน มุ่งหวังลอบสังหารพี่น้องร่วมสกุลหลายคน จึงต้องโทษตายทั้งสาแหรกตระกูล แต่ยังให้ความเมตตา ยินยอมไม่สืบสาวเอาความผิด และละเว้นเล่าเจี้ยงไว้เป็นทายาทสืบสกุลครองเมืองเสฉวนได้ต่อไป
เมื่อเล่าเจี้ยงมีชนักติดหลัง รับรู้ว่า บิดาและพี่ชายเป็นขบถแห่งแผ่นดิน จึงยอมรับสภาพ กลายเป็นเจ้าเมืองเสฉวนแทนเล่าเอี๋ยน และทำได้แค่รักษาเมืองสะสมกำลังพลตามที่ได้รับคำสั่งจากขบวนการฟ้าดินต่อไป
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 1 - มัจฉากลางวารี
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย