9 ก.พ. 2021 เวลา 01:00 • ปรัชญา
Own Your Breath: วีเจ ผู้หันเหชีวิตมาเป็นครูสอนโยคะ
ครูโยคะหลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เคยมีวันไหนตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากสอนโยคะ แต่ ฐิตวินน์ คำเจริญ หรือ "วีเจปาล์ม" แห่งแชนเนลวี ไทยแลนด์ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นครูปาล์มแล้ว บอกกับเราว่าช่วงเวลาที่ไม่อยากสอนโยคะมีอยู่แทบทุกวัน
“ไม่รู้ว่าเพราะมีโซเชียลมีเดียที่เราเข้าไปเห็นแล้วมันรบกวนจิตใจหรือเปล่า มันจะมีพวกรูป คลิป หรือคำอะไรก็แล้วแต่ ที่คนซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นครูสอนโยคะลง พอเราอ่านแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ พออ่านคอมเม้นต์แล้วเห็นว่ามีคนเชิดชู มันทำให้เรารู้สึกสงสัยว่า แล้วเราจะเป็นคนหนึ่งที่ไปสวนกระแสเขาเหรอ มันก็หดหู่ แล้วถ้าสมมติว่าเราเพิ่งเห็นสิ่งนั้น พอไปสอนแล้วนักเรียนไปเห็นสิ่งนั้นมา แล้วมาบอกเราว่าครูทำอย่างนั้นสิ ความรู้สึกของเราเหมือนกับมันพังทลาย แล้วเราต้องค่อยๆเก็บเศษที่มันพังทลายลงมา ซึ่งไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่เราคิดถูก มันไม่มีอะไรผิดถูก แต่มันน่าจะมีอะไรที่เหมาะสมกับคนที่ฝึกมากกว่า เป็นคนค่อนข้างหัวโบราณในเรื่องของโยคะ เพราะเราถูกสอนมาว่า ลองมองลึกเข้าไปในท่าหนึ่งท่า มันไม่ใช่แค่การถ่ายรูปแล้วลงโคว้ทคำพูดสวยๆ ซึ่งกระแสสังคมโลกมันกำลังเป็นอย่างนั้น และถ้าใครไม่ทำ ก็จะไม่มีคนรู้จัก ไม่มีใครมาเรียนด้วย”
การเริ่มต้นบนเส้นทางโยคะของครูปาล์มค่อนข้างจะต่างจากคนอื่น เพราะแรงบันดาลใจในการฝึกโยคะของเขามาจาก “มาดอนน่า” ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ cliche ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน โยคะในบ้านเราไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ด้วยความที่เป็นวีเจ เขาเลยได้เห็นไลฟ์สไตล์ของศิลปินต่างประเทศหลายคนที่ฝึกโยคะ โยคะสำหรับเขาในตอนนั้นจึงเป็นแค่ท่าโพสเท่ๆของมาดอนน่าในคอนเสิร์ต ซึ่งจุดเริ่มจากตรงนี้ทำให้วีเจปาล์มในตอนนั้นเริ่มฝึกโยคะ แรกๆก็อยากจะบินได้อย่างใครๆเขา สุดท้ายก็กลายเป็นบาดเจ็บ ต้องหยุดฝึกไปช่วงหนึ่งเพื่อทำกายภาพบำบัด ก่อนที่จะกลับมาพร้อมมุมมองใหม่ที่มีต่อโยคะ “คราวนี้มันเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ของเราเลย มันมีมายด์เซ็ตใหม่ๆที่ทำให้เราได้ทบทวน หยุดคิด และตัดสินใจกับมันมากขึ้น ทำให้เราได้ฝึกในแง่มุมอื่นๆมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าฝึกโยคะต้องทำท่ายากอย่างเดียว แต่เราได้ศึกษาอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น สองปีแรกเราไม่ได้ค้นคว้าเลยว่าจริงๆแล้วโยคะคืออะไร ก็แค่ฝึกตามศิลปิน หาโรงเรียน ฝึกตามครู แล้วก็เชื่อครูทุกอย่าง ตอนหลังถึงได้มารู้ว่าจริงๆแล้วร่างกายของเราคืออะไร และฝึกไปเพื่ออะไร”
ความที่เคยบาดเจ็บมาก่อนนี่เอง ที่เป็นเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจเปลี่ยนจากนักเรียนมาเป็นครู เพราะตัวเองไม่เคยเจอครูคนไหนที่ให้ความสำคัญกับนักเรียนเป็นคนๆ ตามสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาด้วยลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน รวมไปถึงการเอาโยคะเข้าไปจัดการกับจิตใจของมนุษย์แต่ละคน “เราอาจจะไปผิดที่ก็ได้ หรือยังไม่เจอ ก็เลยลองดูว่าเราอาจจะทำได้ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สอนมาเจ็ดปีแล้ว”
1
ฐิตวินน์ คำเจริญ อดีตวีเจ แชนเนลวี ไทยแลนด์ ปัจจุบันเป็นดีเจรายการวิทยุควบคู่กับการสอนโยคะ
ถ้าถามถึงความแตกต่างระหว่างการเป็นครูกับนักเรียนแล้ว ครูปาล์มบอกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาว่า “การเป็นครูมันมีความแฮปปี้มากกว่าไม่แฮปปี้ แต่ไม่ใช่ว่าแฮปปี้จังเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เอาตรงๆแล้วชอบเป็นนักเรียนมากกว่า เดินเข้าไปไม่ต้องคิดอะไรเลย แบลงค์ๆ ไทร่าแบลงค์เข้าไปเลย ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร แต่พอเป็นครูแล้ว เราต้องเตรียม ต้องใส่ใจ ต้องรับผิดชอบชีวิตของมนุษย์ ต้องละเอียดในสิ่งที่เราสอนไป”
1
จากภาพจำของวีเจขี้เล่น เฮฮา เมื่อสิบกว่าปีก่อน วันนี้ครูปาล์มดูนิ่งขึ้น แม้จะยังคงเหลือวี่แววของความแก่นเซี้ยวอยู่หน่อยๆก็ตาม
“มันมีบุคลิกภาพบางอย่างซึ่งน่าจะเกิดจากสิ่งที่โยคะเข้าไปทำกับข้างในของเรา เช่น เราจะนิ่งมากขึ้น คิดมากขึ้น มีสมาธิกับหลายๆอย่างมากขึ้น สงบมากขึ้น เมื่อหลายปีก่อนจะตั้งคำถามกับเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ว่าจะประสบความสำเร็จด้านไหนบ้าง หน้าที่การงานจะเป็นอย่างไร จะต้องมีเงินเท่าไหร่ แล้วอีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้คำถามเหล่านั้นมันค่อยๆกลืนหายไป อีโก้ก็ลดลง”
“เราฝึกโยคะแบบที่รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งบางอย่างมันก็สวนทางกับกระแสนิยม กับคนที่ประสบความสำเร็จในการเปิดสตูดิโอโยคะแล้วมีเงิน หรือคนที่ชอบถ่ายรูปตามโซเชียลแล้วนักเรียนเห็น นักเรียนตามเยอะ ซึ่งเราไปอีกทางหนึ่ง แต่มันได้ความสงบในจิตใจมากกว่า”
แม้ภาพมายาในโซเชียลจะรบกวนจิตใจจนถึงขั้นทำให้ความรู้สึกของเขาพังทลายลงในบางครั้ง แต่ครูปาล์มก็ค่อยๆกอบเก็บเศษเสี้ยวที่พังทลายเหล่านั้นมาประกอบขึ้นใหม่ ด้วยความมุ่งมั่นที่ยังมีอยู่เต็มหัวใจ “ก็ต้องอดทน ทุกวันนี้ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เราจะให้นักเรียนคืออะไร จะบอกนักเรียนที่มาเรียนครู และบอกเพื่อนๆที่เป็นครูโยคะหลายคนว่า ก่อนที่จะเดินเข้าไปสอนต้องคิดไว้แล้วว่าอยากสอนให้นักเรียนได้อะไร จะไม่มีวันแบลงค์เข้าไปสอน และมั่นใจว่าสิ่งนั้นมันควรและมันใช่สำหรับนักเรียนแต่ละคน เขาจะต้องได้อะไรกลับบ้านไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย กล้ามเนื้อ หรือหัวใจข้างใน”
ติดตามอ่านเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้ที่เว็บไซต์ของเรา https://read-alive.co/
โฆษณา