Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Play Now Thailand
•
ติดตาม
10 ก.พ. 2021 เวลา 03:00 • กีฬา
Football Maverick
“ร็อดนีย์ มาร์ช” เปเล่ผิวขาว เพื่อนซี้ จอร์จ เบสต์
โดย Ploy Honisz
ฤดูกาล 1976-77 ชีวิตของ จอร์จ เบสต์ และ ร็อดนีย์ มาร์ช มาบรรจบกันที่ฟูแลม ในสนามทั้งคู่อาจจะเคยเจอหน้ากันบ้างในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ คนหนึ่งใส่เสื้อสีแดง ส่วนอีกคนใส่เสื้อสีฟ้า เส้นทางนักฟุตบอลพาทั้งคู่พเนจรข้ามมหาสมุทรไปเล่นที่สหรัฐอเมริกา แต่สุดท้ายก็มาอยู่ทีมเดียวกันที่คราเวน คอตเทต แม้จะแค่ฤดูกาลเดียวก็ตาม
แม้ว่าจะเคยเป็นอริในสนามบอล เพราะเล่นให้ทีมจากแมนเชสเตอร์คนละทีม แต่เบสต์กับมาร์ชกลับเป็นเพื่อนรักกันนอกสนาม ทั้งสองคนมีนิสัยใกล้เคียงกัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน เที่ยวด้วยกัน มาร์ชกับเบสต์ชอบดื่มเหล้าด้วยกัน ในวงเหล้าทั้งคู่คิดกันว่าโลกจะจดจำพวกเขาแบบไหน มาร์ชเล่าว่า “เบสต์ชอบพูดกับผมว่า ลืมบรรดาพวกนางงามจักรวาลทั้งหลาย และเรื่องงี่เง่าต่างๆ ไปให้หมด เขาอยากจะเป็นที่จดจำในฐานะนักฟุตบอลที่ดีที่สุดที่เคยมี”
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2005 ในช่วงเวลาสุดท้ายของ จอร์จ เบสต์ เช้าวันนั้นมาร์ชในวัย 61 ปีไปเยี่ยมเพื่อนรักที่โรงพยาบาล “ผมตื่นขึ้นมาและรู้สึกว่าผมอยากจะเจอเขา เขาอยู่ในอาการโคม่า ผมจับมือเขา และกระซิบข้างหูว่านายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เคยมีมา” แล้วมาร์ชก็บอกลาเพื่อนรักของเขาในวันนั้น
ชีวิตของ ร็อดนีย์ มาร์ช เต็มไปด้วยสีสัน เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับฟูแลม ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวย จนกระทั่งในเดือนกันยายน 1963 การปะทะกับผู้เล่นของเลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้มาร์ชกรามหักและบาดเจ็บที่กะโหลก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หูข้างซ้ายของเขาสูญเสียการได้ยินไปอย่างถาวร ต้องเรียนรู้การเดินอีกครั้ง ทรงตัวไม่ได้ตอนยืน และแพทย์บอกว่าเขาจะเล่นฟุตบอลไม่ได้อีก
หลังจากพักรักษาตัวกว่า 10 เดือน มาร์ชกลับมาลงสนามอีกครั้งในฤดูกาล 1964-65 และกลายเป็นดาวซัลโวของฟูแลม ทำได้ 17 ประตู แต่ชีวิตก็พลิกผันอีกครั้ง เมื่อฟูแลมเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น วิก บัคกิงแฮม ซึ่งไม่ลงรอยกับมาร์ชเท่าไรนัก นายใหญ่คนใหม่ของคราเวน คอตเทต เคยพูดกับมาร์ชว่า “ถ้านายจะเล่นฟุตบอลแบบนั้น ฉันก็น่าจะไปที่คณะละครสัตว์และเซ็นสัญญากับตัวตลกมันซะเลย” ซึ่งกองหน้าหัวขบถก็ตอบกลับไปว่า “คุณไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ เรามีอยู่ในทีมเยอะแล้ว”
เมื่อไม่ได้รับโอกาส ในเดือนมีนาคม ปี 1966 มาร์ชเลยย้ายไปร่วมทีมควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส ด้วยค่าตัว 15,000 ปอนด์ นัดชิงชนะเลิศลีกคัพในปี 1972 มาร์ชเลี้ยงเดี่ยวเข้าไปยิงประตูสุดสวย พาทหารเสือราชินีคว้าแชมป์มาครองด้วยการเอาชนะเวสต์บรอมวิช อัลเบียนที่ตอนนั้นอยู่ในดิวิชันสูงกว่าได้สำเร็จ และนั่นเป็นแชมป์ถ้วยเดียวที่เขาทำได้ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ มาร์ชใช้เวลา 6 ปีอยู่ที่ QPR และทำได้ 106 ประตู ก่อนที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะมาเคาะประตู เดือนมีนาคม ปี 1972 เรือใบสีฟ้าซื้อตัวมาร์ชไปร่วมทีมด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของสโมสรในตอนนั้นที่ 200,000 ปอนด์
ตอนที่ย้ายไป เรือใบสีฟ้าอยู่หัวตารางทิ้งที่ 2 อยู่ 4 คะแนน แต่จบฤดูกาลด้วยการเป็นที่ 4 ซึ่งคนที่ตกเป็นจำเลยพาทีมชวดแชมป์คือ ร็อดนีย์ มาร์ช บรรดานักวิจารณ์เกมบอกว่า วิธีการเล่นแบบขบถ ข้ามาคนเดียว และหัวร้อนท้าต่อยตีของมาร์ชไม่เหมาะกับรูปแบบการเล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในตอนนั้น “มันก็จริงนะ” มาร์ชบอก
“ผมเปลี่ยนวิธีที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เล่นฟุตบอล ตอนที่ผมมาร่วมทีม พวกเขาเป็นเหมือนเครื่องจักรที่แล่นได้ดี ประสานงานกัน และมีการจัดการที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่พวกเขาไม่มีและผมเกลียดที่จะพูดก็คือ ความเป็นดารา และนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องนำเสนอ และผมก็ทำ แต่มันเปลี่ยนสิ่งที่ทีมเล่น พวกเขาเล่นเพื่อผม และพวกเราเสียโฟกัสในสิ่งที่กำลังพยายามทำ ผมยกมือขึ้นรับผิดชอบที่ทำให้ซิตี้ไม่ได้แชมป์ในปี 1972 ล่าสุดผมไปกินข้าวในเมืองแมนเชสเตอร์ และคำถามแรกที่ถูกถามคือ คุณทำให้แมนซิตี้ไม่ได้แชมป์ลีกหรือเปล่า ผมคิดนะว่าแฟนบอลครึ่งหนึ่งคงไม่ปลื้มผมเท่าไหร่นัก แต่อีกครึ่งคงยังรักผมอยู่” มาร์ชเล่า
ในสายตาแฟนบอลเรือใบสีฟ้า ร็อดนีย์ มาร์ช ยังเป็นตำนานของทีมอยู่เสมอ เสียงเพลง Oh Rodney Rodney ยังดังในหมู่แฟนบอลแมนซิตี้ หรือในหน้าปก Definitely Maybe อัลบั้มแรกของโอเอซิส วงดนตรีชื่อดังจากแมนเชสเตอร์ ในปี 1994 ก็มีภาพของ ร็อดนีย์ มาร์ช อยู่ที่หน้าปก รวมทั้งรูปของ จอร์จ เบสต์ ด้วยเช่นกัน ตอนที่มาร์ชย้ายมาแมนเชสเตอร์นี่เองที่เขาเริ่มต้นมิตรภาพกับปีกพ่อมดจากเบลฟาสต์ เพราะชอบตระเวนราตรี ดื่มสุรา และปาร์ตี้หนักด้วยกันทั้งคู่
หลังจากเบสต์ย้ายออกจากแมนยูไนเต็ดในปี 1974 มาร์ชยังอยู่ที่แมนซิตี้อีก 2 ปี จากนั้นก็เข้าอีหรอบเดิม มีปัญหากับ โทนี บุ๊ค ผู้จัดการทีมเรือใบสีฟ้าในตอนนั้น สุดท้ายเขาก็ย้ายออกจากแมนซิตี้ ข้ามมหาสมุทรไปค้าแข้งที่สหรัฐอเมริกากับแทมปา เบย์ โรว์ดีส์ “ผมแตกคอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และไปที่อเมริกาเพื่อจะเซ็นสัญญากับลอสแอนเจลิส แอซเทคส์ ทีมที่ เอลตัน จอห์น กำลังจะซื้อในตอนนั้น เขาอยากให้ผมและ จอร์จ เบสต์ อยู่ในทีมเดียวกัน เอลตันพาผมขึ้นเครื่องบินส่วนตัว ดูเขาเล่นคอนเสิร์ตในสนามกีฬา แต่แล้วก็มีโทรศัพท์มาถามว่าผมจะลองคุยกับแทมปา เบย์ไหม”
มาร์ชเล่าต่อว่า “ตอนที่ผมไปถึงแทมปา มีแฟนบอลมารอเป็นร้อย แม้ผมจะคิดว่าเป็นกองเชียร์ที่จ้างมาเพื่อทำให้ผมร้องว้าวก็ตาม ซึ่งมันก็ได้ผลนะ แถมมีนักข่าวถามผมว่า เราได้ยินว่าคุณคือเปเล่ผิวขาว ผมตอบไปว่า ไม่ใช่ เขา (เปเล่) เป็น ร็อดนีย์ มาร์ช ผิวดำ ต่างหาก”
แล้วเปเล่ผิวขาวก็เจอกับ ร็อดนีย์ มาร์ช ผิวดำ ในเกมที่แทมปา เบย์ เอาชนะ นิวยอร์ก คอสมอส 5-1 ประตู มีภาพของมาร์ชคุกเข่าอยู่ที่ลูกฟุตบอล มองไปที่เปเล่และพูดว่า มาเอาไปสิ มาร์ชเล่าว่าดาวเตะบราซิลไม่พอใจเท่าไรนัก “เขาวิ่งมาหาผม เอามือขยี้หัวผมและแหย่นิ้วโป้งเข้าไปในหูของผม แต่จริงๆ แล้วเกมนั้นมีความลับซ่อนอยู่ ตอนที่คอสมอสมาถึงแทมปา เราเตรียมผู้หญิงไว้ 2-3 คน พร้อมกับเหล้าหนึ่งขวดและรถลีมูซีนไว้รอเปเล่ และ จิออจิโอ ชินัคเลีย (กองหน้าอิตาลี) แล้วเราก็ไม่เห็นทั้งคู่อีกเลย จนถึงเวลาลงสนามในวันรุ่งขึ้น”
หลังจากอยู่กับแทมปา เบย์ 3 ปี มาร์ชกับเบสต์ก็ได้เล่นด้วยกันที่ฟูแลมจนได้ในปี 1976 ซึ่งเป็นมาร์ชที่รับหน้าที่กล่อมเพื่อนซี้ให้มาเล่นด้วยกัน ฟูแลมในตอนนั้นเป็นทีมที่เหล่าคนดังมักจะมาดู ทั้งเบสต์และมาร์ชก็มักจะใช้เวลาว่างท่องราตรีไปตามไนท์คลับในลอนดอน แม้จะติดปาร์ตี้ แต่ในสนามทั้งสองคนสร้างฤดูกาลที่น่าจดจำให้กับแฟนบอล ว่ากันว่าเหมือน จอร์จ เบสต์ เกิดใหม่อีกครั้งเมื่อเขาเล่นกับมาร์ชที่ฟูแลม “ผมอยากลงสนามและได้เล่นบอลแบบที่อยากเล่น ถ้าคนจะตัดสินผมในฐานะนักฟุตบอล นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการ” เบสต์เอ่ย
จอร์จ เบสต์ เสียชีวิตในวัย 59 ปี เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงเป็นเพื่อนสนิท ไม่ใช่ตัวเขาเองที่จากไป มาร์ชบอกว่า “คุณไม่เลือกที่จะเป็นคนติดเหล้าหรอก มันเป็นโรค แต่หลังจากวันที่ 4 กันยายน ปี 1979 ผมก็ไม่เคยเมาหัวราน้ำอีกเลย มันเป็นวันเกิด 10 ขวบของลูกสาวผม ผมปวดหลังและไปหาหมอ เขาถามว่าผมดื่มอะไรมาบ้าง ผมตอบว่าเยอะมาก หมอบอกผมว่าตับของคุณมีขนาดที่โตกว่าที่ควรเป็น 1.5 เท่า ถ้าคุณไม่หยุด คุณจะตาย ผมกลับบ้านในวันนั้น และโยนขวดเหล้าที่มีทั้งหมดลงถังขยะ กว่า 1 ปีที่ผมไม่ดื่มเลย ผมหมดความอยาก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมควบคุมตัวเองได้”
ทุกวันนี้ มาร์ชในวัย 76 ปีจัดรายการวิทยุชื่อ The Grumpy Pundits ยังมีแรงโต้เถียงกับ โจอี บาร์ตัน ผ่านทวิตเตอร์ เหตุเพราะบาร์ตันเรียกเขาว่า อดีตนักบอลสร่างเมาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและโผล่ขึ้นมาจากดิวิชัน 2 ซึ่งมาร์ชก็ตอบโต้ด้วยการโพสต์รูปของเขาในฐานะกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จับมือกับ โยฮัน ครัฟฟ์ ในชุดบาร์เซโลนาที่คัมป์นู
“เขา (บาร์ตัน) พยายามจะบอกว่าผมไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย” มาร์ชเอ่ย “ผมคิดว่า เดี๋ยวเหอะ ผมเลยโพสต์รูปนั้น และถามเขาว่าตอนที่ผมอายุเท่าคุณ ผมเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ลงแข่งกับบาร์เซโลนา และติดทีมชาติอังกฤษ แล้วนายล่ะทำอะไรอยู่”
ถ้า จอร์จ เบสต์ เพื่อนรักของเขาอยากให้โลกรู้จักในฐานะนักฟุตบอลที่ดีที่สุด แล้ว ร็อดนีย์ มาร์ช อยากให้แฟนบอลจดจำเขาแบบไหน “ผมเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ เล่นให้แมนซิตี้ ยิงประตูเป็นร้อยๆ ลูก เล่นบอลกับ จอร์จ เบสต์ และเปเล่ เล่นในอเมริกา คนมากมายมาบอกกับผมว่าผมคือดารา และที่เหลืออีก 21 คนในสนามเป็นแค่ตัวประกอบ นั่นฟังดูเย่อหยิ่งนะ แต่มันก็จริงอยู่ ผมคิดแบบนั้น ซึ่งผมคิดผิด ผมรู้แล้วในตอนนี้ แต่มันเป็นวิธีที่ผมเล่นฟุตบอล แค่คนมาบอกผมว่าตกหลุมรักฟุตบอลเพราะผม นั่นก็ดีมากแล้ว”
#แมนซิตี้ #แมนยู #จอร์จเบสต์ #FootballMaverick #ข่าวบอล #ผลฟุตบอล #ผลบอล #ฟุตบอล #Football #Soccer #PlayNowThailand #KhelNowThailand
1
อัพเดตข่าวสารกีฬา พร้อมมีของรางวัลพิเศษให้ร่วมสนุกกันเป็นประจำ
ร่วมไลค์ ร่วมแชร์ Play Now Thailand
ฝากติดตาม
https://www.youtube.com/c/KhelNowThailand
1 บันทึก
11
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Football Mavericks
1
11
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย