11 ก.พ. 2021 เวลา 01:00 • ปรัชญา
Own Your Breath: จากเลขานุการสู่ครูสอนโยคะ เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจพาไป สู่พัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“เริ่มจากฝึกโยคะร้อน พอเข้าไปก็เป็นลมค่ะ รู้สึกว่า โอ๊ย ทำไมมันยากจัง แล้วก็ไม่ฝึกเลย พอออกมาจากคลาสก็บอกกับตัวเองว่า ไม่ฝึกละ อะไรมันจะยากอย่างนี้ ทำไมฉันต้องเป็นลม แต่ผลที่ได้คือ อยู่ดีๆเหงื่อมันก็ออกเอง ก็รู้สึกสดชื่น สบายตัว ก็เลยทำให้ต้องกลับไปอีก และเริ่มฝึกต่อมาเรื่อยๆ” ธัญวรัตน์ หงษ์อ่อน หรือ ครูเอ๋ อดีตเลขานุการ ย้อนถึงประสบการณ์แรกที่ไม่ค่อยน่าประทับใจนักกับโยคะ
เธอเองก็เหมือนกับอีกหลายคนที่เริ่มฝึกโยคะเป็นการออกกำลังกาย แม้จะเริ่มต้นด้วยการเป็นลม แต่ก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนไปเข้าคลาสอัชทางก้าครั้งแรกนั่นแหละ ถึงเริ่มหลงรักโยคะมากขึ้น “รู้สึกประทับใจว่าทำไมมันดูแข็งแรง ดูเท่จัง มีการกระโดด มีการลอยตัว หลังจากนั้นก็เริ่มจริงจังกับการฝึกอัชทางก้า พอฝึกได้สักพักก็เลยไปเข้าคอร์สครู”
จนเมื่อวันหนึ่งบริษัทที่ทำงานอยู่เกิดภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน เธอก็เริ่มมองหาทางเลือกในสายอาชีพอื่น เมื่อเห็นเพื่อนๆในคลาสโยคะเขาเป็นครูกัน เธอจึงเริ่มทดลองสอนบ้าง “พอเริ่มรู้สึกว่าสอนได้ มีความมั่นใจ เราก็ไปหาเรียนเพิ่มเติม แล้วช่วงนั้นบริษัทก็ยังยืดเยื้อเรื่องการจ่ายเงิน เลยตัดสินใจว่าไปดีกว่า ให้คนที่เขาไม่มีทางเลือกอยู่ต่อ ให้บริษัทเอาเงินมาจ่ายให้คนที่เขาลำบากมากกว่าเราดีกว่า ก็ตัดสินใจลาออก แล้วออกมาสอนโยคะเต็มตัว ไม่ได้ทำอาชีพอื่นอีกเลย”
ธัญวรัตน์ หงษ์อ่อน (ครูเอ๋) อดีตเลขานุการ
ตลอดเวลาของการฝึกโยคะ 7 ปี และสอนโยคะ 3 ปี ของครูเอ๋ ร่างกายและความคิดต่างพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น “พอเราฝึกไปเรื่อยๆ มันเริ่มกระเทาะเปลือกข้างนอกของเราออก แล้วเข้าไปข้างในลึกขึ้นๆ จากเดิมที่รู้สึกแค่ความตึงข้างนอก ก็ค่อยๆคลาย ผิวหนังระดับลึกก็ค่อยๆคลายขึ้น จนเข้าไปข้างในใจ แล้วใจเราก็เย็นลง เข้าใจคนอื่นมากขึ้น โยคะนี่มันสอนนะคะ เวลาเราเห็นคนอื่นทำท่านี่มันดูง่าย แต่พอเราไปปูเสื่อฝึกเองนี่มันเห็นเลยว่าไม่ง่าย แล้วแต่ละคนที่ทำท่าออกไปมันไม่เหมือนกัน เพราะมันคนละร่าง มันเลยทำให้เราเข้าใจว่าคนที่เขาใช้ชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้มันคือเรื่องของเขา เราไปตัดสินเขาไม่ได้”
“เมื่อก่อนเวลาที่เราทำงาน เราต้องฟาดฟันกับอุปสรรคที่มันเข้ามาขัดขวางการทำงานของเราหลายๆอย่าง มีการขัดแย้งกับคนอื่นในบางครั้ง ต้องใช้ยุทธวิธีหลายอย่างเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง บางทีก็ลืมนึกไปว่าเราอาจจะทำให้คนอื่นเสียใจด้วยคำพูดหรือการกระทำ บางทีเราก็ต้องนอบน้อมถ่อมตนจนเกินไปเพื่อให้งานมันลุล่วง แต่พอมาเป็นครูสอนโยคะ เหมือนเรายืนอยู่บนความเป็นจริงว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ”
ในมุมมองของเธอ การเป็นครูสอนโยคะไม่ได้แตกต่างจากครูในแขนงอื่นๆ จริตของคนที่เป็นครู จะมีจรรยาบรรณ มีความใจเย็น และมีวิธีการจัดการอย่างเป็นลำดับขั้น “คนที่จะมาเป็นครูในทุกอาชีพต้องมีความใจเย็น มีกระบวนการ มีขั้นตอนในการจัดการ ถึงจะสามารถไปสอน ไปถ่ายทอด ไปบอกคนอื่นได้ ตอนที่เป็นนักเรียนเราก็มองโยคะเป็นการออกกำลังกาย พอมาเป็นครูแล้วเราจะเห็นว่าโยคะมันไม่ใช่แค่การออกท่าทาง โยคะมันคือวิถีชีวิต คือการจัดการการกิน การนอน วิธีการคิด และการใช้ชีวิต"
ติดตามอ่านเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ได้ที่เว็บไซต์ของเรา https://read-alive.co/
โฆษณา