Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
22 ก.พ. 2021 เวลา 23:17 • นิยาย เรื่องสั้น
2.5. ฝืนฟ้าท้าลิขิต
กวนอู ขุนพลสยบมังกร - สองสาวฝืนลิขิต กำฮูหยิน บิฮูหยิน
เนื่องจากโจโฉสำนึกบุญคุณที่ละเว้นชีวิตให้เมื่อครั้งศึกกุนจิ๋วและศึกลิโป้ อีกทั้งกวนอูแท้จริงก็เป็นเผิงเสียน สหายเก่าในวัยเยาว์ของตนด้วย กวนอูจึงได้รับการต้อนรับอย่างดีจากโจโฉ และเข้าสู่เมืองหลวงไปอย่างขุนพลชั้นเอกคนหนึ่งในกองทัพ พร้อมกับเปิดโอกาสให้ดูแลภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ได้อย่างใกล้ชิด
เมื่อถึงฮูโต๋เรียบร้อยแล้ว โจโฉยังทุ่มเทซื้อใจกวนอูอย่างเต็มที่ ไม่ต่างจากตั๋งโต๊ะที่ต้องการลิโป้ ด้วยการคืนง้าวมังกรเขียวและม้าเซ็กเทาให้ รวมถึงการเลื่อนยศให้เป็นระดับขุนพลใหญ่ มีเรือนรับรองส่วนตัวโอ่โถงสวยงามพร้อมข้าทาสบริวาร เป็นการส่งเสริมเกียรติยศ และทรัพย์สมบัติให้อย่างเปิดเผย เทียบเท่ากับพวกสี่เทวะที่เป็นเครือญาติเสียด้วยซ้ำ กวนอูซึ่งเคยยากลำบากมาโดยตลอดทั้งชีวิต จึงได้รู้จักความสุขสบาย และอำนาจวาสนาแบบขุนนางอย่างแท้จริง จนเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว
มีคำกล่าวว่า ปุถุชนหนีไม่พ้น "กิน กาม เกียรติ" ในเมื่อกวนอูผ่านชีวิตยากลำบากมาตลอดทั้งชีวิต ย่อมรู้ซึ้งถึงความขาดหายไปของสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี ช่วงเวลาที่มาพบกับเล่าปี่ เตียวหุย แม้ว่าจะมีความสุขสบายขึ้นมาก แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลานี้ นับว่า แตกต่างกันมากนัก หากแต่ยังมีพี่สะใภ้ทั้งสองคอยกระตุ้นเตือนให้ยั้งคิด และคอยติดตามข่าวจากพี่ใหญ่เล่าปี่อยู่เสมอ
…
ช่างโชคร้ายนัก เทียลิด พ่อบ้านใหญ่สกุลโจ กลับพบเห็นท่าทีความผิดปกติของขุนพลกวนอูที่มีต่ออาซ้อใหญ่ กำฮูหยินเข้าจนได้ สุดท้าย เมื่อประเมินสถานการณ์รอบด้านแล้ว จึงส่งต่อแผนลับอำมหิตให้กับกุยแก สหายสนิทอีกครั้งหนึ่ง
“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ครั้งนี้ ท่านกลับเลือกใช้มันเพื่อทำลายผู้คน เช่นนั้นหรือ” กุนซืออมโรคตวัดเสียงตำหนิเพื่อนผู้รู้ใจเล็กน้อย
เทียลิดกลอกตารอบหนึ่่ง พลางกล่าว “เจ้าไม่ต้องการใช้วิธีดังกล่าว เราก็ไม่อาจต่อว่าเจ้าได้ เพียงแต่กวนอูเข้มแข็งเกินไป มีแต่เรื่องนี้ที่เป็นจุดอ่อนให้โจมตีได้ และมีเพียงเรากับท่านที่ได้ล่วงรู้ความลับก่อนผู้อื่น”
กุยแกชั่งใจชั่ววูบ ค่อยอ่อนน้ำเสียงลงผลักอกหยอกล้อคู่สนทนาเบาๆ “กุนซือในเงามืดเอย ท่านช่างอำมหิตยิ่งนัก ข้ายอมใจท่านแล้ว ฮาฮาฮา”
…
หลายเดือนผ่านไป โจโฉยังคงพยายามต่อไปไม่หยุดยั้งด้วยการจัดเลี้ยงโต๊ะ ปรนเปรอทั้งสุรา นารี ให้กวนอูที่บ้านพักตนเองบ่อยครั้ง เพื่อสร้างความสนิทสนมคุ้นเคย กลับทำให้กวนอูมีโอกาสพบกับนางเปียนสี หรือเตียวเสี้ยนโดยบังเอิญ
กวนอูย่อมตกตะลึงโดยไม่อาจเก็บอาการไว้ได้ เพราะนึกว่าเตียวเสี้ยน ผู้เป็นภรรยาของลิโป้ ได้ตายไปแล้ว นางเปียนสีพอรู้สึกตัว จึงรีบหลบเข้าที่พักด้านในไป แต่ก็เพียงพอทำให้โจโฉพบจุดอ่อนด้านมืดของกวนอูแล้ว เป็นหญิงงามนี่เอง
ในอดีต ลิโป้เคยไปขออาศัยอยู่กับสามพี่น้องที่เมืองชีจิ๋ว แต่เขาก็ได้พาเตียวเสี้ยน เมียรักคนดังออกมาพบปะสามพี่น้องอยู่บ้าง ทำให้คนอื่นๆ รวมทั้งกวนอู ชื่นชมกับโฉมงาม เตียวเสี้ยนมาก่อน และอิจฉาลิโป้อยู่ไม่น้อย เมื่อลิโป้โดนฆ่าตาย นางเตียวเสี้ยนก็พลอยหายสาบสูญไปด้วย กวนอูจึงนึกไม่ถึงว่า เปียนสี ภรรยาโจโฉ คนนี้ถึงกับเป็นคนคนเดียวกันกับเตียวเสี้ยน ภรรยาลิโป้ ที่ตนเองเคยแอบชอบพออยู่
โจโฉจึงนำความมาปรึกษากับกุยแก กุนซือคนสนิท สอดคล้องกันกับความลับที่เทียลิดชี้แนะ กุยแกจึงเสนอแผนการชั่วร้ายด้วยการลอบวางยากระตุ้นกำหนัดให้กวนอู กับ กำฮูหยิน บิฮูหยิน สองภรรยาของเล่าปี่ จนเกิดความสัมพันธ์ลับขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แล้วให้โจโฉแสร้งทำเป็นพบเห็นเข้าโดยบังเอิญ
คนหยาบกร้านใจหาญอย่างกวนอูย่อมไม่กล้าเอ่ยปากเปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้กับใครอื่น แม้แต่เตียวเลี้ยว เพื่อนสนิท เพียงเข้าใจว่า ตนเองพลาดพลั้งเสียท่าไปชั่ววูบ และยอมให้แต่โจโฉกำความลับนี้ไว้เพียงคนเดียว มันจึงเชื่อมั่นว่า หมากลับนี้จะเป็นรอยร้าวที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของเล่าปี่-กวนอูต้องสิ้นสุดลงไปในที่สุด
แผนการสำเร็จลุล่วงโดยง่าย งานเลี้ยงถูกจัดฉากขึ้นในจวนที่พักส่วนตัวของโจโฉตามปกติ แล้วเหยื่อทั้งสามก็ติดกับดัก ถูกมอมเหล้าผสมตัวยาเซียนเมาก่อนให้ไม่อาจครองสติ ถูกประคองตัวไปในห้องนอนร่วมกัน แล้วค่อยจุดรมด้วยยากระตุ้นสวาทที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า
สุดท้าย กวนอูกับอดีตสาวสวยสกุลกำจึงพลาดท่าเสียทีให้กับตัวยาร้าย ปลดปล่อยอารมณ์ความคิดที่สะกดกลั้นเอาไว้เนิ่นนาน และพลอยทำให้เพื่อนสาวสกุลบิต้องติดร่างแหร่วมชะตากรรมไปด้วยอีกคนหนึ่ง
งานนี้ ต้องยกความร้ายกาจให้กุยแกอีกครั้งที่มีหมอฮัวโต๋เป็นหมอประจำตัว การร้องขอให้จัดหายากระตุ้นกำหนัดชั้นดีจึงผ่านเข้ามาถึงมือได้ไม่ยากเย็นนัก โดยหมอฮัวโต๋เองก็ไม่ล่วงรู้ว่า ใครเป็นเหยื่อของยาร้ายในครั้งนี้แม้แต่น้อย
เป็นความผิดพลาดที่หน่วยปักษาสวรรค์เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว
…
ยามเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เป็นกวนอูที่รู้สึกตัวก่อนสองสาว พบเห็นบาปรักที่ตนเองสร้างขึ้น เข้าใจว่าเป็นเพราะความเมาผสมผสานกับความเก็บกดส่วนตัว จึงไม่ได้เอะใจว่าเป็นกับดักกลลวง พอทบทวนเรื่องราวแล้ว จึงแต่งกายให้เรียบร้อย พร้อมตัดสินใจหยิบมีดสั้นขึ้นมา หมายปลิดชีวิตตนเอง สะสางปัญหาอื้อฉาว
มือน้อยบอบบางยื่นออกมาแตะขาของกวนอูเบาๆให้พอรู้สึกตัว กวนอูเหลียวมองเห็นเป็นกำฮูหยินที่มีน้ำตานองหน้า แต่ยังฝืนส่งยิ้มให้กับตนเอง “เราไม่ได้รู้สึกเสียใจ นับตั้งแต่วันที่ท่านเคยช่วยชีวิตเราในครั้งนั้น เราก็มอบชีวิตจิตใจให้กับท่านหมดแล้ว เพียงน้อยใจที่พลาดวาสนาต่อกัน”
กวนอูนิ่งอึ้งไปชั่ววูบ ค่อยเปลี่ยนใจวางมีดสั้นลง พร้อมจับมือสบสายตากับกำฮูหยินแน่วนิ่ง ความคิดสับสนจนไม่อาจเอ่ยวาจาใดๆ จนกระทั่ง โจโฉกลับผลักประตูห้องนอนเข้ามาอย่างแรงพร้อมกระบี่ีสั้นคู่ใจในมือ คล้ายกำลังค้นหาคนร้าย
กวนอูตกใจจึงคว้ามีดสั้นขึ้นมาอีกครั้ง กลับสังเกตพบว่า โจโฉหลับตาพึมพำอยู่ตลอดเวลา แสดงว่า เรื่องที่ร่ำลือกันว่าโจโฉมีนิสัยละเมอเดินเพ่นพ่านเหมือนกับพี่ใหญ่เล่าปี่ คงเป็นความจริงแล้วกระมัง แต่กลับนึกสืบต่อไป “หรือว่า สมควรสังหารปิดปากผู้คน ป้ายสีบาปกรรมใส่ผู้เหย้าเสียเลย”
สายตากวนอูเพิ่งฉายแววกร้าวดุดัน เสียงกรีดร้องตกใจของผู้หญิงพลันดังขึ้นด้านหลัง บิฮูหยินเพิ่งงัวเงียตื่นนอนขึ้นมา พบเห็นสภาพตนเองกึ่งเปลือยเปล่าบนเตียงนอน ข้างกายเป็นกำฮูหยินในสภาพเช่นเดียวกัน และยังมีชายที่มิใช่สามีอย่าง กวนอู โจโฉยืนเผชิญหน้ากันอยู่เบื้องหน้า อารมณ์อ่อนไหวจึงพลุ่งพล่านขึ้น พร้อมความอับอายแค้นใจสับสนไปหมด จนสุดท้าย คุณหนูบิที่อ่อนวัยและจิตใจเปราะบาง ต้องสะอื้นร้องไห้ ไม่อาจควบคุมสติตนเองไว้ได้อีก
กำฮูหยินรีบหันมาปลอบประโลมเพื่อนร่วมสามีเดียวกัน ในขณะที่เสียงกรีดร้องทำให้อุปราชโจโฉสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์นิทรา พลางกวาดตาสำรวจรอบกาย และตระหนักในทันทีว่า เกิดเรื่องราวบัดสีอันใดขึ้นในห้องรับรองแขกนี้แล้ว
โจโฉทำหน้าปั้นยาก รีบส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง พร้อมรีบมองออกไปเบื้องนอก แล้วหันมากวักมือเรียก “ดีที่ยังเช้าอยู่ ยังไม่มีบริวารเดินผ่านมาแถวนี้ ขอเชิญน้องกวนอูออกไปกับเราก่อน เพื่อให้พ้นคำครหาการค้างคืนกับผู้อื่นให้เสื่อมเสีย แล้วค่อยว่ากล่าวเรื่องราวกันภายหลัง”
กวนอูเข้าใจว่าสหายเก่าหาทางแก้ไขเหตุการณ์ให้ จึงกลายเป็นเหยื่ออันโง่งม ยอมเดินจากพื้นที่เกิดเหตุอื้อฉาว และถูกจอมโฉดโจโฉกล่าวคำครอบงำชักจูงได้ในทันที ถึงแม้ว่า โจโฉจะให้คำสัตย์สาบาน ไม่แพร่งพรายความลับต่อผู้ใด แต่มีหรือที่กวนอูจะไว้วางใจมันได้
“เผิงเสียนสหายเรา เพียงท่านเอ่ยปาก เราสามารถจัดการให้ท่านได้ครอบครองนางทั้งสองไปตลอดทั้งชีวิต ไม่จำเป็นต้องแยแสคำครหาของผู้อื่นอีกเลย” ยามอยู่กันตามลำพัง โจโฉมักใช้ชื่อเรียกหาในวัยเยาว์กับกวนอู ได้กล่าวทิ้งท้ายหนุนส่ง “เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาขบคิดให้มาก เราเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร”
โจโฉสั่งการให้พ่อบ้านใหญ่จัดเตรียมที่พักให้อาคันตุกะอยู่ต่ออีกหลายคืน เพื่อควบคุมให้ทั้งสามได้ผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันลงก่อน กวนอูได้แต่นิ่งอึ้ง ทบทวนสถานการณ์ตนเอง หรือว่า เราควรจะก้าวเดินให้พ้นเงาร่างของพี่ใหญ่สักที สหายเก่าโจโฉเสริมส่งให้ถึงปานนี้แล้ว
…
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าแผนการร้ายของโจโฉจะราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะเตียวเสี้ยนยังไม่ลืมว่า ต้นเหตุความตายของลิโป้คนรักมาจากฝืมือของสามพี่น้องร่วมสาบานพวกนี้นี่เอง และนางก็ไม่เคยรับรู้ว่า กวนอูแอบชอบพอนางอยู่ ดังนั้น นางจึงคอยเก็บคอยฟังข้อมูล จนค้นพบรอยแค้นในอดีตของกวนอูกับสี่เทวะเข้าจนได้
แผนการล้างแค้นจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความคิดของนางเอง ด้วยการยุยงให้เกิดความแตกแยกขึ้น ปล่อยข่าวลือตามเครือข่ายพรรคฟ้าเหลืองไปทั่วทั้งเมืองหลวง “กวนอูคือเผิงเสียน เพื่อนรักวัยเยาว์ของโจโฉ เป็นมันที่ทำร้ายแฮหัวตุ้นจนตาพิการมาตั้งแต่เด็ก แต่กำลังจะได้ดี เป็นที่โปรดปรานของท่านมหาอุปราช จะเหยียบข้ามหัวพวกสี่เทวะในไม่ช้านี้”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขุนพลจตุรเทพ หรือ สี่เทวะนั้น มีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่น้อยไปกว่าขุนพลสามห่วงสัมพันธ์ สองขุนพลขาวดำ หรือ ขุนพลห้ามฤตยู ในอดีต จึงหลงใหลคุ้นชินต่อคำยกย่องสรรเสริญ พอเกิดข่าวลือเช่นนี้ ทำให้ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก โดยเฉพาะเป็นเผิงเสียน คนที่มีความแค้นเคืองกันในวัยเยาว์
ที่จริง แฮหัวตุ้นกับพวกย่อมจดจำได้ว่า ที่แท้กวนอูคือเผิงเสียน คู่แค้นวัยเด็กของพวกตนนั่นเอง แต่ด้วยเห็นแก่หน้าตาของพี่ใหญ่โจโฉ จึงหลีกเลี่ยงการปะทะมาโดยตลอด จนมาถึงจุดสิ้นสุดในครานี้ สี่เทวะจึงพากันบุกเข้าไปรุมทำร้ายกวนอูถึงจวนที่พัก เพื่อแก้แค้นเรื่องราวฝังใจ เป็นการต่อสู้แบบสี่รุมหนึ่งด้วยค่ายกลสี่เทวะที่ได้รับการพัฒนาฤทธิ์เดชให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
กวนอูเองทั้งคร้านจะพูดคุยอธิบายกับศัตรูเก่าแก่ ทั้งแค้นที่เพิ่งสร้างบาปรักเพิ่มเติม จึงคว้าเอาง้าวมังกรเขียวมาต่อสู้ด้วย เสียงอาวุธติงตังดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง จนกำฮูหยิน บิฮูหยินที่พักอยู่ห้องข้างเคียงยังต้องออกมาชมดูด้วยความเป็นห่วง
ค่ายกลสี่เทวะอันซับซ้อน ประกอบด้วยแฮหัวตุ้นพี่ใหญ่ ฝีมืออาวุธแข็งแกร่งที่สุด รับมือคู่ต่อสู้อย่างซึ่งหน้า แฮหัวเอี๋ยนพี่รอง มือเกาทัณฑ์ยอดเยี่ยม คอยหาจังหวะลงมือระยะกลาง โจหยินน้องสาม เจ้าปัญญาถนัดตั้งรับ คอยพลิกแพลงช่วยเหลือ มีแต่โจหองน้องสี่ ที่ตัวใหญ่อุ้ยอ้าย มักจะยอมเป็นเป้าหลอกให้สับสน ต่างคนต่างใช้จุดเด่นเฉพาะตัว ร่วมกันผลักดันให้ค่ายกลเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
กวนอูใช้ง้าวน้ำหนักมาก กระบวนท่าดุดันเกรี้ยวกราด โจหยิน โจหองจึงเน้นการตั้งรับรัดกุม เปิดช่องให้คนอื่นสอดแทรกโจมตีได้ต่อเนื่อง ในช่วงแรก สองพี่น้องสกุลโจจึงเกิดรอยแผลลึกกระจายเต็มร่าง เพื่อแลกกับหนึ่งเกาทัณฑ์ที่ปักตรึงลงที่ต้นขา และหนึ่งรอยดาบพาดผ่านชายโครงฝ่ายตรงข้าม
พอเรียกเลือดศัตรูได้แล้ว ค่ายกลสี่เทวะคล้ายได้รับพลังเพิ่มเติม ยิ่งหมุนวนอย่างเร่งร้อนหมายเผด็จศึกโดยเร็ว สี่เทวะได้รับบาดเจ็บมากน้อยไปตามๆกัน ในขณะที่กวนอูเกิดรอยแผลไปทั่วร่างกายเช่นกัน หยาดโลหิตกระจายเต็มพื้นลานกว้างบาดตา
แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน ขยับเข้าซ้ำ แต่ยังดีที่เตียวเลี้ยว เคาทูพากันมาช่วยกวนอูไว้ได้ก่อนจะถูกสี่เทวะรุมสังหาร และโจโฉตามมาห้ามไว้ทันก่อนที่จะสูญเสียใครไป กาเซี่ยงหอบเหนื่อยอยู่แต่ไกล คงเป็นกุนซือเงาปีศาจเข้ามาเห็นเหตุการณ์ จึงไปตามผู้คนมาช่วยเหลือได้ทันเวลา
ส่วนเตียวเสี้ยนแอบดูอยู่อีกทางหนึ่ง ได้แต่ขยี้เท้าเสียดาย อีกเพียงไม่กี่กระบวนท่า กวนอูก็จะสิ้นชีพอยู่ตรงหน้าแล้ว น่าแค้นใจนัก แต่ก็นับว่าได้สั่งสอนให้มันได้รู้สำนึกไปบ้างแล้ว
…
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้โจโฉต้องคาดโทษและสั่งสอนอบรมพี่น้องสี่เทวะเสียใหม่ เพราะการบริหารแผ่นดินจะมุ่งหวังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไว้แต่ในเครือญาติ เหมือนการครองเมืองเล็กเมืองน้อยนั้นไม่ได้แล้ว ในเมื่อกิจการใหญ่โตขึ้น ก็ต้องการคนมาช่วยดูแลจัดการมากขึ้นตามลำดับ
ไม่ว่าจะเคยเป็นมิตรหรือศัตรูก็ตาม หากแม้นมีความสามารถ และพอไว้วางใจได้ ก็ต้องรับเอาไว้ก่อน มิเช่นนั้น หากโดนขุมกำลังอื่นแย่งตัวไป แทนที่เราจะได้แรงงานเพิ่ม กลับกลายเป็นเพิ่มความแข็งแกร่งให้ศัตรูไปเสียอีก ดังนั้น จะทำการใหญ่ก็ต้อง “ใจใหญ่” และ “ใจเย็น”ให้มากขึ้น
แม้ว่าสี่เทวะจะเสียใจในความวู่วาม แต่ก็ไม่ได้ยอมรับผิด ด้วยยังคิดว่า ตนเองเป็นเครือญาติกับโจโฉ และร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขุมกำลัง อย่างไรก็ควรจะเหนือกว่าเหล่าขุนพล หรือกุนซือที่มาภายหลัง และโดยเฉพาะเผิงเสียนที่เป็นต้นเหตุทำให้แฮหัวตุ้น สายตามืดมัวเรื้อรังมาตลอดทั้งชีวิต ก่อนจะถูกลิโป้ทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่งในที่สุด
นับแต่นั้น โจโฉจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ด้วยเกรงว่า สองฝ่ายจะทำใจสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ได้ และสี่เทวะเองก็พาลขุ่นเคืองต่อเตียวเลี้ยว เคาทู ที่ให้ความช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามไปด้วย จนกลายเป็นการแบ่งฝ่ายแบ่งพวก ระหว่างสี่เทวะ กับห้าขุนพลรุ่นหลังที่มีขุนพล เตียวเลี้ยว ซิหลง อิกิ๋ม งักจิ้น และองครักษ์เคาทู ไปโดยปริยาย
จุดแตกแยกเล็กน้อยเหล่านี้ จึงคล้ายเป็นเชื้อร้ายเพาะบ่มรอวันปะทุ ที่ทำให้คนรุ่นหลังถัดจากโจโฉ เกิดความยุ่งยากลำบากใจ และบั่นทอนความแข็งแกร่งของพวกตระกูลโจ และแฮหัวในเวลาต่อมา
…
ย้อนกลับไปดูที่ดินแดนทางใต้ คลื่นใต้น้ำภายในขุมกำลังกังตั๋งหลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำยังมิได้หมดสิ้นเสียทีเดียว เพราะซุนเปิน ซุนฟู ลูกชายทั้งสองของซุนเฉียง ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดซุนเกี๋ยน ซึ่งเดิมทีแยกย้ายกันไปเป็นเจ้าเมืองต๋องง่อกับชีสอง สองเมืองสำคัญ กลับไม่เห็นด้วยที่สิทธิการเป็นผู้นำสูงสุดของขุมกำลังกังตั๋งต้องตกไปอยู่กับซุนกวนที่ด้อยอาวุโสกว่า ทำให้ทั้งสองพี่น้องวางแผนก่อการร้าย หมายกอบกู้โอกาสให้กับตนเองแทน
ทั้งสองมองเห็นโอกาสในโครงการย้ายเมืองหลักจากเมืองห้อยเขมายังเมืองต๋องง่อ และการคงอยู่ของกลุ่มสานุศิษย์ในสังกัดเซียนอิเกียดที่ยังเคืองแค้นในการตายของอาจารย์ใหญ่ พวกมันจึงอาศัยช่วงเวลาโยกย้ายจัดการกับสถานที่สำคัญ จัดกลุ่มนักฆ่าให้ปลอมเป็นลูกศิษย์อิเกียด หวังแก้แค้นแทนอาจารย์ ปะปนเข้าไปลอบสังหารซุนกวนถึงในเรือนที่พัก
หากแต่แผนการไม่สำเร็จ ซุนกวนแม้ยังเยาว์วัย แต่ปฏิภาณฉับไว พบเห็นคนร้ายหลบซ่อนตัวในห้องนอน จึงออกอุบายส่งสัญญาณให้ จิวท่าย เล่งโฉ สององครักษ์ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ ร่วมมือกันจัดการกับคนร้ายได้ทันเวลา และสองเสาหลักรุ่นใหม่ จิวยี่ โลซก พลอยใช้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข้ออ้าง กวาดล้างกลุ่มผู้ต่อต้านสกุลซุนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ไปจนหมดสิ้นด้วยความเด็ดขาด
เมื่อแผนบู๊ไม่สำเร็จสมหวัง แผนบุ๋นจึงถูกจัดทำขึ้นมาทดแทน ในที่ประชุมใหญ่ของขุมกำลังกังตั๋งที่จัดขึ้นในเมืองหลักแห่งใหม่ ต๋องง่อ ขุนพลขุนนางคนสำคัญอยู่กันพร้อมเพรียง เพื่อร่วมทำพิธีรับมอบตำแหน่งผู้นำสูงสุดอย่างเป็นทางการของซุนกวน
พิธีการยังไม่ทันเร่ิมต้น ซุนเปิน ซุนฟู อาศัยศักดิ์ฐานะอาวุโสในตระกูล แจ้งความประสงค์จะผลักดันให้ ซุนเซียง น้องชายอายุไล่เลี่ยกันกับซุนกวน ได้เป็นผู้นำสูงสุดแทน ด้วยเหตุผลว่า ซุนเซียง มีความเข้มแข็งห้าวหาญ ฝีมือการรบโดดเด่น สมควรเดินตามรอยซุนเซ็กได้ไม่ยาก ในขณะที่ ซุนกวน แม้ว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก็จริง แต่ดูอ่อนแอเปราะบางเกินไป ไม่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ
เมื่อผู้อาวุโสในตระกูลว่ากล่าวเช่นนี้ขึ้นมา สี่เสาหลักกังตั๋ง และเจ้าสัวผู้อาวุโสจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคนนอกสกุล จึงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง หากแต่คนทั่วไปย่อมรับรู้ว่า ซุนเซียงเก่งกาจด้านบู๊ก็จริง แต่เบาปัญญา เชื่อฟังคำพูดคนอื่นง่าย แสดงว่า ซุนเปินทั้งสองอาจมุ่งหวังเป็นผู้ค้ำจุนกังตั๋งแทนที่สี่เสาหลัก และก้าวต่อไป อาจจะต้องการเป็นใหญ่สืบทอดบทบาทแทนเครือญาติสายซุนเกี๋ยนเสียด้วยซ้ำ
ผู้คนในที่ประชุมส่งเสียงอื้ออึงสับสน วิพากษ์วิจารณ์ถึงสองตัวเลือกอย่างเปิดเผยจริงจัง ซุนกวน ว่าที่นายน้อยคนใหม่ จ้องมองซุนเซียง น้องชายร่วมสายเลือดด้วยความลำบากใจ ในขณะที่ซุนเซียงแสร้งมองไปทิศทางอื่นด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ต้องมาแย่งชิงบัลลังก์กับพี่ชายตนเอง
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ซุนกวนถูกพี่ใหญ่ซุนเซ็กส่งเสริมให้ไปคลุกคลีร่ำเรียนศาสตร์ด้านการค้าขายกับเจ้าสัวเกียวชวนอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ซุนเซียงถูกรั้งตัวไว้ช่วยงานบริหารกองทัพ และให้ศึกษาการรบทัพจับศึกอยู่กับอุยกาย ขุนพลอาวุโส จนได้ไปประจำอยู่เมืองหน้าด่านลกเค้า
“หนึ่งคนไปสายบุ๋น หนึ่งคนไปสายบู๊ เบื้องหน้าค่อยกำหนดบทบาทแท้จริง” เป็นคำสั่งสอนที่ซุนเซ็กพร่ำบอก จนทั้งสองพี่น้องเพาะสร้างอุปนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ตัวมันสุขุม หนักแน่น และอ่อนโยนดั่งพ่อค้าวานิช ส่วนซุนเซียง ใจร้อน ห้าวหาญ และแข็งกร้าวดั่งนักรบเดนตาย
ซุนกวนประเมินสี่เสาหลัก แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นฝ่ายสนับสนุนตนเองให้สืบทอดตำแหน่งก็จริง แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา จิวยี่ โลซก กับเกียวชวน อาจจะมุ่งมั่นทำงานจนล่วงเกินเตียวเจียว อุยกายอยู่บ้าง หากสองผู้เฒ่าเห็นโอกาสพลิกแพลง อาจจะคล้อยตามความคิด พลอยเป็นพวกซุนเปินไปด้วย แต่อย่างไร ความเห็นของเสาหลักกังตั๋งย่อมมีน้ำหนักสูงยิ่ง เพื่อสยบความวุ่นวายครั้งนี้
แต่แล้ว เตียวเจียว อุยกาย คล้ายตระเตรียมกันมาก่อนแล้ว พอเห็นซุนกวนกวาดตามองมาทางพวกตน จึงกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน “พวกเราจงภักดีต่อสกุลซุน และคิดเห็นว่า ซุนกวนเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำสูงสุดต่อไป”
จิวยี่ โลซก และเจ้าสัวเกียว เห็นเป็นจังหวะเหมาะ จึงพร้อมกันส่งเสียงเห็นพ้องสำทับไปด้วย ทำให้สี่เสาหลักมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน พวกซุนเปินทั้งสามจึงนิ่งอึ้งชั่ววูบ เพราะเตียวเจียว อุยกายที่พวกตนแอบคาดหวัง กลับไม่ยอมคล้อยตาม หรือว่า มันสมควรสั่งการให้กองกำลังฝ่ายตนชิงลงมือจัดการด้วยกำลังทหารแล้ว
“เราก็เห็นพ้องให้ซุนกวนได้รับตำแหน่งผู้นำสูงสุดคนต่อไป” ซุนแจ้ง ซึ่งไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับขุมกำลังกังตั๋ง แต่ก็มีน้ำหนักสูงสุดในฐานะผู้นำตระกูลซุนคนปัจจุบัน ก้าวเข้ามาพร้อมกับขุนพลไทสูจู้ กำเหลง ที่สมควรกำกับกองทัพอยู่ทางนอกเมือง
เห็นกำเหลงนำป้ายเหล็กแสดงให้กับพวกซุนเปินตรงหน้า จนฝ่ายค้านใบหน้าถอดสี ในขณะที่ไทสูจู้ก้าวออกไปรายงานต่อซุนกวน “กองกำลังต๋องง่อ ชีสอง ลกเค้า ถูกควบคุมไว้แล้วตามคำสั่งของท่านจิวยี่ เพียงรอให้ท่านผู้นำคนใหม่ตัดสินใจ”
ซุนกวนเห็นว่า ปัจจัยทุกประการล้วนเป็นใจต่อมันแล้ว จึงก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้บัลลังก์อย่างสงบเงียบ ในขณะที่เหล่าขุนนางนายทหารทั้งหลาย รวมทั้ง ซุนเปินทั้งสาม ได้แต่คุกเข่าคำนับตามธรรมเนียมพิธี
แผนการฝืนฟ้าท้าลิขิตจึงนับว่าจบสิ้นลงแล้ว จิวยี่คาดการณ์ไว้หมดสิ้นแล้ว
…
ณ หุบเขาละทิ้งอดีต คนเล่นพิณในชุดเสื้อผ้าหรูหรา นั่งพูดคุยกับหนุ่มใหญ่ผิวดำกร้าน ภายในห้องลับ โดยมีองครักษ์ถือทวนใหญ่ยืนกำกับอยู่ห่างออกไป
“เจ้าเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้สมควรตายยิ่งนัก ไม่ทันไรก็หมายจะก่อขบถยึดอำนาจเสียแล้ว” คนเล่นพิณกล่าว “ยังดีที่ท่านซินแสพบเห็นเงื่อนงำ ทำให้เราจัดส่งเบาะแสให้กับเตียวเจียวได้ทันเวลา และเป็นจิวยี่ที่จัดการเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม”
“กลุ่มคนเหล่านี้นับว่าใช้การได้ทุกคน หากประสานงานกันย่อมทำให้ขุมกำลังกังตั๋งเป็นที่น่าเกรงขาม พวกมันไม่ยึดติดชื่อเสียงจอมปลอม ยืดได้หดได้ตามสถานการณ์ นายท่านโปรดวางใจเถอะ” ซินแสหนุ่มใหญ่ตอบคำ “คนทั้งสามเป็นเพียงเบี้ยบ้ายรายทาง ไม่อาจทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนได้อย่างแน่นอน อดทนและรอคอยเถิด”
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย