25 ก.พ. 2021 เวลา 03:44 • นิยาย เรื่องสั้น
2.7. เสียกำเพื่อเอากอบ
ซุนเขียน ราชทูตลิ้นทอง - สองพี่น้องคนดัง บิต๊ก บิฮอง
ทัพหน้าของอ้วนเสี้ยว อันมี งันเหลียง บุนทิว นำล่วงเข้าไปเผชิญหน้ากับทัพของโจโฉที่ตั้งทัพรออยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำฮวงโห สมรภูมิเดิมที่เคยเกิดศึกหักหลังกันเองระหว่างพวกสิบแปดเจ้าเมืองพันธมิตรเมื่อหลายปีก่อน และเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ให้กับการถือกำเนิดของขุมกำลังกิจิ๋ว “หนึ่งเกาทัณฑ์สยบโจรฟ้าเหลือง” ของอ้วนเสี้ยว ยังเป็นวีรกรรมที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงตามร้านค้าทั่วไป
นายทหารเอกของอ้วนเสี้ยวทั้งสองคนกรำศึกมานาน ชำนาญในธรรมเนียมการศึกเป็นอย่างดี จึงยกสัญญาณธงท้ารบแบบดวลเดี่ยว หวังลดทอนความฮึกเหิม โจโฉจงใจส่งนายทหารไปลองต่อสู้หลายคน แต่ก็สู้งันเหลียงไม่ได้ทั้งสิ้น ค่อยทำเป็นกังวลใจ สั่งการให้นายอาลักษณ์เขียนหนังสือเรียกตัวแฮหัวตุ้นจากชายแดนอื่น ให้ขึ้นมาช่วยเหลือการศึกทางเหนือแทน
กวนอูซึ่งอยู่ในที่ประชุมทหารจึงขันอาสาเพื่อหวังจะระบายความคับแค้นใจในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น และเพื่อตอบแทนบุญคุณของโจโฉที่มอบทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ และของวิเศษแห่งยุคให้บ้าง โดยเขามิได้ฉุกคิดแม้แต่น้อยว่า ทั้งหมดนั้นคือแผนลับอันชั่วร้ายของโจโฉ เพื่อนเก่าในวัยเยาว์ของตนเอง หวังตัดทางถอยของตน
งันเหลียงสงสัยใจ เมื่อขุนศึกใช้ผ้าปิดหน้าที่ควบม้าใหญ่สีแดงฉานมานั้น รูปลักษณ์คล้ายกับน้องรองกวนอูที่เล่าปี่เคยเอ่ยถึง จึงลดอาวุธลง แสดงท่าทีคิดสอบถามชื่อเสียง เพื่อบอกเล่าข่าวคราวของเล่าปี่ให้รับฟัง
ฝ่ายกวนอูมัวแต่นึกถึงกลยุทธ์จู่โจมทีเผลอ ซึ่งเตียวหุยเคยแนะนำให้ใช้กับฮัวหยงแต่ก่อน จึงละเลยธรรมเนียมการต่อสู้ที่มีมาแต่โบราณที่สมควรต้องแจ้งชื่อเสียงเรียงนามกันก่อนต่อสู้ รีบพุ่งม้าเซ็กเทาเข้าใส่ พร้อมใช้กระบวนท่าสยบมังกรที่ฝึกฝนมา กวาดง้าวมังกรเขียวที่หนักอึ้ง ฟันใส่ขุนพลงันเหลียงคอขาดไปโดยทันที
ขุนพลบุนทิวที่ยืนสังเกตอยู่ห่างไกลออกไป แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ทั้งโกรธทั้งประหลาดใจ จึงรีบพุ่งม้ามายังจุดปะทะโดยเร็ว เพื่อหวังคลี่คลายสถานการณ์ เตียวเลี้ยวเห็นเป็นขุนศึกอีกคนควบม้าเข้ามาใกล้ จึงรีบเบี่ยงม้าศึกออกไปต้านรับแทน
แต่กวนอูหันมาพบเข้า จึงควบม้าเซ็กเทากลับมา และเหวี่ยงง้าวกวาดเข้าใส่บุนทิวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จนกลายเป็นการรุมจู่โจมทั้งสองทาง ทางบุนทิวพะวงแต่รับมือด้านเตียวเลี้ยวก่อน และไม่ทันคาดคิดน้ำหนักอันมหาศาลของง้าวมังกรเขียว จึงหันมาตั้งรับกวนอู แล้วทานแรงไม่ไหว พลาดท่าโดนฟันคอขาดไปอีกคนโดยง่าย
สองขุนพลอันเกรียงไกรของอ้วนเสี้ยวภายในสองกระบวนท่าของกวนอูเท่านั้น ทัพหน้าของอ้วนเสี้ยวจึงแตกพ่ายถอยกลับไป แต่โจโฉก็ไม่ได้ฉวยโอกาสรุกคืบชิงพื้นที่คืน เพราะได้ยินว่า ทัพหลวงอ้วนเสี้ยวยังคงมีจำนวนมากกว่ามาก ยังคงถอยทัพกลับไปตั้งหลักในเมืองหน้าด่านชั้นในก่อน
โจโฉลอบสังเกตอยู่ในใจว่า กวนอูใช้เวลาอันสั้นในการปราบงันเหลียง บุนทิว รวมทั้ง ฮัวหยงในอดีต ทหารเอกคนสำคัญต่างๆทั้งสามคน แต่กลับไม่ค่อยปรากฏชัยชนะ ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้ออย่างคราวที่เคยปะทะกับขุนพลจตุรเทพที่ผ่านมา หรือว่า เคล็ดลับสำคัญของกวนอูอยู่ในกระบวนท่าช่วงเริ่มต้น ผนวกกับแรงน้ำหนักของง้าวที่หนักหน่วง ที่ทำให้คู่ต่อสู้คาดเดาไม่ถึงในช่วงแรกเท่านั้นเอง
ข้อมูลนี้ อาจเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายในสงครามสามก๊กในอนาคตได้ทีเดียว และภายหลัง โจโฉไม่ลืมที่จะบอกกับขุนพลคนสนิททั้งหลายให้รับทราบข้อมูลนี้ไว้
...
ทางด้านทัพหลวงของอ้วนเสี้ยวเกิดปั่นป่วนวุ่นวายด้วยพิษร้ายจากลำธารน้ำดื่มที่ด้านหลังกองทัพ ทหารจำนวนมากเชื่องช้าเซื่องซึม ราวกับเป็นผีดิบ ไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้ อ้วนเสี้ยวเห็นอาการดังกล่าว ก็นึกออกทันทีว่าเป็นฝีมือแพร่พิษของหมอฮัวโต๋ หรือนกฮูกนั่นเอง แสดงว่ามันลอบมาจัดการพร้อมกันกับอีกาด้วยในวันนั้น น่าเสียดายที่ตนพลาดโอกาสกำจัดปักษาอีกคนไปเสียได้ ซึ่งในยามนี้ ตนเองไม่มีทางถอยแล้ว เพราะฉะนั้น “เจอหนึ่งคน ฆ่าหนึ่งคน เจอหนึ่งปักษาก็ฆ่าหนึ่งปักษา” สั้นๆแค่นั้นเพื่ออุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงแผ่นดินให้สงบสุขให้ได้ด้วยตนเอง
ในที่ประชุมทหาร อ้วนเสี้ยวรับทราบข่าวการเสียชีวิตของงันเหลียง บุนทิวอย่างสงบ เยือกเย็น พลางกวาดตามองดูท่าทีของเล่าปี่ จากพยานในเหตุการณ์ ระบุชัดเจนว่า ผู้ที่ฆ่าสองขุนพลต้องเป็นกวนอู น้องร่วมสาบานของเล่าปี่อย่างแน่นอนแล้ว
“เรื่องราวเช่นนี้ สมควรต้องมีคนรับผิดชอบใช่หรือไม่ ท่านเล่าปี่” อ้วนเสี้ยวจงใจกดดันใส่เชื้อพระวงศ์พลัดถิ่น
เล่าปี่เองก็แน่ใจว่าเป็นกวนอู หากแต่จะทำอย่างไรดีหนอ นอกจากแสร้งร่ำไห้ ประวิงเวลาอยู่ จูล่งจึงไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป จำต้องออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ให้ว่า “หากท่านเล่าปี่ส่งข่าวไปถึงกวนอูได้ กวนอูคงต้องรีบมาเข้าร่วมกับท่านอย่างแน่นอน แล้วกำลังทางฝ่ายท่านย่อมจะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม”
อ้วนเสี้ยวยอมรับฟังคำของจูล่ง เล่าปี่จึงรีบรับคำส่งหนังสือให้บิต๊ก บิฮอง พี่เมียทั้งสองคน ลักลอบนำเข้าไปส่งให้ถึงมือกวนอูโดยเร็ว พร้อมกระซิบแผนฉุกเฉินเผื่อไว้
ที่แท้ อ้วนเสี้ยวก็หวังผลเพียงเท่านี้เอง การปล่อยให้กวนอูปราบงันเหลียง บุนทิว ไปนั้น มันเพียงทำตามแผน “เสียกำเอากอบ” เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขให้เล่าปี่ กวนอูให้สำนึกผิด และอยู่รับใช้มันต่อไปเท่านั้นเอง อย่างไรเสีย กวนอูที่ผ่านการฝึกฝนมาจากนางแอ่น-เตียวหุย ย่อมเหมาะสมต่อการใช้งานมากกว่าสองขุนพลดั้งเดิมที่มี
มันจึงตั้งทัพหลวงกดดันทัพโจโฉไว้ ทางหนึ่งเป็นการรั้งรอให้กวนอูออกมาร่วมกับฝ่ายตน และอีกทางหนึ่งให้ตันหลิมปล่อยข่าวใต้ดิน เกลี้ยกล่อมนายทหารกุนซืออื่นๆให้ทำหนังสือสวามิภักดิ์เข้ามาให้มากที่สุด
ในเมื่อการศึกครั้งนี้ มันควบคุมความได้เปรียบอยู่ทุกด้าน จึงอยากจะอาศัยความได้เปรียบนี้ในการจัดตั้ง หรือระดมทรัพยากรต่างๆจากฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเป็นของตนให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมการณ์เปลี่ยนขั้วอำนาจแทนที่โจโฉในขั้นตอนต่อไป
พิชัยสงครามซุนจื้อมักกล่าวถึงหลักการ “สามไม่” อันได้แก่ สยบทัพไม่ต้องรบ ยึดเมืองไม่ต้องตี ทำลายไม่ยืดเยื้อ ซึ่งมันกำลังจะใช้เป็นแนวทางในการสยบขุมกำลังโจโฉในครั้งนี้ หากสำเร็จลุล่วงด้วยดี สกุลอ้วนย่อมจะยิ่งใหญ่ได้ในไม่ช้า
ที่กระโจมทหารเอก กวนอู เมื่อได้รับหนังสือของเล่าปี่จากบิต๊ก บิฮอง ก็ลังเลใจ ทางหนึ่งก็เป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบาน ที่ฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกันมานาน อีกทางหนึ่งก็เป็นสหายเก่าวัยเยาว์ที่มีน้ำใจให้มาโดยตลอด
แต่แล้ว พอฉุกคิดถึงเรื่องอื้อฉาวระหว่างตนเองกับฮูหยินทั้งสอง มันคือรอยร้าวยากประสานกับพี่ชายไปเสียแล้ว จึงตัดสินใจตามสัญชาตญาณนักรบ ขยับง้าวจะฟันปิดปาก บิต๊ก บิฮอง คนส่งสาส์นลับทั้งสอง พร้อมกล่าวคำขออภัย “ขอโทษด้วย"
บิต๊ก บิฮอง ผ่านประสบการณ์มาบ้าง ย่อมตระหนักถึงว่า ความตายมาเยือนตรงหน้าแล้ว แต่นับว่า ชะตาของสองพี่น้องสกุลบิ ยังไม่ถึงฆาต บังเอิญ กำฮูหยิน บิฮูหยิน ที่อาศัยอยู่ในเรือนรับรองเดียวกัน ออกมาพบเข้า และส่งเสียงทักทายญาติสนิทที่แยกจากกันมานานด้วยความยินดี มุ่งหวังได้พบเจอกับสามีอีกครั้ง
กวนอูจึงมิอาจปิดความลับเรื่องเล่าปี่ไว้ได้อีก และจำต้องเปลี่ยนใจ หันไปฟันใส่อากาศ ขู่ใส่ทหารและคนรับใช้ในบริเวณนั้น เพื่อให้ปกปิดเรื่องไว้แทน ซึ่งบิต๊ก บิฮองทั้งสองรับรู้ท่าทีที่เปลี่ยนกลับไปกลับมา แต่ไม่กล้าเปิดโปงฉีกหน้ากวนอู ได้แต่เก็บสะสมความแค้นครั้งนี้ไว้ในใจไปก่อน
...
รุ่งขึ้น กวนอูยังแสร้งถ่วงเวลาด้วยการสร้างเรื่องร่ำลาโจโฉตามธรรมเนียม ซึ่งกวนอูคำนวนได้อยู่แล้วว่า โจโฉจะต้องนึกเสียดาย และหลีกเลี่ยงไม่ยอมให้เข้าพบ ทำให้สองฮูหยินยิ่งร้อนใจ เกรงภัยจะเกิดแก่เล่าปี่ เพราะกวนอูพลั้งมือไปทำร้ายคนของอ้วนเสี้ยว จึงร่ำไห้วิงวอนบ้าง แต่กวนอูก็ไม่ยอมใจอ่อนลง
บิต๊ก บิฮอง เดาท่าทีออก จึงนึกถึงแผนฉุกเฉินของเล่าปี่ รีบไล่เข่นฆ่าทหารและเหล่าคนใช้ให้เอิกเกริกวุ่นวายไปทั้งกระโจมที่พัก พลางตะโกนสำทับว่า กวนอูจะกลับไปพบกับเล่าปี่ จำต้องสังหารปิดปากคนใกล้ชิดให้หมดสิ้น แต่ที่จริง กลับปล่อยคนให้หลุดรอดออกไปแพร่ข่าว ทำให้กวนอูหมดหนทางบ่ายเบี่ยง จำต้องรีบนำกำฮูหยิน บิฮูหยิน และบิต๊ก บิฮอง ออกจากกระโจมทหารมุ่งหน้าสู่กองทัพฝ่ายอ้วนเสี้ยว
แต่เมื่อพ้นจากกองทัพออกมา ย่อมต้องพบด่านสกัดตามเส้นทางหลบหนี บิต๊ก บิฮอง ยังคงใช้ไม้เดิม ชิงลงมือปะทะกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยซ้ำอีกรอบหนึ่ง จนเกิดการต่อสู้วุ่นวาย ทำให้กวนอูไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป จำต้องเลยตามเลย หักด่านฝ่าขุนพลไปตลอดทาง เพื่อระบายอารมณ์คับแค้นใจ และแสดงให้เห็นความจริงใจของตนไว้เป็นข้ออ้างกับฝ่ายอ้วนเสี้ยวแทน
ที่จริงแล้ว เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างกระโจมทหารเอก ซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของกวนอูกับสถานที่ตั้งกองทัพของอ้วนเสี้ยวไม่ได้อยู่ห่างไกลกันนัก หากแต่จะเป็นเส้นทางที่มีด่านสกัดเข้มแข็งรัดกุม และง่ายต่อการพบเห็นร่องรอยการหลบหนี
นอกจากนั้นแล้ว กวนอูก็มิได้มุ่งมั่นต่อการหลบหนี จึงพาพรรคพวกอ้อมเบี่ยงเส้นทางไปตามป่าเขาอยู่บ่อยครั้ง เพื่อประวิงเวลาให้เนิ่นช้าออกไป เผื่อว่า จะมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นกับเล่าปี่เสียก่อน หรือโจโฉจะส่งคนมาตามหาตนเองได้ทันเวลา
ดังนั้น กวนอูจึงต่อสู้พลาง เบี่ยงเส้นทางพลาง อย่างแนบเนียน ไม่ให้คนร่วมขบวนฉุกใจสงสัย จนสุดท้ายของการเดินทางวันแรก พวกกวนอูจึงต้องมาขอพักค้างคืนกับหลวงจีนเภาเจ๋งที่วัดป่าน้อย อารามหลวงซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเสียก่อน
หลายปีก่อนในช่วงเวลาที่เล่าปี่พักพิงอยู่ในเมืองหลวง ได้รับแรงกดดันจากกษัตริย์เหี้ยนเต้ จนต้องหาทางผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการเดินทางสายธรรม พบปะพูดคุยกับพระภิกษุตามวัดสำคัญต่างๆในละแวกนั้น เภาเจ๋งแห่งวัดป่าน้อยก็เคยเป็นท่านหนึ่งที่พวกเล่าปี่ทั้งสามเดินทางมาปลีกวิเวกชั่วคราว ดังนั้น การขออนุญาตพักค้างคืนกับภิกษุที่คุ้นเคยกัน จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก
นับจากเกิดเหตุการณ์น่าละอายใจในค่ำคืนนั้น จนมาถึงช่วงเวลาที่กวนอูได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรุมทำร้ายของสี่เทวะ กำฮูหยินมีท่าทีอ่อนข้อลงกว่าเดิมมากนัก คอยเฝ้าดูแลอาการบาดเจ็บอย่างใส่ใจ เหมือนดังที่คู่รักสมควรกระทำ
แตกต่างไปจากบิฮูหยินที่ดูฝังใจแตกตื่นกับเหตุการณ์เดียวกัน จนปิดกั้นตัวเอง เอาแต่สวดมนต์ไหว้พระชำระบาปในจิตใจตนเองตลอดทั้งวัน ดังนั้น กวนอูจึงเหมือนยังลังเลใจที่จะเดินหน้าท้าทายชะตาชีวิตร่วมกันกับกำฮูหยินไปกับขุมกำลังโจโฉเลย และเพียงปล่อยคนสกุลบิกลับไปพบเล่าปี่ เพื่อรักษาน้ำใจต่อกันบ้างหรือไม่
กวนอูยังสังเกตพบว่า กำฮูหยินเองก็มีท่าทีลังเลใจเช่นเดียวกันกับตนเอง พร้อมทั้งกังวลใจกับท่าทีนิสัยที่ผิดปกติของบิฮูหยินเช่นกัน ดังนั้น เมื่อมีโอกาส กวนอูจึงได้แต่แอบเข้าห้องพักหญิง กำชับแกมขู่กับคนทั้งสอง ไม่ให้เอื้อนเอ่ยเรื่องราวค่ำคืนนั้นต่อผู้ใด มิฉะนั้น คนที่นางรักจะเป็นอันตรายถึงชีวิตในทันที
คนที่นางรักสำหรับบิฮูหยิน อาจจะหมายถึงบิต๊ก บิฮอง ผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด หากแต่คนที่นางรักของกำฮูหยิน เป็นผู้ใด นางเองก็ไม่อาจชี้ชัดในยามนี้ เพราะไม่มีญาติพี่น้องหลงเหลือแล้ว เศรษฐีใหญ่ผู้เป็นบิดาเพ่ิงตายจากไปเมื่อปีกลาย ตามขนบธรรมเนียม สามีเล่าปี่สมควรเป็นคนผู้นั้น หากแต่กลับมีเสียงจิตสำนึกภายในใจตนเอง ขัดแย้งว่า กวนอูผู้มีคุณต่างหากคือคนที่ใช่
พื้นฐานครอบครัวของกำฮูหยินสืบเชื้อสายมาจากดินแดนคาบสมุทรทางเหนือ มีความคิดอ่านผิดแผกแตกต่างไปจากคนฮั่นที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมดั้งเดิม โดยเฉพาะกำฮูหยินที่เป็นเด็กกำพร้า มารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเล็ก และต้องเติบโตมากับบิดาที่มัวแต่ทำงานหาเงิน จนละเลยการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด บุคลิกนิสัยของนางจึงซึมซับมาจากพี่เลี้ยงที่เป็นพวกชนเผ่านอกด่าน ซึ่งมีอารมณ์ความรักรุนแรงเป็นทุนเดิม
ผ่านพ้นเที่ยงคืนนั้น นางจึงแอบพบปะกับกวนอูอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำพันธะจิตใจที่มีต่อกัน และเสนอให้ส่งตัวเฉพาะพวกสกุลบิกลับคืนสู่เล่าปี่ ส่วนนางเอง แสดงเจตจำนง ขอใช้ชีวิตร่วมกับกวนอูตลอดไป ถึงกับสอดคล้องกับความคิดของกวนอูทุกประการ
กวนอูรู้สึกว่าหัวใจพองโต หมดสิ้นความกังวลลังเลใจอีกต่อไป จึงบอกเล่าแผนการที่ตระเตรียมไว้แต่แรก วันพรุ่งนี้ เพียงพวกมันไปจนถึงสุดเขตแดน ย่อมมีกองทัพใหญ่สกัดเส้นทางเอาไว้ มันจะยื่นข้อเสนอต่อขุุนพลประจำทัพให้ปล่อยตัวพวกสกุลบิออกไป เพื่อแลกกับการสวามิภักดิ์อย่างไม่มีเงื่อนไขของตัวมันและภรรยาสุดที่รักของมัน
กำฮูหยินโผตัวเข้าสู่อ้อมกอดของชายคนรัก พร้อมอ้ำอึ้งคล้ายยังมีความกังวลใจซุกซ่อนอยู่อีก กวนอูยังไม่ทันสอบถามอันใดเพิ่มเติม เภาเจ๋ง เจ้าอาวาสวัดป่าน้อย กลับส่งเสียงดังมาจากด้านนอก “ประสกกวน รีบหลบหนีเถิด ศัตรูท่านตามมาถึงแล้ว”
พวกกวนอูทั้งหลายรีบหลบหนีการไล่ล่าจากกองทัพขนาดย่อมๆไปตามเส้นทางป่าเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่เหมือนการติดตามจะเป็นการผลักดันให้ไปในทิศทางที่ต้องการ มากกว่าจะบุกเข้าต่อสู้จับกุม กวนอูจึงคาดเดาว่า คนที่รอสกัดอยู่ด้านหน้าต่างหากที่อาจจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของตนเองตามที่คาดการณ์ไว้
สิ่งที่กวนอูคาดคิดไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย ขุนพลประจำทัพรออยู่เบื้องหน้าพร้อมกองทัพจำนวนหนึ่ง ตั้งขวางสะพานข้ามแม่น้ำฮวงโหไว้ แนวเขาสองข้างทาง ยังมีมือเกาทัณฑ์ตั้งแถวง้างเล็งลงมาปิดทางล่าถอยแล้ว
กวนอูจึงเตรียมประกาศเจตนารมย์ตามที่บอกเล่ากับกำฮูหยินไปเมื่อคืน กระชากม้าเซ็กเทาออกมาเบื้องหน้า แต่สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมาย ก็คือ ขุนพลประจำทัพ ถึงกับเป็น แฮหัวตุ้น คู่ปรับเก่า ข้อเสนอมากมายที่ท่องจำเอาไว้เมื่อคืน พลันถูกกล้ำกลืนหายลงไปในลำคอ สำหรับคนผู้นี้ คงไม่ยอมรับการต่อรองของมันอย่างแน่นอน
แฮหัวตุ้นไม่กล่าวคำทักท้วง หรือเกลี้ยกล่อมใดๆ เพียงขยับอาวุธคู่มือออกมาชี้หน้าท้าทาย หวังใช้โอกาสนี้ชำระแค้นส่วนตัวอีกครั้ง กวนอูจึงได้แต่ยกง้าวมังกรเขียวขึ้นเตรียมพร้อม นึกรู้แก่ใจ ถึงชนะขุนศึก ก็มิอาจรอดพ้นห่าเกาทัณฑ์สังหารแน่นอน
ก่อนที่กวนอูจะลงมือตัดสินความเป็นตายกับแฮหัวตุ้น คู่ปรับเก่า เสียงตวาดห้ามดังขึ้น เป็นเตียวเลี้ยวที่กำลังโบกธงสัญญาณเปิดด่านสกัดมาแต่ไกล
“ท่านโจโฉมีคำสั่งให้ปล่อยตัวกวนอูไปตามเส้นทางของมัน" เตียวเลี้ยวหยุดม้าขนาบเคียงข้างกวนอู ทางหนึ่ง ลดแรงกดดันของเกาทัณฑ์ ทางหนึ่ง กระซิบกับสหายรัก “ธงสัญญาณเป็นของปลอม เป็นเราที่แอบอ้างคำสั่งท่านอุปราชเอง"
กวนอูไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ให้เป็นอื่นได้อีก ได้แต่รับน้ำใจมิตรสหาย และยอมตัดใจนำพาพรรคพวกก้าวข้ามสะพานข้ามแม่น้ำฮวงโหออกไปสู่กองกำลังกิจิ๋วอีกฟากหนึ่ง เตียวเลี้ยวยังจงใจ น้อมส่งจนถึงกลางสะพาน จนพ้นระยะยิงเกาทัณฑ์แล้วค่อยหยุดม้า โบกมืออำลาโดยไม่สนใจต่อท่าทีที่แค้นเคืองของแฮหัวตุ้นแต่อย่างใด
เพียงผ่านพ้นสะพานมาได้ไม่นาน เตียวหุย หรือนางแอ่น ซึ่งย้อนกลับมารวมพลรั้งรอที่หน้าด่าน ก็นำกองทัพออกมารับตัวกวนอูและพวก มันย่อมเห็นเหตุการณ์อีกฟากสะพานโดยตลอด และเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือกวนอูอยู่แล้ว หากไม่มีการปรากฏตัวของเตียวเลี้ยว สองกองทัพคงได้เกิดการปะทะกันไปแล้ว
แต่ด้วยความเป็นคนละเอียดรอบคอบ มันสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างกวนอูกับฮูหยินทั้งสอง พอกลับถึงที่พัก จึงนำตัวทั้งสามมาแยกกันเค้นถามจนทราบความสัมพันธ์ลับที่เกิดขึ้นทั้งหมด
นางแอ่นย่อมตระหนักดีถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ดังกล่าว จึงให้ทั้งสามปิดความลับนี้เอาไว้อย่างเด็ดขาด เพราะหากให้เล่าปี่รับรู้ คงต้องเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเป็นแน่แท้ พลังของสามพี่น้องร่วมสาบานอาจล่มสลายไปในคราวนี้
สำหรับกำฮูหยินนั้น ยังคงวิตกกังวลอยู่ การที่ตนเองมีเรื่องอ้ำอึ้งในยามเช้านั้น เพราะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตนมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่กล้าเปิดเผยออกไปให้ใครรับรู้
...
วันรุ่งขึ้น เตียวหุยเสนอให้กวนอู ตามบิต๊ก บิฮอง เข้าไปพบกับเล่าปี่ตามลำพังก่อน โดยปล่อยให้ฮูหยินทั้งสองรั้งรออยู่ที่นี่กับมันเอง เพื่อให้อาซ้อทั้งสองได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเล่าปี่ในยามคับขันจนอาจเก็บความลับไม่อยู่ และให้เล่าปี่ กวนอูมีความคล่องตัวต่อการหลบหนี หากมีเภทภัยจากอ้วนเสี้ยว
แต่ที่จริง เตียวหุยเองก็ต้องการหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับอ้วนเสี้ยว ซึ่งเป็นผู้ทรยศของหน่วยปักษาสวรรค์ หากตนเองเดินเข้าถ้ำเสือไปพร้อมกัน อาจจะถูกกระสาลอบทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันกับที่อีกาโดนทำร้ายไปแล้ว
เมื่อกวนอูแจ้งเข้าพบเล่าปี่ในกองทัพฝ่ายอ้วนเสี้ยว และแจ้งข่าวของเตียวหุยที่รั้งรออยู่ด้านนอกด้วย ทำให้เล่าปี่มีน้ำหนักมากขึ้นในกองทัพทันที เพราะมีขุนพลชั้นเยี่ยมอย่างกวนอู เตียวหุย จูล่ง อยู่ในสังกัด และมีกองกำลังทหารในมือด้วยพอสมควร แต่อ้วนเสี้ยวก็ยังวางใจในระดับหนึ่ง เพราะมีพันธมิตรลับแฝงตัวอยู่ด้วย
ในจังหวะนี้ เขามีกำลังทหารมากพอแล้ว และไม่ต้องการให้กวนอูมีการกระทบกระทั่งกันกับขุนพลอื่นในสังกัดของตนจากการสังหารงันเหลียงบุนทิวครั้งนั้น จึงตัดสินใจสั่งกลุ่มเล่าปี่ทั้งหมดลงไปยึดเมืองชีจิ๋ว เพื่อสร้างเขตแดนเพิ่มพื้นที่โอบล้อมกดดันฝ่ายโจโฉ และประสานงานกับกองทัพเล่าเปียว ซุนกวนทางแดนใต้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ก่อนเดินทาง อ้วนเสี้ยวเพียงสั่งความสั้นๆ ให้จูล่งพยายามจัดการเตียวหุยให้ได้ โดยอ้างว่า เตียวหุยคือตัวแปรที่อาจทำให้เล่าปี่ กวนอูแปรพักตร์ไปได้อีก ซึ่งจูล่งก็รับคำด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเตียวหุยคือศัตรูผู้ฆ่าเตียวก๊ก บิดาบุญธรรมของตนอยู่แล้ว ในยามศึกสงครามเฉพาะหน้า ย่อมมีโอกาสลอบจัดการได้ไม่ยากนัก
แต่เรื่องยุ่งยากที่สุด ก็คือ การรีดเค้นวิธีการผ่านกับดักกลไกพิสดาร เพื่อเข้าสู่ขุมทรัพย์มหาศาลของพรรคฟ้าเหลืองที่มีเพียงดาวร่ำรวย-เตียวหุยกุมความลับนั้นไว้ มิเช่นนั้นแล้ว เตียวหุยคงต้องถูกลอบฆ่าล้างแค้นไปนานแล้ว
...
นอกเมืองเตียงอันฝั่งตะวันตก ขบวนพ่อค้าเร่ร่อนเคลื่อนผ่านทางไปช้าๆ มิคาด กลับมีรถม้าวิ่งสวนทางมาอย่างรวดเร็ว จนมาเทียบข้างกับหัวขบวน ให้จำเพาะหน้าต่างรถม้าตรงกัน ราวกับมีเรื่องราวอันใดว่ากล่าวพูดคุย
เสียงแหบแห้งดังมาจากรถม้าคันที่เร่งรีบ “ทุกอย่างเริ่มเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวอ้าง พี่น้องแตกหักเข่นฆ่ากันแล้ว แล้วนี่ ท่านคิดจะเดินทางไปที่ใดหรือ”
หัวหน้าพ่อค้าเร่ร่อนซึ่งก็คือเตียวล่อแย้มยิ้มพลางกล่าว “บทละครเพิ่งดำเนินมาถึงแค่ต้นเรื่อง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายค่อยๆปรากฏ เราต้องยอมให้บางเรื่องเกิดขึ้น บางเรื่องพลิกผัน ยังไม่อาจแทรกแซงเรื่องปลีกย่อย จนทำให้เรื่องใหญ่ผิดพลาดไปอีก”
เจ้าของเสียงแหบแห้งร้อนใจ รีบยื่นหน้าออกมาถามไถ่ ถึงกับเป็นกาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจที่ได้รับคำสั่งให้มาช่วยควบคุมพื้นที่ชายแดนตะวันตก “แต่นั่นหมายถึงชีวิตของพี่น้องพวกเราเลยนะ หรือว่าเจ้าคิดจะเสียสละผู้คน ดั่งหมากเบี้ยในกระดาน”
“ใจเย็นก่อน ท่านกระตั้ว” เตียวล่อยังคงสงบนิ่ง คล้ายคนผ่านประสบการณ์เกินกว่าวัย “จุดวิกฤตยังไม่มาถึง เราจำต้องปล่อยให้เหตุการณ์มันลื่นไหลไปเช่นนี้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น สุดท้ายต้องได้รับการชดใช้อย่างแน่นอน”
กาเซี่ยงจ้องตาฝ่ายตรงข้ามนิ่ง คล้ายพยายามคาดเดา แต่เตียวล่อกลับโบกมือให้รถม้าขับอ้อมเมืองไปทางเหนือเสียแล้ว มันจึงได้แต่สั่งให้รถม้าเดินทางกลับเมือง
ไม่ทราบว่า กาเซี่ยงกับเตียวล่อสุมหัวก่อการอันใด แล้วเตียวล่อล่วงรู้รหัสลับพวกปักษาสวรรค์ราวกับคุ้นเคยได้เช่นไรกัน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา