Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
27 ก.พ. 2021 เวลา 04:43 • นิยาย เรื่องสั้น
2.9. บันทึกข้ามกาลเวลา
การเวก 0 ผู้นำองค์กรป่วนอดีต - กระสา (อ้วนเสี้ยว) 3 จอมทัพ - รอยสักองค์กรป่วนอดีต
ค่ำคืนเดียวกันหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารอันวุ่นวาย อ้วนเสี้ยวนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งยังฝึกฝนอยู่ในหน่วยปักษาสวรรค์ อินทรี กระเรียน กระสา เป็นสามคนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน และมีอาวุโสกว่าคนอื่นๆขั้นหนึ่ง
อินทรีพี่ใหญ่ เย็นชา ลึกซึ้ง และเด็ดขาด เป็นที่น่ายำเกรงที่สุด กระเรียนพี่รอง สุขุม หนักแน่น แต่อารมณ์รุนแรง ยากจะเข้าถึง ส่วนตัวมันกลับเป็นที่รักใคร่ของน้องๆเพราะกล้าได้กล้าเสีย สนุกสนานไม่ถือตัว รวมทั้งเป็นผู้ฝึกสอนในวิชาการต่อสู้บางอย่างเองด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่งในชั่วโมงการต่อสู้ มันเปิดประเด็นให้ลองหาทางกำราบคนในหน่วยด้วยกันเอง การจัดการกับคนธรรมดาไม่ยากนัก จนมาหยุดลงที่สามคนสายพิสดารประจำหน่วย ซึ่งมีคนเสนอมาได้ไม่เลวเลย เช่น นักพรางกายให้ใช้แสงไฟและก้อนกรวด คนเรียกลมฝนให้ใช้ความเร็วลงมือ เป็นต้น แต่คนที่สาม ซึ่งหมายถึงอินทรีพี่ใหญ่นั้น ยังคิดไม่ตกว่าสมควรจัดการเช่นไร นอกเสียจากให้อยู่ห่างๆเข้าไว้
นึกไม่ถึง การพูดคุยประสาเพื่อนในวัยเยาว์ จะกลายมาเป็นอาวุธในการประหัตประหารกันไปได้ และผลงานก็ออกมาสำเร็จตามความคาดหมายจริงๆ
กระเรียนและอีกาจบสิ้น เหยี่ยวดำสมควรจ่อรอที่ด่านสุดท้ายแล้วเช่นกัน
...
อ้วนเสี้ยวรับฟังรายงานการหลบหนีของคนร้าย จึงสั่งการให้หน่วยล่าสังหารออกไปจัดการกับนกฮูกและเหยี่ยวดำให้สิ้นซาก หวังปิดฉากหน่วยปักษาสวรรค์รุ่นปัจจุบันให้ได้มากที่สุดก่อนที่คนที่เหลือจะทันรู้ตัว นักฆ่าอันดับหนึ่งที่ถูกเกาทัณฑ์สังหารปักทะลุทั่วร่าง สมควรรับมือได้ไม่ยากแล้ว
มันเพิ่งได้ล้มตัวลงนอน เพียงชั่วครู่หนึ่ง ก็รู้สึกได้ถืงคมกระบี่ที่จ่ออยู่ที่ลำคอ อ้วนเสี้ยวค่อยๆลุกขึ้นมองผู้บุกรุกในชุดรัดกุมที่มีผ้าปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งอย่างเงียบงัน นัยน์ตาฝ่ายตรงข้ามไร้ซึ่งรังสีฆ่าฟัน แต่กลับมีความสับสนปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ บางที มันอาจจะมีชีวิตรอดได้หากเข้าจับจังหวะได้ถูกต้อง
“เจ้าเป็นใคร เหตุไรจึงลอบเข้ามาในกระโจมที่พักของข้า” อ้วนเสี้ยวเริ่มการเจรจา ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มีอำนาจตามรูปลักษณ์ที่ปรากฏ
“ข้าคือการเวก หัวหน้าหน่วยตาข่ายฟ้าดิน หรือองค์กรลับที่ท่านรู้จักในนาม “องค์กรป่วนอดีตเพี้ยนตำนาน” ไงเล่า ท่านนกกระสา” มันกล่าว
กระสาเคยพบเห็นร่องรอย และต่อสู้กับคนขององค์กรป่วนอดีตมาบ้างแล้ว ยังเคยประเมินในหมู่ปักษาด้วยกันว่า คนพวกนี้แม้จะมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ แต่ฝีมือกลับอ่อนด้อย ไม่อาจต่อสู้ทัดเทียมกับฝ่ายตนเลยแม้แต่น้อย พอได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามคือหัวหน้าใหญ่ และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมัน จึงรีบประเมินฝ่ายตรงข้ามเสียใหม่
“หน่วยงานของเจ้าใช้รหัสเป็น นกการเวก (ปักษาสวรรค์ - Bird of Paradise) รึ”
“พวกเราทั้งสองหน่วยงานอยู่ภายใต้โครงการสามก๊กมาตั้งแต่ต้น ขอให้ท่านจงระงับการขัดขืนต่อสู้ และค่อยๆพิจารณาจากหลักฐานสิ่งนี้เถิด” หัวหน้าการเวกลดกระบี่ลงเล็กน้อย พลางยื่นม้วนไม้ไผ่เก่าสีซีดให้อ่าน บนม้วนไม้ไผ่ปรากฏรอยสักประหลาด คล้ายต้นไม้โบราณที่เป็นสัญลักษณ์ขององค์กรป่วนอดีตอยู่ แต่ดูออกว่า มีความแปลกตาออกไปบ้างเล็กน้อย คล้ายกลุ่มก้อนของหยดหมึกสีดำจาง
อ้วนเสี้ยวรับมาตรวจดูสัญลักษณ์อีกครั้ง ก่อนคลี่ออกอ่านอย่างสนใจใคร่รู้เรื่องราว ม้วนไม้ไผ่บันทึกไว้เป็นใจความ ดังนี้
“เราคือนายทหารหน่วยพิเศษสังกัดกลุ่มนักเดินทางย้อนกาลเวลา ถูกส่งตัวให้มาทำภารกิจสำคัญในช่วงยุคปลายราชวงศ์ฮั่น เพื่อแก้ไขอดีตที่ถูกทำลาย และป้องกันการก่อกวนที่อาจจะเกิดขึ้นของพวกวายร้ายองค์กรย้อนอดีตที่มุ่งหวังกำจัดคนสำคัญต่างๆในยุคสมัยโบราณ แต่การเดินทางในครั้งนี้ยาวนานยิ่งนัก เพราะจำเป็นต้องใช้เวลาในการควบคุมสถานการณ์อย่างละเอียดรัดกุมอย่างที่สุด
เราเดินทางมาทั้งหมดสิบสามคน แบ่งออกเป็นสามกลุ่มสามช่วงเวลา ต่างคนต่างไม่รู้ภารกิจในรายละเอียดของผู้อื่น เพียงแต่สามารถติดต่อปรึกษากันได้หลังจากพบปะกันในอดีตกาล แต่ละคนจะเข้ามาทดแทนตัวละครที่มีบทบาทสำคัญต่อการพลิกผันเหตุการณ์ยุคสามก๊ก พวกเราจึงใช้ชื่อนี้ในการเรียกหาโครงการลับดังกล่าว
เราสวมบทบาทเป็นอ้วนเสี้ยว ขุนศึกคนสำคัญแห่งยุค พบเห็นความยากลำบากของราษฎรมานับแรมปี ภารกิจเริ่มส่อเค้าล้มเหลว เรื่องราวสับสนไปจากที่ควรจะเป็น จึงเกิดแรงบันดาลใจ หวังพลิกฟ้าเปลี่ยนแผ่นดินผ่านตัวละครตัวนี้เสียเอง จนสามารถยึดครองดินแดนตอนบนได้ทั้งหมด ตั้งตนเป็นอ๋องอ้วนเสี้ยวได้แล้ว
ในที่สุด เราเองคือต้นเหตุของการสิ้นสุดชีวิตของบุคคลสำคัญหลายคน อย่างเช่น โจโฉ เหี้ยนเต้ เล่าปี่ และซุนกวน อีกทั้งขุนนางนายทหารมากมาย แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการลงมือของเราเอง หรือองค์กรวายร้ายนั้นก็ตาม ใครว่าคนโบราณไม่ร้ายกาจ อย่างน้อย เราคนหนึ่งที่ไม่เชื่อถ้อยคำเช่นนั้นอีกแล้ว
เปลือกนอกนั้น ก๊กของเราต่อสู้กับโลซกแห่งง่อก๊ก และขงเบ้งแห่งจ๊กก๊ก เป็นเวลายาวนานนับสิบปี แต่ที่จริงแล้ว ตัวของเราเอง กลับกลายเป็นเพียงคนพิการ เป็นอัมพาตไปครึ่งซีกร่างด้วยพิษร้ายลึกลับ นับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดศึกใหญ่กัวต๋อที่ชี้ชะตากรรมกับโจโฉแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับการยกย่องเชิดชูว่าเป็นผู้นำที่ได้ชัยในศึกชี้ชะตาฟ้าดิน เพื่อเป็นก้าวแรกของการสานแผ่นดินจีนให้กลับคืนเป็นหนึ่งเดียว
ถูกต้อง อ๋องอ้วนเสี้ยวผู้ยิ่งใหญ่ ที่จริง กลายเป็นแค่เพียงหุ่นเชิดมาตั้งแต่ต้น ตันก๋ง กับ จูล่ง ต่างหากที่ร่วมมือกันยึดอำนาจของเราไปตั้งแต่ตอนที่ทำศึกกัวต๋อ ตามล่าสังหารโจโฉ และบุกเข้าเมืองหลวงยึดอำนาจมาจากเหี้ยนเต้ได้แล้ว
พวกมันจึงเป็นนกกระสาตัวจริง เสียงจริง เพราะพวกมันยึดกุมตัวเราไว้เป็นหุ่นเชิด กำจัดทายาทคนสนิทของเราทั้งหมด และคอยบงการเรื่องราวต่างๆทั้งปวง หลงเหลือเพียงคนพิการคนนี้ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจขุนนางนายทหารภายในก๊กของเราแทน
ถึงแม้ว่าพวกตระกูลสุมาจะตั้งตนเป็นศัตรูก่อกวนทั้งเปิดเผยและเร้นลับอยู่หลายครั้งหลายคราว แต่ก็ยังไม่เคยประสพผลสำเร็จแต่อย่างใด จนบัดนี้ หวังว่า คนรุ่นใหม่ของตระกูลสุมา จะทำสำเร็จได้เกินกว่าบรรพบุรุษของมันบ้าง
สำหรับตัวข้าเองสำนึกในความผิดพลาดที่ตัวเองเป็นตัวแปรสำคัญในการบุกเข้ายึดอำนาจจากโจโฉ และเหี้ยนเต้ โดยไม่ทันระวังภัยใกล้ตัว ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป จนกลายเป็นตราบาปของตนเอง และยังตกอยู่ในสถานะคล้ายกันกับเหี้ยนเต้ในอดีตกาลไม่ผิดเพี้ยน เป็นเพียงหุ่นเชิดให้กับตัวละครเงาที่ร้ายกาจ
ในวันนี้ โชคดียิ่งนักที่ข้าได้พบกับพี่น้องหน่วยปักษาสวรรค์ที่เหลือรอดชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง หนทางการแก้ใขความผิดพลาดของเราได้มาถึงแล้ว ข้าจึงขอยุติชีวิตของข้าลงพร้อมกับบันทึกม้วนไม้ไผ่นี้ และหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถยับยั้งเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดนี้ลงได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
เวลาเท่านั้นคือบทพิสูจน์
ลงชื่อ กระสา – อ๋องอ้วนเสี้ยว”
อ้วนเสี้ยวพิจารณาร่องรอยช่วงสุดท้ายของบันทึก และพลิกม้วนไม้ไผ่กลับไปมา ที่แท้ น้ำหมึกบริเวณที่ลงชื่อสุดท้ายไหลเปรอะเปื้อนไปทางอีกด้านหนึ่งของม้วนไม้ไผ่ กลับไหลไปปรากฏเป็นรูปร่างของรอยสักประหลาดที่พวกองค์กรป่วนอดีตใช้เป็นรหัสประทับบนข้อมือนั่นเอง เป็นรอยหยดหมึกที่ไหลเยิ้มเป็นเส้นสาย
หรือว่าข้อความดังกล่าวทั้งหมดเป็นความจริงเช่นนั้น เป็นตัวมันเองเขียนหนังสือเหล่านี้ขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้เองจริงๆหรือ แต่มันเขียนด้วยความสำนึกผิด ความอัดอั้นตันใจ หรือเพราะสาเหตุอันใดกัน
“...หวังว่าจะมีใครสักคนสามารถยับยั้งเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดนี้ลงได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ก็ตาม..." อ้วนเสี้ยวรู้สึกเหมือนจะมีความนัยอะไรสักอย่างซ่อนเร้นอยู่ในเนื้อความตอนท้ายของจดหมายนี้ “...ใครสักคน...”
...
อ้วนเสี้ยวนิ่งไปพักใหญ่ จนได้ยินเสียงกระแอม ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วเจ้าได้บันทึกนี้มาอย่างไร” อ้วนเสี้ยวสอบถาม
“ท่านเป็นผู้มอบบันทึกนี้ให้กับสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์คนสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่จากการแฝงตัวอยู่ยาวนาน ซึ่งก็สุดวิสัยจะแก้ไขเหตุการณ์ใดๆแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาต่อมา ก็คือ จักรวรรดิจีน รวมถึงประเทศแถบตะวันออกที่ล่มสลายไปหมดสิ้นเป็นลูกโซ่
เนื่องจากไม่มีเหตุการณ์สามก๊กเป็นต้นแบบการศึกสงคราม และการบริหารจัดการให้ศึกษา เหตุการณ์สามก๊กในรูปแบบของอ้วนเสี้ยว-โลซก-ขงเบ้ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเมือง การจารกรรม และความเชือดเฉือนกันในทางลับ แตกต่างไปจากรูปแบบของโจโฉ-เล่าปี่-ซุนกวน ที่มีสีสันของการศึกสงคราม ชื่อเสียงของนักรบผู้กล้า และการต่อสู้ทางความคิดของกุนซือทั้งหลาย จนคุณค่าทางการทหารของเหตุการณ์สามก๊กลดด้อยลงไปกว่าเดิมมากนัก และกลืนหายไปในประวัติศาสตร์จีน ไม่ต่างจากช่วงเวลาสมัยชุนชิวจ้านกั๋วแต่อย่างใด
ด้วยผลกระทบครั้งนี้ ทำให้ประวัติศาสตร์ทางตะวันออกบันทึกว่า นักปกครองประเทศจีนในรุ่นต่อๆไปนี้ไม่มีต้นแบบการสงครามให้ศึกษากัน และในที่สุด เมืองจีนก็ถูกพวกชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือผลัดเปลี่ยนกันยึดครองดินแดนไปเป็นเวลายาวนานตั้งแต่สิบอาณาจักร ห้าราชวงศ์ ก่อนที่จะถูกกลุ่มพันธมิตรแดนไกลทางตะวันตกรุมแย่งชิงอำนาจไปในที่สุด ราชวงศ์ สุย ถัง ซ้อง หงวน เหม็ง เช็ง ที่เคยเกรียงไกร ไม่เคยปรากฏขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ เมืองจีนไม่เคยยิ่งใหญ่ได้เกินกว่าราชวงศ์ฮั่นอันเก่าแก่นั้นเลย และไม่เคยได้เป็นอาณาจักรกว้างไกลแม้สักช่วงเวลาเดียว”
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอื่นๆทางเอเชียอาคเนย์ หรือประเทศราชต่างๆที่เกิดขึ้นมาใหม่ในดินแดนตงหงวนในอดีตกาล ก็ล้วนสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งสิ้น กลายเป็นเพียงอาณาเขตรกร้างป่าเถื่อนให้ชนชาติตะวันตกเข้ามาครอบครองช่วงชิงทรัพยากรมีค่ากลับไป ชนชาวฮั่นได้แต่ก้มหน้ารับใช้ฝรั่งตาน้ำข้าว และคนผิวสีต่างแดนตลอดมา”
หัวหน้ายังกล่าวต่อไปว่า “ที่จริงแล้ว บันทึกนี้หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน และถูกค้นพบขึ้นในช่วงเวลาที่แท้จริงของพวกเรา แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางด้านรายละเอียดอยู่บ้างหลายจุด แต่ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทายาทชาวตะวันออกทั้งหลายมีความหวังเกิดขึ้นอีกครั้ง ทฤษฏีโลกคู่ขนานถูกหยิบยกขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียด จนผลักดันให้เป็นโครงการลับสุดยอดในหน่วยงานราชการทหารที่มีแต่ชนชาวตะวันออกสังกัดอยู่
โดยพวกเขาร่วมมือกันตีความบันทึกดังกล่าว และช่วยกันสร้างองค์กรลับขึ้น เพื่อกลับไปจัดการกับเหตุการณ์ที่พลิกผันในอดีตเฉพาะตรงจุดเปลี่ยน ซึ่งก็คือ การส่งท่านกลับไปยังช่วงเวลาเดิมของจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ตามแผนการเดิมของโลกท่าน และคาดหวังให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น หวังจะก่อให้เกิดโลกคู่ขนานที่ชนชาติตะวันออกกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง”
อ้วนเสี้ยวพยายามเรียบเรียงลำดับเนื้อหาที่ได้รับฟังจากหัวหน้าหน่วยลึุกลับ เทียบเคียงกับข้อมูลเดิมที่มันเคยรับรู้มาทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งที่จริงก็คือ อดีตบางส่วนของมันเองเช่นกัน ภาพต่อโยงดูสับสนปนเปกันไปหมด ราวกับสัญลักษณ์เลขแปด อินฟีนิตี้ ที่ถูกบีบกดให้กลายเป็น หยินหยาง ในที่สุด
เจ้าของรหัสการเวกแห่งองค์กรป่วนอดีต จึงอธิบายเสริมขึ้นอีก “ท่านกระสา พวกเราพยายามจัดฉากผลักดันให้หน่วยปักษาสวรรค์ทำงาน และมีความคิดเป็นอิสระ ภายใต้กรอบการตัดสินใจที่คำนวนไว้ก่อนหน้าแล้ว การสร้างองค์กรป่วนอดีตเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้พวกท่านร่วมมือกันทำงานให้บรรลุภารกิจในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ เราจึงไม่ได้สร้างคนเก่งกาจให้กลับมาเป็นปัญหาของพวกท่าน เพียงแต่จัดคนร้ายให้มาก่อกวน และผลักดันให้พวกท่านก้าวหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่ท่านมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ เป็นจุดเริ่มต้นของโลกคู่ขนานใบใหม่ที่พวกเรารอคอยมายาวนาน”
อ้วนเสี้ยวคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว จากบันทึกนี้แสดงว่าตัวมันเองจะทำผิดพลาด เพราะถูกพิษร้ายลึกลับ และตันก๋ง จูล่ง และพวกตระกูลสุมา จะเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนองค์กรป่วนอดีตและองค์การย้อนเวลาทะลุมิติเป็นสองหน่วยงานในโครงการเดียวกัน
การเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นขององค์กรป่วนอดีต หรือหน่วยงานตาข่ายฟ้าดินนั้น เพียงเพื่อส่งตัวมันกลับมายังจุดที่เป็นปัญหา มิน่าเล่าที่คนขององค์กรนี้จึงอ่อนด้อยฝีมือนัก เพราะพวกนั้นก็แค่เหยื่อล่อผลักดันให้เขามาปรากฏกายขึ้นอย่าง “ถูกที่ ถูกเวลา” เพื่อทะลุจากวังวนแห่งกาลเวลาเท่านั้นเอง
ตัวมันเอง คือ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของปัญหาทั้งหมดไปแล้ว นกกระสา จอมทัพแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ มันจำต้องตัดสินใจให้ดีที่สุด
…
“ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรต่อไปหรือ” กระสา-อ้วนเสี้ยว เปิดใจลองไต่ถามดู ถึงกับเริ่มเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกหาแล้ว
“รูปแบบที่เหมาะสมที่สุดก็คือการพ่ายแพ้ในสงครามต่อโจโฉอย่างพินาศย่อยยับ ขุมกำลังอ้วนเสี้ยวที่มีเปรียบทุกด้านทุกประเด็น แต่กลับสะดุดขาตัวเองอย่างน่าเสียดาย ทำให้ขุนพลกุนซือที่เก่งกาจในกำมือ ต้องแตกกระจายแยกย้ายกันไปอยู่ตามก๊กอื่นๆ จนเกิดสมดุลย์ทางการเมืองใหม่
และแล้ว สงครามการแย่งชิงแผ่นดินจะเกิดขึ้นอีกหลายสิบปี จนกว่าจะมีคนเก่งมีความสามารถในรุ่นหลังก้าวขึ้นมาเกาะกุมสถานการณ์แผ่นดินเอาไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว” หัวหน้าระมัดระวังคำพูดมากขึ้น หลีกเลี่ยงการระบุชื่อตัวละครออกมา
กระสารับฟังด้วยความเจ็บปวดภายในใจ เรื่องราวดังกล่าวเคยโลดแล่นวนเวียนอยู่ในหัวสมองของมันมาหลายปีแล้ว ในเมื่อต้องมีใครสักคนก้าวขึ้นมาครองแผ่นดิน ทำไมไม่ควรเป็นมันที่มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ทำไมต้องรอคอยอีกหลายสิบปี และสุดท้าย ทำไมมันจะต้องแกล้งพ่ายแพ้ให้ยืดเยื้อต่อไป
…
กระสานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่มันเคยย้อนเวลากลับไปทั้งสองครั้ง ครั้งแรก คือ เหตุการณ์นักฆ่าในตำนาน เก๋งคอ (จินเคอ) บุกเดี่ยวลอบสังหาร จิ๋นซีฮ่องเต้ มันปลอมแปลงตนเองเป็นนายทหารปะปนอยู่ในท้องพระโรง คอยจับตาดูกระเรียนที่ใช้เครื่องอำพรางกาย ลงมือขัดขวางเก๋งคอด้วยมือเปล่า เรื่องราวน่าจะจบลงง่ายๆแค่นั้น เพราะไม่มีใครมองเห็นร่างกายล่องหนของเซียนผู้วิเศษ
หากแต่มีกลุ่มนักฆ่าทิ้งตัวลงมาจากขื่อเพดานอีกสามคน เผอิญหล่นลงมากระแทกกระเรียนจนหัวแตกสิ้นสติ มันเองในคราบนายทหารจึงต้องพุ่งตัวเข้าสังหารคนทั้งสามด้วยมือเปล่า ในขณะที่นักฆ่าเก๋งคอลงมือกับกษัตริย์จิ๋นซีได้หลายครั้งหลายแผล ก่อนที่มันจะหันกายกลับมาช่วยต้านรับ จนเก๋งคอถูกรุมสังหารได้อยู่ดี
ตัวมันคว้าร่างอำพรางกายของกระเรียน อาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวาย หมายหลบหนีออกมาจากท้องพระโรง แต่รอยเลือดเป็นทางยาวกลายเป็นสาเหตุให้จอมกษัตริย์ฟาดฟันอาวุธสะเปะสะปะใส่พวกมันได้อีกหลายแผล จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ได้อินทรีย้อนเวลาตามมาช่วยเหลือนอกบทในภายหลัง
ใช่สินะ ในโลกคู่ขนานใบหนึ่ง ตัวมันกับกระเรียนคงตายไปพร้อมกับนักฆ่าเก๋งคอแล้ว คนในอนาคตจึงได้รับรู้ และกลับไปแก้ไขในจุดเวลาที่ผิดเพี้ยนไปได้ทันการณ์
…
อีกครั้งหนึ่ง ในเหตุการณ์หานซิ่นยกทัพมาช่วยเล่าปังรบชนะฌ้อปาอ๋อง มันกับอินทรีพบว่า หานซิ่นได้รับแรงสนับสนุนรอบข้างให้ขึ้นเป็นอ๋องแทนที่เล่าปัง จึงจัดทัพรั้งรอเวลา หมายให้เซี่ยงอวี่สังหารเล่าปังให้ได้เสียก่อนค่อยบุกโจมตีตามหลัง
อินทรีต้องประชิดตัว เพื่อใช้พลังพิเศษจัดการต่อหานซิ่นให้เปล่ี่ยนใจ คนโบราณไม่สมควรสังเกตออก แต่ทหารองครักษ์ข้างกายสี่คนกลับเหมือนเข้าใจเรื่องราว รีบลงมือขัดขวาง ทำให้พวกมันสองคนต้องเผยโฉมแสดงฝีมือสยบพวกมัน และทำให้ภารกิจจบสิ้นแบบทุลักทุเลอีกครั้ง เพราะต้องฟันฝ่ากองทัพหานซิ่นอีกตั้งมากมาย
มันย้อนคิดถึงสองเหตุการณ์ที่พวกมันกลับไปสอดแทรกลงมือ หากจิ๋นซีถูกเก๋งคอลอบฆ่า ย่อมไม่เกิดราชันย์จอมโหดที่ทำร้ายผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสน หากเล่าปังถูกเซี่ยงอวี่สังหาร ย่อมไม่เกิดปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์ที่อ่อนแอเหลวไหล การกระทำตามบริบทดั้งเดิมของพงศาวดาร อาจจะถูกต้อง แต่ถูกใจประชาราษฎร์จริงหรือไม่ ใครสมควรเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของผู้คนทั้งแผ่นดินกันแน่
...
มองเห็นขุนศึกอ้วนเสี้ยว-กระสาขบคิด พลางถอนหายใจ วางบันทึกม้วนไม้ไผ่ไว้โต๊ะด้านข้างแล้ว ทำให้หัวหน้าองค์กรลับเริ่มคลายความเคร่งเครียดลง งานภาคสนามเป็นงานที่หนักหนาสาหัสจริงๆ โดยเฉพาะกับตัวเขาเองที่ไม่เคยต้องลงมือทำด้วยตนเองมาก่อน ยิ่งเมื่อกระสาโบกมือให้นั่งลงพูดคุย เขาจึงคล้ายหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการที่มองไม่เห็น พลอยลากเก้าอี้มานั่งบ้างแล้ว แต่ยังไม่กล้าลดกระบี่ที่เริ่มหนักอึ้ง ลงจากลำคอฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆที่เมื่อยล้าเต็มทีแล้ว
เขาปลดผ้าปิดหน้าตัวเองออกให้หายใจได้เต็มท้อง เห็นเป็นชายหนุ่มที่คุ้นตาสำหรับอ้วนเสี้ยว แต่ยามกระทันหัน ยังไม่ทันนึกออก พอสังเกตจากเค้าหน้าที่ซีดขาวได้ว่า เป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ น้อยครั้งจะออกมารับแสงแดด ไม่ใช่คนในยุคสมัยโบราณที่มีใบหน้าหยาบกร้านด้วยแสงแดด และฝุ่นผงมากกว่ากันอย่างเด่นชัด แสดงว่า คนผู้นี้เป็นพวกนักวิจัยวางแผนที่เพิ่งย้อนเวลากลับมาในจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ตามที่บอกเล่าจริงๆ
ใช่แล้ว เขาคือบุรุษหนุ่มที่เข้ามาปรึกษางานกับสตรีหัวหน้าหน่วยของเขา หลังจากที่หน่วยปักษาสวรรค์ทั้งหมดเดินทางย้อนเวลามาแล้ว และแอบติดตามมาด้วยเครื่องย้อนเวลา ก่อนเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ทำลายเครื่องย้อนเวลา และห้องทดลองไปจนหมดสิ้นนั่นเอง หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ อ้วนเสี้ยว นกกระสา และสมาชิกหน่วยปักษาคนอื่นๆ ไม่ได้รับรู้ เพราะเขาทำงานเบื้องหลังให้กับองค์กรมาโดยตลอด
บันทึกม้วนไม้ไผ่เป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในป้ายหินแกะสลักหน้าวัดเส้าหลินแห่งเขาซงซาน เนื้อหาคร่าวๆเป็นคำบรรยายความรู้สึกของขุนศึกอ้วนเสี้ยวที่พลาดพลั้งทำลายโครงสร้างประวัติศาสตร์ จนทำให้พวกเขาในอนาคตช่วยกันหาทางย้อนเวลากลับมา เพื่อแก้ไขเรื่องราวให้กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม
หากแต่ส่วนสำคัญกลับอยู่ที่บันทึกแนบท้ายที่ถูกเขียนไว้ด้วยน้ำหมึกล่องหน ซึ่งระบุชัดเจนให้เขาต้องเป็นผู้กลับมาจัดการเรื่องราวกับกระสาด้วยตนเอง ชื่อแซ่ของเขาถูกเขียนซ่อนไว้ในส่วนท้ายของบันทึกม้วนไม้ไผ่ ราวกับเป็นลิขิตจากสรวงสวรรค์
บรรพบุรุษของเขากำหนดให้ตัวมันเป็นผู้แก้ไขเหตุการณ์ยุ่งเหยิงครั้งนี้ล่วงหน้ามาเป็นร้อยๆปีได้อย่างไร ไม่มีใครตอบได้ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน คนธรรมดาๆจะล่วงรู้ได้อย่างไรว่า ทายาทถัดลงมาหลายรุ่นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานวิจัย และอยู่ร่วมในเหตุการณ์ค้นพบหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ด้วย
คำตอบเดียวที่พออธิบายได้ก็คือ เล่ห์กลของกาลเวลา พวกเขาทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาคู่ขนานที่หมุนวนทับซ้อนกันอยู่ไม่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ หากแต่เหตุการณ์หนึ่งจะส่งผลกระทบต่ออีกเหตุการณ์หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะมีใครสามารถคลี่คลายโจทย์แห่งเส้นเวลาได้สำเร็จ
ตัวเขา บรรพชน และกระสา คงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โจทย์บางส่วนคลี่คลาย จึงได้มีชื่อปรากฏให้เห็น แต่หากไม่กระทำอะไรสืบต่อ เค้ามูลร่องรอยที่มีก็อาจจะหายสาบสูญไปในวงจรรอบต่อไป แล้วทุกอย่างต้องเริ่มต้นกันใหม่ ดังนั้น งานนี้จึงมีแต่ต้องเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกกำหนดมา แล้วค่อยดูเงื่อนไขที่เกิดขึ้นเป็นเปลาะๆไป
เป็นเวลายี่สิบกว่าปีที่เขาได้ร่วมในโครงการพิเศษนี้ เริ่มต้นจากนักวิจัยผู้ช่วยก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยลับ มีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อโครงการสามก๊กแค่รองจากผู้อำนวยการใหญ่เพียงคนเดียว และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เพียงเพราะเนื้อหาที่ซ่อนตัวอยู่ในบันทึกม้วนไม้ไผ่ชิ้นนั้น เป็นบันทึกลับที่ข้ามกาลเวลากลับมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย