Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
28 ก.พ. 2021 เวลา 00:33 • นิยาย เรื่องสั้น
2.10. ใจคนยากคาดเดา
สองพี่น้องอำมหิต ชัวเตี๋ย ชัวมอ - เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว
“ที่แท้ เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้” อ้วนเสี้ยวกล่าวพึมพำซ้ำขึ้นหลายรอบ คล้ายขบคิดความนัยที่ซ่อนเร้นในบันทึกเก่าซีดนั้น ในขณะที่หัวหน้าการเวกที่อ่อนประสบการณ์สนามเริ่มผ่อนคลายตัวเองจนเกินขีดความปลอดภัยไปเสียแล้ว
ฉับพลัน อ้วนเสี้ยวก็เบี่ยงกายไปชักกระบี่ประจำตัวที่แขวนไว้ด้านข้าง หมุนตัวกลับมาแทงทะลุกลางหน้าอกของการเวกในทันที พลางกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นบันทึกนี้จริงๆ ก็แสดงว่า ตัวข้าในอนาคต ต้องการให้แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดด้วยตัวของข้าเองไงเล่า มันจึงใช้คำว่า เรา ในช่วงแรก คำว่า ข้า ในส่วนท้ายของจดหมาย เพื่อส่งรหัสลับให้กับตัวข้าเอง ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องขอบใจพวกเจ้ายิ่งนักที่ทำให้ข้าหลุดพ้นวังวนแห่งกาลเวลาไปอีกเปลาะหนึ่งจนได้”
ความรวดเร็วของนักรบภาคสนาม ย่อมเกินกว่าที่คนนั่งห้องวิจัยจะตามได้ทันท่วงที แม้ว่าจะถือกระบี่จ่อติดกับเป้าหมาย ก็ยังถูกสอนเชิงได้อย่างเจ็บปวดยิ่งนัก จนกระบี่หลุดร่วงจากมือไปเมื่อไรไม่ทันรู้ตัว ตนเองถูกแทงทะลุหน้าอก แต่ยังไม่ตายในทันที แสดงว่า ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวว่าได้เปรียบ ต้องการเก็บชีวิตเขาไว้เพื่อรีดเค้นข้อมูลเพิ่มเติมอีกสักระยะหนึ่ง
การเวกจ้องมองอ้วนเสี้ยวอย่างไม่เชื่อในสายตา เขารีบคว้าบันทึกม้วนไม้ไผ่กลับไป และกล่าวทิ้งท้ายก่อนร่างกายจะเลือนรางหายไป “ท่านถลำลึกเกินไปจริงๆ แต่ท่านก็พลาดท่าถูกพิษร้ายลึกลับตามในบันทึกนั้นเสียแล้ว หากท่านพูดคุยกันเข้าใจ ก็จะได้รับยาถอนพิษ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชะตากรรมก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรอก”
ลักษณะการเลือนหายไปเช่นนี้ของหัวหน้าองค์กรป่วนอดีตเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่คนในองค์กรย้อนเวลาทะลุมิติใช้ เมื่อจะย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาที่จากมา แสดงว่าการเวกต้องเป็นคนในหน่วยงานเดียวกันจากอนาคตอย่างแท้จริงแล้ว อ้วนเสี้ยว-กระสาพยายามขว้างกระบี่เข้าใส่เป้าหมาย แต่ไม่อาจยับยั้งการใช้เครื่องย้อนเวลาเสียแล้ว ทำให้สภาพร่างกายของการเวกเลือนรางไปทีละส่วนอย่างรวดเร็ว
อ้วนเสี้ยวรีบยื่นมือไปแย่งชิงบันทึกปริศนา เพื่อนำมาศึกษายาพิษที่ใช้ แต่ก็ไม่ทันเช่นกัน มันได้แต่จ้องมองม้วนไม้ไผ่ที่กำลังเลือนหายไปเช่นกัน พร้อมกับสังเกตเห็นสีเขียวเรืองแสงบางเบาบนบันทึกม้วนไม้ไผ่ที่สะท้อนล้อกันกับแสงไฟภายในกระโจม นั่นคงเป็นสีสันของยาพิษที่เคลือบฉาบอยู่บนบันทึกลับ
กระสากลับมามองดูที่มือมันเองทั้งสองข้าง ก็มีสีเขียวเรืองแสงเช่นเดียวกัน มันพลาดไปเสียแล้ว กระสาได้แต่ตัวสั่นสะเทิ้มด้วยความโกรธแค้นที่พลาดท่าเสียทีต่อกลลวงของชายหนุ่มร่่างบอบบางที่อ้างตัวเป็นหัวหน้าหน่วยองค์กรป่วนอดีตเพี้ยนตำนาน และหยิบยื่นบันทึกเคลือบยาพิษมาให้มันถึงที่นอน
มิน่าเล่าที่นกการเวกซึ่งดูเปราะบางถึงต้องมาลงมือด้วยตัวเอง เพราะคนที่ดูอ่อนด้อยเช่นนี้ จึงทำให้มันไม่ระแวงในฝีมือ จนเข้าใกล้ตัวมันโดยสะดวก และทำให้มันตกหลุมพรางได้อย่างง่ายดาย กระสาเอ๋ย เจ้าประมาทเกินไปแล้วจริงๆ
...
ขุนพลเตียวคับค่อยๆถอยกายออกห่างจากกระโจมของอ้วนเสี้ยว โดยไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ โชคดีนักที่มันคิดจะเข้าไปรายงานการติดตามคนร้ายที่หลบหนีไปได้ในยามค่ำคืนนี้ จึงมาได้ยินความลับแปลกประหลาดในครั้งนี้โดยตลอด แม้ว่าบางเรื่องบางประการ มันไม่เข้าใจชัดเจนนัก โดยเฉพาะเนื้อหาในบันทึกม้วนไม้ไผ่ที่มันไม่ได้เห็น แต่เมื่อมันถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนี้ให้กับจูล่ง นายใหญ่ คงเพียงพอต่อการคาดเดาและตัดสินใจได้แล้ว
มันเพียงแต่สงสัยว่า จูล่งหรือพรรคฟ้าเหลือง จะร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับอ๋องอ้วนเสี้ยวได้เนิ่นนานสักเพียงไร และตัวละครสำคัญอย่าง โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน โลซก และขงเบ้งนั้น จะเป็นจริงตามบทสนทนาครั้งนี้มากน้อยเพียงไร ในเมื่อความลับนั้นถูกเปิดเผยให้กับพรรคฟ้าเหลืองได้รับรู้ก่อนแล้วเช่นนี้
และที่สำคัญอย่างยิ่ง ก็คือ มีขุมกำลังลับอีกหนึ่งกลุ่ม ชื่อ หน่วยปักษาสวรรค์ ได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มต่างๆด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นกกระสา อ้วนเสี้ยว ขุนพลสำคัญ ทายาทตระกูลใหญ่แห่งยุคสมัยนี้
แต่นับว่ามันยังโชคดีไม่ถึงที่สุด หากมันล่วงรู้เนื้อความในบันทึกม้วนไม้ไผ่แล้ว มันคงรีบหลบหนีไปแจ้งให้จูล่งระวังตัวได้ล่วงหน้าแล้ว
...
อ้วนเสี้ยวกังวลถึงพิษร้ายที่ตนเองได้รับด้วยความประมาท ทำให้มันนึกถึงหมอฮัวโต๋ หนึ่งในหน่วยปักษาสวรรค์ทันที นับว่ามันยังรอบคอบที่ในอดีต เคยบีบบังคับเอายาถอนพิษครอบจักรวาลมาเก็บไว้เองจำนวนหนึ่ง จึงรีบเข้าไปหยิบยาถอนพิษดังกล่าวจากที่ซ่อน นำออกมาใช้ทาที่มือทั้งสองข้างโดยเร็ว
เพียงสักพัก มือสีเขียวเรืองแสงเหมือนจางลง มันหัวร่ออยู่ในใจ การเวกคงคาดไม่ถึงว่า มันจะเตรียมการรอบคอบถึงเพียงนี้ คอยดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไปเถอะ เจ้ากระสาจะอาละวาดให้สาสมแก่ใจ
แต่แล้ว ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นทั่วทั้งแขน ฝ่ามือและท่อนแขนเริ่มกลับกลายเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็ว แสดงว่า ยาถอนพิษใช้การไม่ได้ผล กลับทำให้พิษรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงพริบตา สีม่วงเริ่มแผ่ขยายลามขึ้นมาถึงข้อศอกแล้ว
ถึงเวลาแล้ว อ้วนเสี้ยวตัดใจ สะบัดกระบี่ตัดปลายข้อนิ้วก้อยออกทั้งสองข้าง พลางนั่งขัดสมาธิเดินลมปราณรีดพิษออกทางปลายนิ้ว หยดเลือดสีม่วงดำไหลเป็นทางยาวนานกว่าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงปกติ อย่างน้อยก็บรรเทาพิษลงไปได้ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไร ความอ่อนเพลียจากบาดแผลผนวกเข้ากับพิษร้ายที่คั่งค้างในโลหิตที่จู่โจมใส่อวัยวะภายในสำคัญทั้งหลาย ทำให้มันล้มลงหงายหลัังหมดสติไปในทันที
ที่แท้ ยาพิษสีเขียวเป็นเพียงตัวล่อหลอกให้ตื่นตระหนกเท่านั้น ตัวพิษเองไม่ได้ร้ายแรงอันใดนัก หากแต่ถ้านำเอายาแก้พิษของหน่วยมาใช้ร่วมกัน จะกลับกลายเป็นสรรพคุณตรงกันข้าม เกิดเป็นส่วนผสมของพิษที่ร้ายแรง และรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม แสดงว่า ฝ่ายตรงข้ามเหลือทางถอยไว้ให้ หากแต่ อ้วนเสี้ยวไม่รับไมตรีนั้น จึงเป็นเหตุให้เรื่องราวลุกลามเกินคาดเดา
แต่นับว่า อ้วนเสี้ยวตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วที่ยอมเสียสละนิ้วก้อย เพื่อบรรเทาพิษร้าย หมากครั้งนี้ของการเวก หัวหน้าองค์กรป่วนอดีต ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
...
กุนซือตันหลิมรับทราบรายงานการติดตามคนร้ายจากเตียวคับมาอีกทอดหนึ่ง จึงตั้งใจเข้ามารายงานผลให้ทราบ กลับพบอ้วนเสี้ยวหมดสติ นอนจมกองเลือดสีม่วงคล้ำอยู่ตามลำพังในกระโจม จึงรีบตามคนมาช่วยเหลือโดยเร็ว พร้อมกับให้ปกปิดข่าวนี้ไว้เป็นความลับ
"พรุ่งนี้จะเป็นการเดินหมากสำคัญแท้ๆ ไม่น่าเกิดเรื่องเลย" ตันหลิมบ่นพึมพำ
ตันหลิมที่เป็นแม่งานจัดการรับสมัครคนมีฝีมือทั้งบู๊ทั้งบุ๋น เพื่อรองรับตำแหน่งงานราชการที่มีมากมาย อ้วนเสี้ยวกำลังเป็นดาวรุ่งคิดการณ์ใหญ่ ย่อมต้องระดมคนจำนวนมากเข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากอ้วนเสี้ยวยอมนั่งเป็นประธานพิธีด้วยตนเอง ย่อมทำให้เรื่องราวดูหนักแน่นจริงจังยิ่งขึ้น
นัดหมายวันพรุ่ง ยังมีบุคคลสำคัญแจ้งความจำนงไว้แล้วด้วย ที่จริง หากได้เผยแพร่ออกไป น่าจะเป็นข่าวสะท้านแผ่นดินได้เลยทีเดียว กุนซือนักสร้างข่าวรู้สึกเสียดายที่มาเกิดเหตุเช่นนี้เสียก่อน งานนี้คงต้องลดทอนพิธีการมากมายลงแล้ว
...
อ้วนเสี้ยว นกกระสา ฟื้นคืนสติขึ้นมาในกระโจมที่พัก มีเพียงกุนซือตันหลิม และหมอประจำทัพคอยอยู่ดูแล จึงรีบกำชับไม่ให้แพร่งพรายอาการบาดเจ็บดังกล่าว พลางสั่งความให้ตันหลิมส่งม้าเร็วออกติดตามหน่วยล่าสังหารให้ยกเลิกคำสั่งประหารเมื่อค่ำคืน และเปลี่ยนเป็นการนำตัวหมอฮัวโต๋กลับมารักษาให้ตนเองอย่างเร่งด่วน ความหวังสุดท้ายกลับต้องฝากไว้กับนกฮูกเสียแล้ว
มันเองมีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่า พิษร้ายเช่นนี้ หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว อย่างมาก คือตกตายในห้าวัน เจ็ดวัน อย่างน้อย คือกลายเป็นคนพิการ รอคอยวันตาย ซึ่งมันย่อมไม่ยินยอมแพ้ต่อโชคชะตาเช่นนี้ตราบเท่าที่ยังพอมีความหวัง
การสะบั้นข้อนิ้ว เปิดชีพจร ลดทอนพิษร้ายไปได้หลายส่วน มันยังพอมีเวลาแก้ไขปัญหานี้ได้สักระยะหนึ่ง หมอฮัวโต๋ นกฮูก คือทางออกที่ดีที่สุด ถ้ามันตามหาตัวมารักษาให้ได้ทันเวลา และตัวมันเป็นหนึ่งในหน่วยปักษาสวรรค์ ย่อมรู้แก่ใจว่า จะเจรจาชักจูงกับหมอฮัวโต๋ได้เช่นไร
การเวก หัวหน้าองค์กรป่วนอดีต อ้างตัวว่า เป็นคนในหน่วยงานเดียวกันแท้ๆ กลับทำร้ายกันสาหัสยิ่งนัก เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงทำให้อ้วนเสี้ยว นกกระสายิ่งมุ่งมั่นจะเอาชนะต่อฝ่ายตรงข้ามยิ่งขึ้น ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร หรือสังกัดใดก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นคนในยุคโบราณ หรือคนที่มาจากอนาคตเช่นเดียวกันกับตัวมันก็ตาม ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยนแปลงด้วยน้ำมือของมันเอง
…
ทายาทรุ่นถัดไปในตระกูลอ้วน อันได้แก่ อ้วนถำวัยยี่สิบเจ็ดปี อ้วนฮีวัยยี่สิบสี่ปี อ้วนซงวัยสิบห้าปี ล้วนถูกอ้วนเสี้ยวกะเกณฑ์ให้ติดตามมาอยู่ในกองทัพครั้งนี้ด้วย เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในศึกกัวต๋ออันยิ่งใหญ่ พร้อมยกหน้าที่เฝ้าเมืองหลักให้กับเตียนห้อง ฮองกี๋ สองกุนซือคนสนิทที่เคยติดตามรับใช้ตระกูลอ้วนมายาวนาน
อ้วนถำ อ้วนฮี เคยมีชื่อเสียงอยู่ในสี่คุณชายเมืองหลวง ติดตามเรียนรู้จากบิดาอย่างใกล้ชิดมานาน จึงได้แยกคุมกองกำลังสำคัญซ้ายขวาได้เองแล้ว ส่วนอ้วนซงน้องเล็กยังด้อยอาวุโส แต่เป็นที่โปรดปรานของบิดา จึงได้โอกาสมาร่วมคุมกองหลัง โดยมีขุนพลสิมโพยช่วยกำกับทัพอีกชั้นหนึ่ง ยังดีที่อ้วนซงแม้ว่าเยาว์วัย แต่รูปร่างสูงใหญ่ จึงมิได้ดูขัดเขินต่อภาพพจน์ขุนพลแม่ทัพมากนัก
ตันหลิมนักสร้างข่าว หนึ่งในกุนซือหลักของอ้วนเสี้ยว ย่อมตระหนักถึงกระแสการเมืองภายในขุมกำลังอยู่บ้าง อ้วนเสี้ยวมีความคิดเห็นส่วนตัวสูง อารมณ์ไม่แน่นอน มักเชื่อถือสายข่าวของตัวเองที่บางครั้งก็ดูไม่มีเหตุผลรองรับ อย่างเช่น ล่าสุดก่อนออกศึกใหญ่ครั้งนี้ ถึงกับจับกุมตัวเขาฮิว กุนซือหลักอีกคนด้วยข้อหาไส้ศึกจารชน ทำให้ลูกน้องทั้งหลายอยู่ดัวยความหวาดระแวงอยู่บ้าง
ตันหลิมจึงเลือกอาศัยเส้นสายภายใน แอบสนับสนุนทั้งอ้วนถำ อ้วนฮีอยู่เนืองๆ โดยไม่ให้ทั้งสองคนรับรู้ว่า ตัวเองยืนหยัดอยู่ทั้งสองข้าง พอมีข่าวร้ายกับจอมศึกอ้วนเสี้ยวเช่นนี้ จึงนำความไปแจ้งให้อ้วนถำ อ้วนฮี ให้รับทราบทั้งคู่ เพื่อเป็นการเอาใจ และหยั่งเชิงดูท่าทีของคนทั้งสองไว้ก่อน
ความรู้สึกผูกพันของคุณชายทั้งสองที่มีต่อบิดาบังเกิดเกล้าดูห่างเหินจืดจางมานานแล้ว แต่ท่าทีการตอบสนองต่อข่าวร้ายกลับมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะทุกคนต่างคาดเดาจิตใจของอ้วนเสี้ยวได้ยาก หากพิษร้ายรุนแรงจนทำให้มีอันเป็นไปอย่างกระทันหัน อ้วนเสี้ยวอาจจะเอ่ยปากยกตำแหน่งผู้นำให้กับอ้วนซงลูกคนโปรด
อ้วนถำพี่ใหญ่ ที่มักถือตัวว่าเป็นทายาทลำดับแรก จึงมุ่งมั่นตระเตรียมพรรคพวกให้พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง หมายชิงยึดอำนาจสืบทอดอุดมการณ์แทนบิดา ในขณะที่อ้วนฮี คนรองกลับนิ่งเฉย ชืดชาในชื่อเสียงลาภยศตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ และยังหวานชื่นอยู่กับเมียคนล่าสุดเชื้อสายเซียนเปยนามเอียนมี่ ที่ถูกเรียกขานใหม่เป็นนางเอียนซี ฮูหยินผู้เลอโฉม จนแทบไม่สนใจคนรอบข้างมากนัก
ยามนี้ กุนซือตันหลิมจึงมีความชัดเจนว่า สมควรหนุนส่งต่อทายาทคนใด
…
ณ วัดป่าน้อยที่สอง เขาจวนหยกสัน เมืองซินเอี๋ย ชัวเตี๋ย ฮูหยินของเจ้านครเกงจิ๋ว และเล่ากี๋ บุตรชายวัยสิบสองปี เป็นตัวแทนเล่าเปียว กำลังให้การต้อนรับหลวงจีนเภาเจ๋ง ประมุขสายพุทธซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าน้อยสาขาแรก ที่อพยพหนีภัยสงครามแดนเหนือลงมาพำนักที่นี่โดยมีขุนพลชัวมอ เตียวอุ๋นยืนกำกับอยู่ไกลๆ
นับจากเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนที่เชื้อพระวงศ์เล่าเอี๋ยนกับลูกชายทั้งสามถูกโจรร้ายสังหารตายกลางป่าใกล้หุบเขามรณะ เล่าเปียวได้รับทราบข่าวแล้วสะเทือนใจ เกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรังทางประสาทจนเลอะเลือน ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ชัวฮูหยินกับชัวมอน้องชาย ก้าวขึ้นมารับหน้าที่บริหารบ้านเมืองแทน รอคอยเวลาให้เล่าจ๋องเติบใหญ่พอที่จะรับตำแหน่งสืบทอดแทน
ที่จริง วัดแห่งนี้เป็นสาขาของวัดด้านเหนืออยู่แล้ว ตามรูปแบบการจัดการในฝ่ายสงฆ์ เภาเจ๋งในฐานะประมุขสายพุทธ ย่อมสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้เองในทันที ฝ่ายบริหารบ้านเมืองเพียงแค่จดบันทึกรับทราบเท่านั้น เจ้าเมืองเกงจิ๋วไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยแรงอันใด หากแต่ชัวฮูหยินกับชัวมอคงเห็นแก่บารมีของหลวงจีนคนดัง จึงจำต้องมาออกหน้าต้อนรับ และทำความคุ้นเคยกันสักครา
“การศึกสงครามด้านเหนือเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน หากแม้นท่านโยกย้ายมาประจำเสียที่นี่เป็นการถาวรเลยก็ไม่เลวนัก วัดป่าน้อยทางเหนือ แม้ว่าจะเป็นอารามหลวง แต่ก็คงเป็นวัดป่าเงียบสงบ ห่างไกลผู้คนเกินไป ท่านพำนักอยู่ที่นั่นก็ดูจะสุ่มเสี่ยงจนเกินไป” ชัวมอกล่าวเชื้อเชิญในฐานะเจ้าถิ่น
“ข้าเพียงเป็นห่วงศิษย์พี่อดีตเจ้าอาวาสวัดม้าขาวที่เดินเหินไม่สะดวก และมีประกาศิตจากอดีตฮ่องเต้ ห้ามเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน จึงไม่อาจอพยพหลบหนีออกจากวัดเหมือนผู้คนทั่วไป จึงอยากอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดร่วมกันกับศิษย์น้องคนอื่นๆ ยังดีที่ระยะหลังท่านได้กลุ่มลูกศิษย์บวชใหม่รุ่นบ้อมาช่วยดูแลอย่างแข็งขันเพิ่มเติมขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำงานตรากตรำเหมือนในอดีต ท่านจึงสั่งความให้ข้าย้ายลงมาที่นี่ด้วยความเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังก้าวเข้าสู่กลียุคแล้ว” เภาเจ๋งอธิบาย
“มีอาคันตุกะมาเยือน” เสียงหลวงจีนน้อยประกาศ พร้อมเสียงของผู้มาเยือนแทรกดังตามเข้ามา “เป็นท่านบัณฑิตจูกัดแห่งหุบเขามังกรซ่อน”
“ยินดี ยินดี ท่านเภาเจ๋งจะได้เป็นที่พึ่งทางใจแก่พวกเราชาวเกงจิ๋วทั้งเหนือใต้” เป็นบัณฑิตจูกัดกุ๋ยในชุดลายพร้อย โบกพัดขนนกเดินเข้ามาตามประสาคนคุ้นเคยกันในฐานะนักปราชญ์ซ่อนกาย “วัดป่าน้อยที่สองซึ่งตั้งอยู่ใจกลางประเทศ จะได้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาสักที ข้ารอคอยมานานแล้ว”
…
อันที่จริง เภาเจ๋ง-เล่าฉวน จูกัดกุ๋ย กับพี่น้องสกุลชัว ล้วนเป็นพรรคพวกเดียวกันในสังกัดขบวนการฟ้าดิน หากแต่เปลือกนอกไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้สถานะ จึงอ้างอิงตำแหน่งการงาน และชื่อเสียงบารมีมานัดพบกันอย่างเปิดเผย ถือเป็นขุมกำลังลับที่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องมานานมากแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ภายในขบวนการฟ้าดินคราก่อน เล่าหัวผู้นำ เล่าเปียวท่านต้น และเล่าเอี๋ยนท่านรอง ล้วนถูกกำจัดให้สิ้นสภาพไปจนหมดด้วยฝีมือของเล่าฉวน-เภาเจ๋งกับจูกัดกุ๋ย อำนาจการบริหารงานถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับคนทั้งสองอย่างลับๆไปแล้ว แต่โครงสร้างหลักกลับไม่ล่วงรู้ เพราะทั้งสองแยกกันควบคุมหุ่นเชิดเล่าหัว-เภาก้วยที่อัมพาต กับเล่าเปียวที่เลอะเลือน ให้ออกหน้าสั่งการอยู่เช่นเดิม แต่ก็ประคับประคองทำให้ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตกระทบกระเทือนต่อแผนการใหญ่ที่วางไว้
…
ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาในประเทศจีนพอสมควร วัดวาอารามเกิดขึ้นมากมาย หลวงจีนก็มีจำนวนไม่น้อย แต่ยังไม่มีระบบระเบียบเป็นกิจจะลักษณะ ยิ่งยังขาดการดูแลใส่ใจจากหน่วยงานราชการ ได้แต่อาศัยคนมากอิทธิพลใจบุญตามท้องถิ่น และความเจริญในท้องที่เป็นตัวค้ำจุนวงการศาสนา
สืบมาถึงภายหลัง วัดม้าขาวแห่งลกเอี๋ยง ถือเป็นวัดสายพุทธที่โด่งดังที่สุด ดังนั้น เภาก้วย เจ้าอาวาสวัดม้าขาวจึงเป็นเสมือนเป็นประมุขทางจิตใจของหลวงจีนทั้งแผ่นดิน เพราะคนรุ่นนั้นย่อมรู้ดีว่า ประวัติความเป็นมาของท่านเดิมทีเป็นเช่นไร แม้ว่าท่านจะพิกลพิการ และน้อยคนจะได้เคยพบเห็นรูปร่างหน้าตาของท่าน เพราะท่านมักจะเก็บตัวอยู่แต่หลังม่านบังตา จนผู้คนให้สมญาลับหลังว่า หลวงจีนซ่อนกาย
แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งล่าสุดที่ทำให้ท่านพิการซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก ตำแหน่งประมุขสายพุทธจึงตกไปอยู่กับศิษย์น้องเภาเจ๋ง ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าน้อยแทน และตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดม้าขาวก็สืบทอดไปยังลูกศิษย์รุ่นบ้อสายตรงของท่านตามลำดับไป นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของวงการสงฆ์ครั้งสำคัญเมื่อหลายปีก่อน
…
“ประเสริฐแล้ว หากแต่ท่านเจ้าอาวาสมีอะไรชี้แนะสั่งความให้กับข้าบ้างหรือไม่” ชัวฮูหยินไต่ถามตามประสาเจ้าบ้านที่ดี
“มีสิ ประสกเล่า มีมากมายเลยด้วย” เภาเจ๋งตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางจับจ้องไปทางสองขุนพลชัวมอ เตียวอุ๋นที่กำลังขยับอาวุธเตรียมรับมือกับเสียงหลวงจีนน้อยที่ดังขึ้นจากภายนอกซ้ำสอง “มีอาคันตุกะมาเยือน เป็นท่านเจ้าเมืองเล่าปี่แห่งเมืองชีจิ๋ว”
เล่าปี่ จูล่งในชุดรัดกุม ก้าวเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นเล่าปี่ที่รีบยกมือประสานคารวะมาแต่ไกล “ข้าน้อยเล่าปี่แห่งเมืองชีจิ๋วได้ยินข่าวว่าท่านเภาเจ๋งย้ายมาพำนักที่นี่ จึงรีบละทิ้งกองทัพมาต้อนรับท่านด้วยคน ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับอาซ้อที่นี่ด้วย”
ชัวฮูหยินชักสีหน้า คำนับตอบพอเป็นพิธี เพราะคาดไม่ถึงว่าเล่าปี่ที่มีความสัมพันธ์กับเล่าเปียว เพียงแค่เป็นพันธมิตรต่อกัน จะหาญกล้ารุกล้ำข้ามเขตแดนมาเช่นนี้ อีกทั้ง ส่วนตัวก็มิได้ชอบพอคบหากับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว
เภาเจ๋งชิงทำลายบรรยากาศตีงเครียดลง “เรากับประสกเล่าคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยที่อยู่วัดป่าน้อยด้านเหนือ ท่านเล่าปี่มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับอาตมาบ้าง ศิษย์พี่เภาก้วยที่วัดม้าขาวบ้าง อันที่จริง ประสกเล่าปี่กับเล่าเปียวก็ถือเป็นพี่น้องร่วมแซ่เดียวกัน นับเป็นคนกันเองทั้งนั้น มา มาจิบน้ำชาด้วยกันเถอะ ท่านฮูหยิน ท่านจูกัด ข้าจะแนะนำประสกเล่าปี่ให้ได้รู้จักกันไว้”
คาดไม่ถึง สมณะสูงศักดิ์อย่างเภาเจ๋ง กลับกลายเป็นกาวประสานใจให้กับบัณฑิตจูกัดกุ๋ย เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว กับ เล่าปี่ เจ้าเมืองชีจิ๋วไปเสียแล้ว ทำเอาพวกชัวฮูหยินกระอักกระอ่วนใจ วางตัวแทบไม่ถูก นี่ถ้าหากเล่าเปียวมาด้วยตนเอง คงถูกเกลี้ยกล่อมให้ใจอ่อนมากกว่านี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเภาเจ๋งคิดจะเดินหมากเช่นไรในครานี้
…
“แย่แล้ว น้องเรา ท่านเภาเจ๋งกับท่านจูกัดต้องกำลังคิดการณ์สิ่งใดเป็นแน่ จู่ๆจึงลอบเจรจาความเมืองกันกับเล่าปี่ โดยใช้สถานที่ลึกลับอย่างวัดป่าน้อยที่สองเมืองน้อยซินเอี๋ย เป็นที่นัดพบ มิเช่นนั้น เล่าปี่อยู่ตั้งไกลจะมาพบโดยบังเอิญได้อย่างไรกัน” เสียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์พร่ำบ่นกับขุนพลหนุ่มผู้เป็นน้องชาย ขณะที่นั่งรถม้ากลับจากวัดนอกเมือง “หลวงจีนเฒ่าใกล้จะลงโลงอยู่อีกไม่นาน ยังคิดจะหาเรื่องใส่ตัว หากเป็นไรไปคนเดียวก็แล้วกันไปเถอะ แต่เกรงว่า จะพลอยทำให้อู่ข้าวอู่น้ำของพวกเราเสียหายไปด้วยน่ะสิ ทำยังไงดีหนอ”
ชัวมอทอดถอนหายใจ รับฟังคำพูดพรั่งพรูจากปากพี่สาวจนมึนงง ค่อยรวบรวมความคิดขึ้นถ่ายทอดออกไป “ตอนนี้ เราเองก็อุตส่าห์มีลูกจ๋องเป็นที่พึ่งพิงได้แล้ว หากเราชิงลงมือกำจัดสองพ่อลูกเล่าเปียวเล่ากี๋ไปเสียก่อน ก็สมควรยกย่องลูกจ๋องขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยร่มเงาของผู้อื่นอีกต่อไป มิใช่หรือ”
ชัวฮูหยินหันมามองหน้าน้องชายร่วมสายเลือด “จัดการตาแก่เล่าเปียวอาจจะไม่ยากเย็นกระไร หากแต่เล่ากี๋ยังเยาว์วัย แล้วจู่ๆจะให้ตายได้อย่างไรกันเล่า เจ้าโง่เอ๋ย”
“โธ่ ท่านพี่ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แค่กินอาหารผิดสำแดง หรือพลัดตกเรือจนจมน้ำตายไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยของคนแถบนี้” ชัวมอกล่าวโดยไม่ละอายใจ “หรือจะให้จัดการด้วยวิธีสกปรกโสมม ค่อยๆบั่นทอนชื่อเสียงพวกแซ่เล่าไปก่อน ก็ยังได้เลย”
ชัวฮูหยินตาลุกวาวด้วยความยินดี ขบวนการฟ้าดินยังไม่ทันเคลื่อนไหวเปิดตัวให้ปรากฏ ลูกสมุนก็เริ่มหาผลประโยชน์เข้าหาตัวเองเสียแล้ว โอ ความเลวร้ายในจิตใจผู้คนช่างรุนแรงยิ่งนัก
…
จูล่งถูกกีดกันให้อยู่ภายนอกห้องร่วมกันกับขุนพลเตียวอุ๋นที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ดูแลความเรียบร้อย ภายในห้องรับรอง ยังคงเป็น เภาเจ๋ง จูกัดกุ๋ย กับเล่าปี่ เสวนาทางธรรมกันอย่างเพลิดเพลิน จนทำให้ผู้นำขุมกำลังสัตตดาราอึดอัดใจอยู่บ้าง
สามคนแปลกหน้ามาสุมหัวกันด้วยเรื่องอันใดกันแน่ แต่จนใจที่ตนเองมิอาจเข้าร่วมรับฟัง จึงพาลเดินสำรวจโดยรอบ พบเห็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมของวัดป่าน้อยที่สอง ล้วนงดงามสะดุดตา จึงเดินเลยไปพบป้ายชื่อคนอุปถัมภ์วัดใกล้องค์พระประธาน และได้แต่อุทานในใจ “ในที่สุด สิ่งที่คาดคิดไว้ก็เป็นจริงแล้วสิ ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
รายชื่อคนให้การอุปถัมภ์บนป้ายไม้ ย่อมเริ่มต้นด้วยเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวเป็นการให้เกียรติผู้ทรงอิทธิพล แต่พอไล่เรียงลงมาไม่กี่อันดับ กลับเป็นบุคคลที่ตนเองคุ้นเคยยิ่งนัก เป็นเจ้าสัวใหญ่แห่งตลาดค้าสัตว์ เมืองซินเอี๋ย นามว่า “เตียวหุย” นั่นเอง
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย