2 มี.ค. 2021 เวลา 02:50 • นิยาย เรื่องสั้น
2.12. งานเลี้ยงเปื้อนโลหิต
สุมาเต๊กโช ปราชญ์ใหญ่สายเต๋า - สุมาอี้ เต่าสมถะ - ตันหลิม ปราชญ์โวหาร
วันรุ่งขึ้น ที่ประชุมทัพของอ้วนเสี้ยวคึกคักอื้ออึงกว่าที่เคย ซึ่งปกติก็มีการเปิดรับผู้มาสวามิภักดิ์ใหม่เป็นประจำทุกวัน เนื่องจากอ้วนเสี้ยวกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด การต่อสู้กับโจโฉนั้น ลำบากเพียงยกมือ ก็น่าจะจัดการได้ไม่ยากแล้ว ใครๆก็ล้วนคาดคิดกันว่า อ้วนเสี้ยวต้องได้ชัยอย่างแน่นอน ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้ามาร่วมกองทัพอย่างมากมายทั้งสายบู๊และสายบุ๋น
กุนซือจอมโวหารตันหลิมพาลใช้เรื่องนี้เป็นจุดเด่นในการสร้างชื่อเสียงให้ทวีคูณ เปิดเป็นกระโจมร่วมใจให้คนอาสาเข้าแถวตบเท้ามาลงชื่อสวามิภักดิ์อย่างเอิกเกริก หากเป็นคนธรรมดาสามัญก็เพียงจดชื่อแจกจ่ายเข้ากรมกองพร้อมสินน้ำใจตอบแทน แต่หากพอมีชื่อเสียงหรือมีฝีมือปรากฏ ก็จัดตั้งตำแหน่งการงานให้ตามสมควร เหมือนเป็นเส้นทางลัดในการเข้าสู่วงจรอำนาจในขุมกำลังกิจิ๋ว
ปกติ กระโจมร่วมใจจะมีผู้คนมาต่อแถวลงทะเบียนเป็นหลักร้อยหลักพัน หากแต่วันนี้ คนสมัครใหม่ถูกจำกัดจำนวนลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เหลือคนแจ้งความจำนงเข้ามาสวามิภักดิ์เพียงแค่สามคนเท่านั้น และผู้ที่มาเป็นประธานในการตรวจรับ ถึงกับเป็นผู้นำแห่งขุมกำลังกิจิ๋ว อ้วนเสี้ยว มาด้วยตนเอง แสดงถึงความสำคัญของคนที่มาสมัคร
ผู้มาสมัครในวันนี้ คือ สุมาเต๊กโช นักปราชญ์อาวุโสในสายเต๋าเล่าจื้อซึ่งกำลังโด่งดังเลื่องชื่อ ที่ได้แจ้งความจำนงจะเข้ามาพบไว้ล่วงหน้าพร้อมกันกับชายหนุ่มในชุดบัณฑิตใหม่อีกสองคน ทำให้ตันหลิม แม่งาน ต้องสั่งการพิเศษ เปิดทางให้ทั้งสามเข้ามาถวายตัวรับใช้อย่างสมศักดิ์ศรี
ยามนั้น นักปราชญ์สายขงจื้ออาจจะมีมากมายหลายคน เช่น ขงหยง อองลอง ตันหลิม เป็นอาทิ และมีเครือข่ายลูกศิษย์อยู่กันแพร่หลาย หากแต่พอมองมาทางสายเล่าจื้อ กลับมีจำนวนไม่มากนัก เพราะมักเร้นกายตามป่าเขาหรือพเนจรไปนอกด่าน และคนที่นับว่า โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ เพราะก่อตั้งสำนักกลางเมืองมีเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือ สุมาเต๊กโช สมญานาม อาจารย์คันฉ่องวารี
คนดังสายขงจื้อกระจัดกระจายอยู่ตามขุมกำลังต่างๆ หากแต่เสาหลักเล่าจื้อมุ่งตรงมายังสกุลอ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นข่าวดังสะท้านแผ่นดินได้แล้ว ตันหลิมจึงต้องทุ่มเทกับงานนี้เป็นอย่างยิ่ง
ที่จริง เมื่อคืนก่อน อ้วนเสี้ยวเพิ่งได้รับพิษร้ายฝังลึกจนหมดสติ แต่พอฟื้นคืน ยังคงรู้สึกอ่อนเพลีย และเจ็บบาดแผลภายนอกเท่านั้น มันจึงสั่งให้ตันหลิมคงกำหนดการปกติไว้เช่นเดิม แต่ให้ปรับลดขั้นตอนพิธีการออกไป เพื่อสยบข่าวลือที่มันถูกพิษ และซ่อนแผลที่นิ้วมือไว้ในแขนเสื้ออย่างสงบ
อ้วนเสี้ยวนั่งบนที่นั่งแม่ทัพ ขนาบซ้ายขวาด้วยอ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซงตามลำดับ จ้องมองผู้มาใหม่ทั้งสามด้วยความเงียบงัน ปราศจากความรู้สึกยินดียินร้าย อาจจะเป็นเพราะพิษบาดแผล จึงทำให้ลดทอนอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวงไปชั่วระยะหนึ่ง
สุมาเต๊กโชเผชิญหน้ากับอ้วนเสี้ยวเป็นครั้งแรก เริ่มต้นกล่าวแนะนำขึ้นว่า “เรียนท่านจอมทัพ ตัวเราเป็นผู้เฒ่าสูงวัย ไร้ความทะเยอทะยาน หากแต่ยังหมายมั่นให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง จึงไม่ได้ขอรับตำแหน่งใดๆ แต่ขอฝากฝังทายาทสายตรงไว้คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ท่านแม่ทัพ นี่คือ สุมาอี้ และบังทอง ลูกศิษย์ของเราเอง”
เปลือกนอกเหมือนยินดีอย่างยิ่ง แต่ภายในใจ อ้วนเสี้ยวทบทวนเรื่องราวเมื่อค่ำคืนอย่างสะท้อนใจ หากเป็นก่อนหน้านั้น มันคงอดปลาบปลื้มยินดีต่อเหตุการณ์ไม่ได้ สองยอดกุนซือกำลังจะอาสาเข้าร่วมในกองทัพของตน
แต่สิ่งที่มันรับรู้เมื่อคืน ทำให้มันต้องวางแผนจัดการกับตัวอุปสรรคทั้งสาม คือ ตันก๋ง จูล่ง และตระกูลสุมา และที่น่าเจ็บปวดใจ ก็คือ บังทอง ยอดกุนซือแห่งยุคอีกคนหนึ่ง กลับเป็นพวกพ้องเดียวกันกับสุมาอี้เสียด้วย
หากทิ้งเวลาเนิ่นช้าไป ก็เกรงว่าจะไม่ทันเหตุการณ์ แผนการกำจัดเครือข่ายจึงต้องฉับไวและเฉียบขาด โดยเฉพาะกับศัตรูสายบุ๋นพวกนี้ไม่น่าจะยากเย็นนัก
ดังนั้น มันจึงสั่งให้จัดงานเลี้ยงรับรองผู้มาเยือนทั้งสามในทันทีตามกำหนดการเดิม แล้วลอบหาจังหวะออกมาสั่งความให้ตันหลิม ที่ปรึกษาคนสนิทให้จัดเตรียมยาพิษอย่างแรง มันต้องการให้ทั้งสามคนตายกลางงานเลี้ยง เพื่อเป็นตัวอย่างของเหล่าจารชนที่ลอบมาคิดร้ายต่อตัวมัน
“นายท่าน สุมาเต๊กโชเป็นนักปราชญ์เลื่องชื่อแห่งแผ่นดิน การได้รับทายาทมันเข้ามาในสังกัด ย่อมจะมีน้ำหนักไม่น้อย เหตุไรท่านจึง..” ตันหลิมรีบคัดค้านเสียงหลง
“เชื่อข้าสิ พวกมันมิได้มาดีหรอก เพียงแค่ต้องการสร้างเครือข่ายทำลายล้างข้าต่างหาก สายข่าวของข้าสืบได้ความมาอย่างแน่นอนแล้ว” อ้วนเสี้ยวกล่าวอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเข้าไปร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ปั้นยากของตันหลิม
แน่นอน ตันหลิมย่อมยุ่งยากใจแล้ว เพราะมันเองก็คือสายลับของเครือข่ายสุมาที่แฝงอยู่ในกองทัพของอ้วนเสี้ยว หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้ แสดงว่า ตัวมันเองก็อาจจะเดือดร้อนในไม่ช้า นับว่า สายข่าวของอ้วนเสี้ยวร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ
ดังนั้น มันจึงยกป้านสุราชั้นดี ถือเข้าไปในงานเลี้ยง ตรงไปยืนอยู่ต่อหน้าปราชญ์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ในฐานะผู้จัดงาน แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าน้อยตันหลิม ได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์สุมามาเนิ่นนานนัก วันนี้ ขอถือโอกาสน้อมคารวะสุราชั้นดี ให้แก่ท่านหนึ่งจอก” ว่าแล้วก็ก้าวเข้าไปที่โต๊ะของสุมาเต๊กโข พลางรินสุราให้อย่างนอบน้อม
ในขณะที่ตัวเองบังสายตาคนรอบข้างไว้ ตันหลิมก็สบตากับสุมาเต๊กโช พลางทำปากเป็นคำบอกใบ้สั้นๆว่า “หนี” แล้วแสร้งไปรินสุราให้สุมาอี้กับบังทองต่อ ค่อยประสานมือคารวะสุมาเต๊กโชอย่างนอบน้อม พร้อมสบตาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะถอยกลับไปยังโต๊ะของตนเองโดยไร้พิรุธใดๆ
ที่จริงแล้ว สุมาเต๊กโชประเมินสถานการณ์จากคนวงนอกโดยนัดแนะกับตันหลิมไว้ล่วงหน้า การที่นักปราชญ์ชื่อดังนำทายาทมาสวามิภักดิ์ในยามศึกสงครามเช่นนี้ น่าจะทำให้สุมาอี้ และบังทองมีน้ำหนักต่ออ้วนเสี้ยวเป็นอย่างมาก ก่อนที่เหล่ากุนซือคนอื่นๆจากทัพโจโฉ หรือกุนซือหน้าใหม่จะเข้าถึงอ้วนเสี้ยวได้
การชิงลงมือก่อนแม้ว่าจะสุ่มเสี่ยงไปบ้าง แต่ก็ไม่น่ามีพิษภัยอันใด หากแต่คราวนี้ ดันผิดคาดที่อ้วนเสี้ยวกลับมีเจตนาจะสังหารตนในทันที หรือว่าเกิดความผิดพลาดอื่นใด เช่น ตันหลิม ไส้ศึกที่แฝงตัวอยู่ก่อนคนนี้เอง อาจจะมีปัญหาซ้อนกลหักหลังตนเอง หรือสถานะจารชนถูกพบเห็น
สุมาเต๊กโชกวาดตามองไปรอบตัว ในงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นระดับขุนพลแม่ทัพฝ่ายบู๊ทั้งนั้น กลับมีเพียงตันหลิมที่เป็นกุนซือฝ่ายบุ๋นเพียงคนเดียว ทั้งๆที่มันเองควรจะต้องรู้จักสนิทสนมกับฝ่ายบุ๋นเสียมากกว่า แสดงว่าอ้วนเสี้ยวมีความคิดกำจัดตนจริงๆ จึงได้จัดฉากไว้เช่นนี้ แต่หากรอให้ฉีกหน้ากัน แล้วใช้กำลังฝ่าออกไปตรงๆ ก็คงจะยากลำบาก นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ขอคารวะต่อจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ อีกไม่นาน ดินแดนเหนือใต้คงได้เชื่อมประสานกันแล้ว เชิญดื่ม” สุมาเต๊กโชชิงลุกขึ้นกล่าวเชิญชวนให้ทุกคนยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการยกจอกขึ้นบดบังสายตาของตัวเองชั่ววูบเดียว
มันจึงรีบขว้างระเบิดควันที่ป้อเอี๋ยนเป็นผู้ค้นคิดขึ้น กระจายออกไปรอบข้างหลายลูกจนเกิดควันทึบทั่วทั้งกระโจม และคว้าข้อมือของตันหลิม ที่อาจจะเป็นตัวปัญหาเหวี่ยงเข้าใส่อ้วนเสี้ยวอย่างรวดเร็ว แล้วตัวมันรีบพุ่งทะลุกระโจมออกไปในด้านตรงข้าม
อ้วนเสี้ยวและนายทหารทั้งหลายไม่ทันคาดคิดว่า จอมปราชญ์ผู้เฒ่าอย่างสุมาเต๊กโช กลับเป็นยอดฝีมืองำประกาย การเคลื่อนไหวต่างๆจึงเชื่องช้าไปชั่ววูบ นายทหารกลุ่มหนึ่งฝ่าหมอกควันป้องกันภัยให้เจ้านายและทายาท นายทหารอีกกลุ่มหนึ่งแยกย้ายโจมตีฝ่ายตรงข้ามตามที่นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า
แต่เมื่อสุมาเต๊กโชชิงลงมือก่อน ทำให้เขาสามารถหนีรอดไปได้ก่อนโดยง่าย หากแต่สุมาอี้ กับบังทองกลับไม่ได้โชคดีเท่า เพราะเงากระบี่ดาบทวนมากมายล้วนพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งทิศทางที่พวกมันเคยนั่งอยู่ในทันที
อย่างไรก็ตาม ทายาทมังกรย่อมไม่ใช่สัดใส่ข้าวไร้กระบวนท่า พอเกิดความเปลี่ยนแปลงของสุมาเต๊กโช และกลุ่มควันขึ้น สุมาอี้ก็กระโดดทะลุหลังคากระโจมขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ราวกับได้ลอบสังเกตเส้นทางการหลบหนีเอาไว้ก่อนแล้ว
แต่ก็มีนายทหารบางส่วนยิงเกาทัณฑ์ ซัดอาวุธสั้นไล่ตามหลังได้ เพราะเห็นเงาร่างที่พุ่งขึ้นไปด้านบน ทำให้สุมาอี้กลายเป็นเป้าอาวุธ โดนเข้าหลายจุดตามร่างกายในจุดที่ไม่สำคัญเป็นการตอบแทนก่อนหลบหนีไปได้
ส่วนบังทองกลับใช้วิธีแตกต่างกันออกไป มันอาศัยข้อได้เปรียบที่กลุ่มควันอยู่หนาทึบ เคลื่อนกายไปหลบอยู่ด้านหลังของเด็กรับใช้ที่คอยเติมน้ำชาหลังเก้าอี้ และส่งตัวเด็กรับใช้ลงแทนที่ตำแหน่งของมัน เมื่อกระบี่ดาบทวนมาถึงที่นั่งเดิม จึงปักตรึงร่างเด็กรับใช้เคราะห์ร้ายนั้นทันที
มีเพียงหนึ่งกระบี่ของคุณชายอ้วนฮีที่ทะลุเก้าอี้ไม้เนื้อดีมาได้อย่างเกินความคาดหมาย กรีดผ่านใบหน้าของมัน เป็นแผลลึกจากริมฝีปากถึงใบหู คล้ายกับรอยยิ้มน่าสะพึงกลัว แต่เมื่อเกิดประกายโลหิต และร่างคนตายขึ้นในตำแหน่งที่คาดเดาแล้ว จึงเกิดการผ่อนคลายความกดดันในตำแหน่งรอบด้านลง ทำให้บังทองสามารถถอยร่างกรีดผ้ากระโจมออกไปทางด้านหลังได้ ก่อนกลุ่มควันจะจางหายไป
เสียงเอะอะภายนอกกระโจมดังขึ้นสักพักหนึ่ง พวกทหารเลวภายนอกคงสังเกตเห็นพวกสุมาที่หนีรอดไปได้แล้ว แต่ด้วยพลังฝีมือของพวกนั้นคงหนีรอดไปได้ไม่ยาก อ้วนเสี้ยวจึงไม่ได้สั่งการอันใดออกไป รอจนกลุ่มควันเริ่มจางหายไป อ้วนเสี้ยวมองเห็นร่างเด็กรับใช้ที่นั่งตายแทนที่บังทอง และร่องรอยฉีกขาดของกระโจมทั้งสามแห่งอย่างเจ็บแค้นใจ
ตรงหน้ามันยังมี ตันหลิมที่โดนใช้เป็นอาวุธเหวี่ยงเข้ามาหาตัวมันตั้งแต่แรก กลับกลายคล้ายกับเป็นมนุษย์โลหิต ด้วยร่องรอยของอาวุธสารพัดชนิดที่นายทหารรอบกายแทงเข้าใส่เพื่อป้องกันให้กับเจ้านาย เพราะกลุ่มควันหนาทึบนั้นทำให้นายทหารเหล่านั้นแยกแยะไม่ออกว่าเงาร่าง หรือสิ่งของที่พุ่งตรงมาทางอ้วนเสี้ยวนั้น ก็คือกุนซือตันหลิมที่เป็นพวกเดียวกันนั่นเอง
ทางหนึ่งอ้วนเสี้ยวก็เสียใจที่กำจัดเชื้อร้ายในอนาคตไม่ได้ แถมยังขาดทุนกุนซือเอกไปอีกคน แต่อีกทางหนึ่ง อ้วนเสี้ยวกลับขบคิดขึ้นว่า แผนการนี้มีเพียงตันหลิมที่รู้ล่วงหน้าเพียงไม่กี่นาทีก่อนลงมือ เพราะมันเพียงจะอาศัยยาพิษปลิดชีพพวกสุมาทั้งสาม หรือว่า ตันหลิมจอมสร้างข่าวเองนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาด้วย
คำร่ำลือเรื่องปราชญ์สุมาเต๊กโชหวังลอบสังหารจอมทัพอ้วนเสี้ยวกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับสะท้านแผ่นดินจริงดั่งคาด นับเป็นครั้งแรกที่คนสายบุ๋นอุกอาจกระทำการต่อคนดังในวงการการเมือง ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องการลอบสังหารผู้นำขึ้นมาอีกครั้งในทุกกลุ่มขุมกำลัง ยากที่จะมีการเข้าถึงตัวผู้นำได้โดยง่ายเหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา
คนคำนวณมิอาจสู้ฟ้าลิขิต สุดท้าย การกระทำที่อาจหาญและเฉียบขาดของอ้วนเสี้ยว กลับทำให้ไส้ศึกที่จงรักภักดีของเครือข่ายสุมาก็เลยต้องเสียชีวิตไปอย่างงมงายไปหนึ่งคน และฐานอำนาจแฝงเร้นที่คอยช่วยเหลือฝั่งอ้วนเสี้ยวอย่างเครือข่ายสุมาก็เปลี่ยนใจย้ายฟากไปในทันทีเช่นกัน โดยทั้งหมดนี่ อ้วนเสี้ยว จอมทัพผู้ทระนงไม่ทันรู้ตัวถึงความสูญเสียเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
เพียงความพลิกผันของเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย กลับทำให้โชคชะตาและประวัติศาสตร์ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว
ที่กระท่อมรังนกกลางป่าใหญ่ระหว่างเมืองลกเอี๋ยงกับอ้วนเซีย อาจารย์ฮัวโต๋ ท่าทางอิดโรยซีดเซียว กำลังใช้รถม้าโดยสารบรรทุกคนเจ็บเข้ามาอย่างเร่งด่วน กลับพบพานการต่อสู้ตะลุมบอนกันระหว่างผู้ป่วยพักค้างคืนที่พอมีพลังยุทธ์ ผสมกับกองทัพรัฐบาลฝ่ายหนึ่ง และกลุ่มนักฆ่าฝีมือดีหลายสิบคนอีกฝ่ายหนึ่ง จนบาดเจ็บล้มตายกันไปหลายคนแล้ว
กระท่อมรังนกปกติมีแต่แพทย์ฝึกหัด ไม่มีวิทยายุทธ์ใดๆ นับว่า สุ่มเสี่ยงต่อภัยจู่โจมอยู่บ้าง แต่นกฮูก-ฮัวโต๋อาศัยจุดเด่นเรื่องความรู้ความสามารถทางการแพทย์ ถ่วงน้ำหนักการเมืองให้ขุมกำลังทุกฝ่ายต้องผลัดเปลี่ยนกันช่วยเหลือให้ความอารักขาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ครองเมืองอ้วนเซียเจ้าถิ่น ซึ่งในยามนี้ ก็คือ ขุมกำลังฝ่ายรัฐบาล
กุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยงที่อยู่รักษาที่เมืองเตียงอัน ชายแดนฝั่งตะวันตก ได้รับการติดต่อจากหมอฮัวโต๋ด้วยเช่นกัน จึงประเมินหมากก้าวต่อไปของกระสา และใช้เหตุผลอ้างอิงในการส่งโจหยิน โจหอง พร้อมกำลังทหารฝีมือดีหลายร้อยนาย ผลัดกันมาช่วยดูแลพื้นที่ตามพันธะสัญญาเป็นพิเศษ เป็นการให้ความคุ้มครองสถานที่โดยห้ามไม่ให้ไต่ถามสืบค้นให้มากความ
โงโพ้ ฮ่วมอา ศิษย์เอก รีบรายงานให้อาจารย์รับทราบ กองทัพโจหยินเพิ่งเข้าประจำการได้เพียงครึ่งค่อนวัน กลุ่มนักฆ่าก็มาถึงพอดี จึงเกิดการต่อสู้กันวุ่นวาย ผ่านไประยะหนึ่ง ค่อยเห็นความแตกต่าง นักฆ่าจำนวนน้อยกว่า แต่ฝีมือสูงส่ง เริ่มชิงความได้เปรียบ สังหารเหล่าทหารล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งนักฆ่าบางส่่วนเร่ิมบุกรุกถึงกระท่อมที่พักผู้ป่วย ไล่ล่าทำร้ายผู้คน กลับตอแยคนไข้ที่เป็นสายจอมยุทธ์เข้าจนได้ เป็นขุนพลฮองตงแห่งเสฉวน ที่ปลอมตนปิดบังฐานะใช้ชื่อ ตงหยวน เพิ่งเข้ามารักษาอาการไข้ป่าเรื้่อรัง และอุยเอี๋ยน ชายหนุ่มพเนจรอีกคนที่เผอิญพักฟื้นอยู่ในห้องพักใกล้เคียงกัน
พอฮองตง อุยเอี๋ยนออกโรง จึงชักชวนเหล่าจอมยุทธ์ที่อาศัยพักฟื้นอีกหลายคนออกมาช่วยสู้รบ ร่วมกับกองทัพโจหยิน สถานการณ์เลยกลายเป็นก้ำกึ่งสูสีขึ้นมาในทันที มองเห็นนักสู้ที่พอคุ้นหน้ามีชื่อเสียง บ้างมาจากขุมกำลังกังตั๋ง เสเหลียง กิจิ๋ว รวมไปถึงพวกชนเผ่า โจรป่าเขา และโจรสลัด ต่างร่วมกันป้องกันดินแดนปลอดการเมืองแห่งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของสถานที่พักรักษาตัว
ฮัวโต๋ไม่มีเวลาพูดคุย ได้แต่พยักหน้ารับทราบ พลางเรียกให้ศิษย์เอกช่วยแบกหามคนเจ็บที่มีผ้าพันบาดแผลรอบกายในรถม้าเข้าสู่ห้องคนไข้พิเศษ เพื่อทำการรักษาด้วยวิธีการแพทย์ที่ยากเย็นที่สุด เป็นการชำระล้างร่างกายด้วยสมุนไพร ตามด้วยการเชื่อมต่อเส้นเอ็น เย็บอวัยวะปิดบาดแผล และการฝังเข็มสุมไฟรอบตัว เป็นการยื้อยุดชีวิตของคนเจ็บเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
การต่อสู้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว กลุ่มนักฆ่าถึงกับมีระลอกสองรุกเข้ามาซ้ำเติมทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง โจหยิน ฮองตง อุยเอี๋ยน มีโลหิตโทรมกาย เริ่มอ่อนล้าโรยแรงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ไปอีกเพียงไม่กี่ชั่วธูป เห็นที ทั้งหมดคงจบสิ้นหนทางต่อสู้ ได้แต่ทอดกายลงกับพื้นดินแล้ว
เสียงตวาดดังสดใสมาแต่ไกล เห็นหญิงสาวร่างใหญ่ในชุดนักสู้รัดกุม มีผ้าดำคลุมหน้า ขี่ม้าขาวพุ่งฝ่าเข้ามาอย่างห้าวหาญ ใช้ทวนยาวกวาดฟันร่างนักฆ่าไปหลายคนในทันที คล้ายกับพยัคฆ์ร้ายในฝูงแกะ กระตุ้นกำลังขวัญให้กับฝ่ายตั้งรับอีกครั้ง ทำให้เหล่ามือสังหารที่เหลือลังเลสับสน จนเกิดเสียงสัญญาณประหลาดดังจากภายนอก ทั้งหมดจึงรีบล่าถอยกันอย่างจ้าละหวั่น
พอสถานการณ์คลี่คลาย พวกโจหยินทั้งสามเห็นฮ่วมอาคารวะจอมยุทธ์สาวเรียกหาเป็นท่านอาหญิง และนำพากลุ่มแพทย์ฝึกหัดรุ่นน้องออกมาดูแลผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บ จึงค่อยคลายใจลง ฮองตงในนามแฝง ตงหยวน และยอดฝีมือบางคนไม่สะดวกในการเปิดเผยฐานะแท้จริงในเขตแดนของผู้อื่น จึงแยกย้ายกลับเข้าสู่ที่พักไปก่อน
มีเพียงนักสู้พเนจรอุยเอี๋ยนที่ยังนั่งพัก คล้ายรอโอกาสพูดคุยเป็นส่วนตัวกับแม่ทัพสกุลโจ อาจจะมีความประสงค์ขอสมัครเข้ารับราชการทางลัด แต่ดูเหมือนโจหยินมัวแต่สาละวนกับอาการบาดเจ็บของลูกน้อง จนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นเลย สร้างความผิดหวังต่ออุยเอี๋ยนผู้อาภัพโชคอยู่บ้าง
ฮองตงแอบสังเกตท่าทีของอุยเอี๋ยนผ่านทางหน้าต่างที่พัก คาดเดาเรื่องราวได้หลายส่วน หากแต่ตนเองก็มิได้อยู่ในฐานะสมควรเปิดเผยตัวตนเช่นกัน จึงได้แต่ส่ายหน้า ลืมเลือนเรื่องราวให้หมดสิ้นไป
จอมยุทธ์สาวคลุมหน้า ซึ่งก็คือ นางแอ่นในรูปโฉมที่แท้จริง เข้าไปดูอาการคนเจ็บคนสำคัญที่ห้องคนไข้พิเศษ เพิ่งถึงหน้าประตู พลันได้ยินเสียงนกฮูกร่ำร้องออกมา “..ขอบคุณท่านพี่รองที่ละเว้นชีวิตน้องเล็ก..”
นางแอ่นไม่ทันขบคิดอันใด รีบผลักประตูห้องเข้าไปด้วยความเป็นห่วง มองเห็นนกฮูกคุกเข่าฟุบตัวลงกับเตียงคนไข้ด้วยความอ่อนเพลีย คนเจ็บลึกลับโดนพันผ้าใหม่ไว้ทั่วร่างกาย ถูกจับแช่สมุนไพรอยู่ในถังไม้ทรงสูงข้างห้องไปแล้ว
หมอฮัวโต๋ยันตัวขึ้นจากพื้น ถอนหายใจโล่งอกพร้อมโบกมือ “น้องเล็กรอดตายแล้ว แต่อาจจะพิการสูญสิ้นพลังฝืมือไปชั่วชีวิต”
นกฮูกไม่มีท่าทีแปลกใจที่เห็นนางแอ่นเข้ามา เนื่องจากที่จริงแล้ว ทั้งสองเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่แรก และเพิ่งมาแยกกันเมื่อพบเห็นการต่อสู้นี่เอง
ย้อนกลับไปนับจากฮัวโต๋ฉุดลากเหยี่ยวดำหลบหนีมาจากลำธาร เกรงว่า กระสาจะส่งคนมาดักสกัด จึงไม่กล้าใช้ทางตรงมุ่งสู่กระท่อมรังนก แต่กลับอ้อมเส้นทางตรงไปเมืองชีจิ๋วก่อน เรียกตัวนางแอ่นให้มาช่วยอารักขาพวกตนอีกแรง ยินยอมให้ล่าช้าไปหลายวัน เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนเจ็บ
นางแอ่นไม่สะดวกเดินทางในฐานะขุนพลเตียวหุย จึงใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงคลุมผ้าดำไว้ เบื้องแรก ยังคิดไม่เข้าร่วมวงต่อสู้ แต่เมื่อเห็นว่ามิอาจหลีกเลี่ยง ค่อยยอมลงมือจัดการอีกแรง ซึ่งแน่นอนว่า นักฆ่าเหล่านี้เป็นฝืมือของกระสาจอมอำมหิตที่ส่งมาแบบหวังผล เป็นการกำจัดนกฮูกและเหยี่ยวดำให้สิ้นซากตามอีกาและกระเรียนผู้ล่วงลับ
นางแอ่นมองร่างของน้องเล็กพร้อมน้ำตาคลอเบ้า สงสารชะตาชีวิตจอมยุทธ์รุ่นน้องยิ่งนัก แต่ไม่อาจรั้งรออยู่นาน จำต้องรีบย้อนกลับไปเมืองชีจิ๋วโดยเร็ว เพื่อไม่ให้พวกเล่าปี่สงสัยมากไปกว่านี้
เมื่อจบสิ้นเหตุการณ์ร้ายแล้ว นกฮูก-ฮัวโต๋จึงกล่าวขอบคุณต่อโจหยินที่ช่วยอารักขาสถานพยาบาลเอาไว้ได้ พร้อมยัดเยียดม้วนตำราโบราณชิ้นหนึ่งให้เป็นการตอบแทน “นี่คือค่ายกลแปดประตูประแจทองที่ลูกค้าเคยมอบเอาไว้ ข้าน้อยขอส่งต่อเป็นการตอบแทนน้ำใจแก่ท่านขุนพล”
“ยังดีที่ท่านกาเซี่ยงได้รับเบาะแสการจู่โจมของกลุ่มนักฆ่าลึกลับ จึงส่งให้เรากับโจหองผลัดกันมาดูแลกระท่อมรังนกให้กับท่านได้ทันเวลา หากแต่การศึกเมืองเตียงอันยังไม่จบสิ้น โจหองรักษาการณ์ที่เมืองอ้วนเซียจะเดินทางไปกลับได้สะดวกกว่า จึงควรให้กองทัพฟากนี้ดูแลต่อไป ท่านมิต้องกังวลใจเลย” โจหยินกล่าวอย่างนอบน้อม
ฮัวโต๋แสร้งร้อง อ้อ พร้อมสั่งการให้คนจัดเตรียมตัวยาครอบจักรวาลหลายขนาน ฝากฝังให้โจหยินมอบต่อกุนซือเงาปีศาจเป็นการตอบแทนน้ำใจด้วยเช่นกัน
โจหยินจึงถอนทัพกลับที่มั่นด้วยความยินดีที่ได้รับค่ายกลพยุหะพิสดารมาศึกษา และได้ใช้ประโยชน์ในการศึกสงครามในโอกาสต่อไปภายหน้า โดยไม่รับรู้เลยว่า ตนเองพลาดโอกาสได้พบกับนักรบหนุ่มอนาคตไกลไปคนหนึ่งแล้ว
ณ เมืองเตียงอัน แฮหัวเอี๋ยน กาเซี่ยงรับฟังรายงานจากโจหยินแล้วค่อยคลายความกังวลใจ สอบถามล้วงลึกไปถึงข้อมูลลับสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง
“คนผู้นั้นย่อมอยู่รอดปลอดภัยดี เราพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวมากความให้คนอื่นสงสัยในท่าที จึงทำเป็นขอเยี่ยมชมพื้นที่โดยรอบภายในกระท่อมรังนก พบเห็นสถานที่พักฟื้นของผู้ป่วยเรื้อรังตั้งอยู่ห่างไกลจุดปะทะพอสมควร และได้เห็นคนผู้นั้นในระยะไกล พอประเมินได้ว่า อาการของมันดีขึ้นกว่าเดิมบ้างแล้ว” โจหยินกล่าวยิ้มแย้ม
จากคำพูดดังกล่าว แสดงว่า บุคคลสำคัญของขุมกำลังรัฐบาลได้ปกปิดตัวตน และแฝงตัวเข้าพักรักษาอยู่ในกระท่อมรังนก มิน่า กาเซี่ยง-นกฮูกที่ต้องหยิบยืมทัพโจหยินช่วยเหลือคนหน่วยปักษา จึงมีข้ออ้างในการเคลื่อนทัพอย่างเร่งรีบได้เช่นนี้
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา