Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
3 มี.ค. 2021 เวลา 02:19 • นิยาย เรื่องสั้น
2.13. ลอบสังหารกลางเมือง
กุยแก กุนซืออมโรค - ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด - เทียลิด กุนซือในเงามืด
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เหตุการณ์ในเมืองหลวงก็สับสนวุ่นวายไม่น้อยไปกว่ากันนัก พระเจ้าเหี้ยนเต้ฉวยโอกาสที่โจโฉกำลังสูญเสียความนิยมด้วยข่าวจริงและข่าวลือต่างๆ ส่งสัญญาณไปยังสองเชื้อพระวงศ์ คือ เล่าเปียว และเล่าเจี้ยง ให้ส่งยอดฝีมือเข้ามาสมทบ เพื่อก่อการยึดอำนาจคืนจากผู้สำเร็จราชการ โจโฉในช่วงเปราะบางที่สุด ก่อนจะเสียอำนาจไปให้กับอ้วนเสี้ยวอีกครั้ง
เวลานี้ คนสำคัญฝ่ายโจโฉในเมืองหลวง เหลือเพียงสองกุนซือ สองขุนพล คือตันกุ๋น กุยแก ซิหลง อิกิ๋ม ที่ถูกส่งกลับมาอยู่รักษาการณ์เท่านั้นเอง คนอื่นๆล้วนแยกย้ายไปรับมือตามชายแดน จนเมืองหลวงกลวงเปล่ายิ่งนัก
ในอดีต กษัตริย์เลนเต้ พระบิดาเคยสั่งความให้เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน สองเชื้อพระวงศ์คนสนิทแยกย้ายออกไปคุมกองกำลังในดินแดนสำคัญทั้งสองฝั่งทิศทาง เสฉวนตะวันตก เกงจิ๋วใต้ หากวันใด เมืองหลวงส่งสัญญาณเรียก ก็ให้จัดส่งความช่วยเหลือเข้ามาโดยเร็ว นี่เป็นแผนการที่วางไว้ แต่ตัวท่านเองกลับไม่ทันได้ใช้ประโยชน์จากมัน ครานี้ เป็นกษัตริย์เหี้ยนเต้ ผู้บุตรที่ดำเนินการสืบต่อให้แล้ว
แผนการของมันเพียงต้องการให้ยอดฝีมือมาช่วยลอบสังหารบุคคลสำคัญทั้งสี่ แล้วให้ตังสิน ขุนนางรักชาติที่ยังเหลือรอดจากการกวาดล้างด้วยพระราชโองการโลหิตปลอมในครั้งก่อน เพราะโจโฉยังไว้หน้าด้วยความที่เป็นบิดาของสนมเอกตังกุยหุย นำกำลังทหารเข้ายึดกุมอำนาจ และสถานที่สำคัญเป็นฐานที่มั่น
หลังจากนั้น เมื่อคนตระกูลเล่านำกำลังเสริมสองประสานเข้ามาเพิ่มเติม น่าจะเพียงพอที่จะคุ้มครองเมืองหลวงไว้ได้ และกอบกู้ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ฮั่นกลับคืน กดดันให้อ้วนเสี้ยวหยุดยั้งอยู่เพียงแค่นอกเมือง ไม่อาจเข้ามาครอบครองเมืองหลวง เหมือนเมื่อครั้งตั๋งโต๊ะใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ายึดอำนาจในครั้งก่อน
เสียดายแต่ที่การส่งสัญญาณออกไปนั้น ไม่ได้หลุดรอดสายตาของนางเปียนสี หรืออดีตเตียวเสี้ยนที่เข้าออกภายในวังได้สะดวก ทำให้ข่าวลับถูกแพร่งพรายไปยังเตียวเลี้ยว คนในพรรคฟ้าเหลืองด้วยกัน และคราวนี้ เตียวเลี้ยวในฐานะสายลับสองหน้า ก็ได้ส่งข่าวคราวต่อไปยังตันกุ๋นแห่งเครือข่ายสุมาด้วยอีกทอดหนึ่ง ขุมกำลังลับทั้งสองจึงมีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้
…
ในบรรดากุนซือทั้งหลาย ยามนี้ ยังคงต้องนับว่า กุยแก กุนซืออมโรคยังคงเป็นอันดับหนึ่งเช่นเดิม แม้ว่าจะมีจุดอ่อนที่เปราะบาง สุขภาพอ่อนแอ และมีชนักติดหลังที่ออกคำสั่งเคลื่อนพลโดยพลการ แล้วก่อให้เกิดความสูญเสียเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้กุยแกสงบเสงี่ยมเจียมตัวลงไปมาก แถมซ้ำหมอฮัวโต๋ คนแจ้งเบาะแสที่เคยดูแลรักษาโรคให้ ก็พลอยไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนเหมือนแต่ก่อน ด้วยไม่กล้าสู้หน้ากัน
การที่กุยแกและตันกุ๋น สองกุนซือได้รับคำสั่งดูแลเมืองหลวง ทางปฏิบัติแล้ว ตันกุ๋นจึงรับอาสาดูแลงานบริหารทั่วไปโดยรอบ ละเว้นให้เรื่องราวราชสำนัก และราชการสำคัญทางทหารเป็นหน้าที่ของกุยแก เพื่อบรรเทาภาระความรับผิดชอบให้ ขุนพลซิหลง อิกิ๋ม ก็ล้วนรับฟังคำสั่งโดยตรงจากกุยแกเท่านั้น
วันหนึ่ง กุยแกได้รับคำเชิญให้ไปร่วมประชุมกับตันกุ๋นที่บ้านพักตอนค่ำ ยินว่า เป็นเรื่องลับทางการเมือง แม้ว่าตัวมันเองมีสุขภาพที่ย่ำแย่ ไม่สะดวกในการเดินทาง หากแต่ตอนนี้ สถานะของมันควรโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่าจะไปแข็งขืนกับพวกพ้อง
อีกทั้ง ยังได้ยินว่า ตันกุ๋นมีกุนซือหน้าใหม่จะแนะนำตัวให้รู้จักกันด้วย มันจึงต้องฝืนสังขารมาร่วมงานอย่างจำใจแล้ว หากไม่สูญเสียหมอฮัวโต๋ไป คงช่วยรักษาสุขภาพของมันได้แข็งแรงมากกว่านี้แล้ว ยามอับจน จึงได้แต่กลืนยาโสมหิมะเท่าที่มีติดตัวมาจากบ้านเกิด บรรเทาอาการเรื้อรังไปพลางก่อน
ยังดีที่เทียลิด พ่อบ้านใหญ่สกุลโจ พอว่างอยู่ และแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสหายสนิท จึงได้ช่วยจัดการเรื่องการเดินทางให้กระทบกระเทือนต่อสุขภาพให้น้อยที่สุด และพลอยรั้งรอดูท่าทีอยู่ในบริเวณนั้นด้วยความห่วงใยส่วนตัว
…
บนหลังคาฝั่งตรงข้ามห้องโถงรับรองของตันกุ๋น ปรากฏบุรุษชุดดำคลุมหน้า เห็นเพียงคิ้วสีเทาแปลกตา สะพายเกาทัณฑ์ซุ่มอยู่บนหลังคาอย่างเงียบงัน กลมกลืนกับความมืด ราวกับมือสังหารอาชีพ
ภายในห้องโถง มีตันกุ๋นในชุดสีแดงสะดุดตา ตั้งโต๊ะรับรองกุยแก โดยมีหนุ่มใหญ่ ผมขาวประปรายในชุดนักศึกษาอีกคนหนึ่งนั่งประกบอยู่ ถัดไปจึงเป็น ซิหลง อิกิ๋ม สองขุนพลที่เหลืออยู่ในเมืองหลวง คนสำคัญฝ่ายโจโฉเท่าที่เหลืออยู่ครบแล้ว “ช่างโชคดีนัก ฮองตงเอ๋ย พวกมันสุมหัวกันอยู่ครบคนเลยทีเดียว”
ที่แท้คือ ฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ ขุนพลสูงวัย ที่ลอบเข้ามาสังหารคนสำคัญฝ่ายโจโฉตามคำสั่งของเล่าเจี้ยงแห่งเสฉวน ตัวมันเพิ่งจบสิ้นเรื่องราวจากการป้องกันกระท่อมรังนก ยังไม่ทันได้รักษาโรคไข้ป่าเรื้อรังตามความประสงค์ พลันได้รับคำสั่งพิเศษกระทันหัน จึงต้องยอมละทิ้งโอกาสรักษาตัวต่อ มุ่งตรงมายังจุดหมาย กลับประหยัดเวลาไปได้หลายวัน
ที่จริงแล้ว มันไม่ชอบในความคิดอาจหาญบุกเดี่ยวเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย ในฐานะ เจ้าหน้าที่มือปราบเก่าแล้ว นักฆ่ามือสังหารเป็นเสมือนอาชีพที่ต่ำช้า ไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่สุด แต่เล่าเจี้ยงนายน้อย สั่งเด็ดขาดให้กระทำการนี้ หากไม่ไปก็ผิดกฎทหาร หรือหากไม่สำเร็จก็ต้องตายสถานเดียว
ตัวมันพร้อมยอมตายอย่างขุนพลในสนามรบมากกว่าจะมาตายอย่างนักฆ่าไร้เกียรติเช่นนั้น มันจึงยินยอมมาตามแผนการ หากแต่หลังจากเสร็จจากงานนี้ ถือเป็นการทดแทนบุญคุณแล้ว มันคงขออำลาจากเจ้านายประเภทนี้ เพราะตัวมันคือขุนศึกนักรบ หรือ มือปราบ ไม่ใช่มือสังหาร!!
ในขณะที่ตระเตรียมจะใช้ไม้ตาย ยิงเกาทัณฑ์คู่จัดการซิหลง อิกิ๋มพร้อมกัน เพื่อตัดกำลังรบของฝ่ายตรงข้ามก่อน ด้านล่างกลับปรากฏคนคลุมหน้าชุดดำสองคนพุ่งเข้าจู่โจมใส่เป้าหมาย จนเกิดความสับสนวุ่นวายภายในห้องรับรอง
ซิหลง อิกิ๋มแยกย้ายกันรับมือผู้บุกรุก สองกุนซือหลบฉาก เรียกให้องครักษ์มาเสริมเติม ทำให้พื้นที่ด้านล่างเต็มไปด้วยผู้คนรายล้อมกันเข้ามา ไม่อาจใช้การสังหารเดี่ยวเสียแล้ว
ฮองตงจึงเปลี่ยนใจ ใช้เป็นเกาทัณฑ์ระเบิดเพลิง อาวุธเฉพาะตัวที่มันค้นคิดขึ้นเองจากประสบการณ์ที่อยู่เมืองเสฉวน ยิงเข้าไปกลางงานเลี้ยงแทน มุ่งหวังสังหารได้สำเร็จแค่สามส่วน แต่ก็ยังคงเป็นสัญญาณให้พวกผู้ก่อการทุกจุดออกมาแย่งชิงพื้นที่สำคัญเอาไว้ตามที่นัดหมายกันไว้
“เจ้าสองคนสอดแทรกเข้ามาในแผนการ แต่ดันลงมือเร็วเกินไปเพียงชั่ววูบเดียว การสังหารขุนพลยังไม่ทันสำเร็จ แผนการสำคัญจึงต้องเปลี่ยนเสียแล้ว” ฮองตงคิดอย่างรวดเร็ว นึกขุ่นเคืองใจที่มีคนทำให้เสียแผน
เสียงระเบิดดังกึกก้องจากห้องโถงรับรอง พร้อมเปลวไฟแตกกระจายลุกลามไปตามสิ่งของและอุปกรณ์เครื่องใช้ คนคลุมหน้าทั้งสองฉวยโอกาสชุลมุน แยกย้ายกันหลบหนีข้ามกำแพงไปแล้ว
ฮองตงเองก็เคลื่อนไหวเฉกเช่นกัน มันวิ่งไต่หลังคาลงมาที่ตรอกเล็กด้านหลังจวนที่พัก หากแต่เบื้องหน้ากลับปรากฏตันกุ๋น ซิหลง อิกิ๋ม ขวางทางไว้แทน กลายเป็นมันเข้ามาสู่กับดักแทนแล้ว “สองหมัดยากต้านทานสี่มือ” โดยเฉพาะเมื่อไม่มีอาวุธประจำกาย นอกจากคันเกาทัณฑ์ ทำให้ขุนพลที่ยังคงมีอาการไข้ป่าเรื้อรังอย่างฮองตงได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่คนคลุมหน้าทั้งสองยังย้อนกลับมาช่วยเหลือให้หลุดรอดจากวงล้อมได้สำเร็จ พวกมันเป็นใครยังไม่อาจล่วงรู้ เพียงแต่น่าจะเป็นคนของฝ่ายเล่าเปียวที่มาร่วมแผนการ และเห็นมีคนหนึ่งมีป้ายหยกสีขาวคล้องคอ เป็นป้ายหยกรูปเมฆ!
ฮองตงวิ่งหนีสุดชีวิต ออกนอกเมืองไปในทิศทางที่ไร้จุดหมาย แต่ยิ่งห่างไกลไปจากเขตแดนของเล่าเจี้ยงแล้ว ด้วยพิษบาดแผลสาหัสเช่นนี้กับคนสูงวัยอย่างมัน ผนวกซ้ำกับไข้ป่าเรื้อรังที่ยังคั่งค้างอยู่ก่อน คงอีกนานหลายปี จึงจะกลับมาเคลื่อนไหวฝากชื่อเสียงไว้ให้กับบ้านเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง
และในเมื่อแผนการล้มเหลว มันย่อมไม่มีหน้าย้อนกลับไปพบเล่าเจี้ยงได้อีก “เล่าเจี้ยงเอ๋ย ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วข้าจะกลับมาทวงศักดิ์ศรีของขุนศึกนักรบคืนจากเจ้า”
ผู้มีพระคุณช่วยชีิวิตของฮองตงจากอาการไข้ป่ารุมเร้า คือ เล่าเอี๋ยนผู้พ่อ ความผูกพันกับนายน้อยเล่าเจี้ยงจึงมีไม่มากนัก งานนี้ เล่าเจี้ยงจึงสูญเสียโอกาสช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ และเสียขุนพลชั้นดีไปเปล่าๆหนึ่งคน เพียงเพราะว่าขาดการประสานงานกันกับกลุ่มต่างๆเท่านั้นเอง หรือเกิดจารชนซ้อนแผนจากพวกเดียวกันเองแล้ว
...
อีกทางหนึ่ง คนคลุมหน้าทั้งสอง ซึ่งก็คือ เตียวหุย และจูล่ง ยังคงต่อสู้ติดพันอยู่กับตันกุ๋น ซิหลง และอิกิ๋มอย่างชุลมุนวุ่นวาย ทั้งสองขุนพลได้รับคำสั่งจากเล่าปี่ ซึ่งรับภารกิจลับนี้มาจากเล่าเปียว ให้เข้ามาร่วมแผนการลอบสังหารอีกทอดหนึ่ง ไม่สะดวกในการใช้อาวุธคู่มือ ได้แต่พกพากระบี่ธรรมดามาใช้งาน
เตียวหุยหรือนางแอ่นที่เพิ่งควบม้าข้ามค่ำคืนจากกระท่อมรังนกแถบเมืองอ้วนเซีย ย้อนกลับไปยังเมืองชีจิ๋ว จึงต้องร่วมทางมาเมืองหลวงพร้อมกับจูล่งอย่างฉุกละหุก ร่างกายแม้แข็งแกร่งปานใด ก็ยังคงมีอาการอ่อนล้าอ่อนเพลียอยู่บ้าง คงเหลือเรี่ยวแรงต่อสู้เพียงห้าหกส่วนเท่านั้น
ถึงกระนั้น หากร่วมมือกันอย่างจริงจัง ฝ่ายเตียวหุย จูล่ง น่าจะได้เปรียบเหนือกว่าซิหลงทั้งสามอยู่บ้าง แต่แล้วจู่ๆ จูล่งกลับถอนตัว หลบหนีออกจากวงล้อมไปอย่างกระทันหัน ปล่อยให้เตียวหุยรับมือคู่ต่อสู้ทั้งสามตามลำพัง เหมือนต้องการปล่อยให้ถูกรุมฆ่าตาย
เพียงเวลาไม่นาน เตียวหุยจึงเต็มไปด้วยบาดแผลทั่วทั้งกาย ทั้งที่ไม่เคยพ่ายแพ้ยับเยินต่อใครมาก่อน แต่ยังดีที่มันมีวิชาไม้ตายที่เหมาะต่อการหลบหนีอยู่ นั่นคือ “พลังราชสีห์คำราม”
เตียวหุยเพียงรอจังหวะเหมาะสม แล้วค่อยส่งเสียงตะโกนด้วยพลังลมปราณที่ผสมผสานสิ่งประดิษฐ์พิเศษออกไป กลายเป็นพลังเสียงที่ดังก้องปานฟ้าร้องกระแทกใส่แก้วหู จนคนทั้งสามชะงักงันไปชั่ววูบหนึ่งด้วยความตกใจ มันจึงรีบหนีออกจากวงล้อมไปได้เช่นกัน แต่ลูกไม้เช่นนี้ คงใช้ได้เพียงครั้งเดียว หากฝ่ายศัตรูรู้ตัวก่อนล่วงหน้า วิชาเล่ห์กลเช่นนี้คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ตัวมันเองอาสามาร่วมการลอบสังหารในครั้งนี้จากเล่าปี่ ก็เพื่อทำลายแผนการให้ได้ เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีเรื่องราวตอนนี้ปรากฏ มันในฐานะนกนางแอ่นแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ย่อมไม่อาจให้โจโฉเสียตำแหน่งผู้สำเร็จราชการไปได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ดังนั้น ก่อนถึงสัญญาณลงมือตามที่นัดหมายกันไว้ มันจึงชักชวนให้จูล่งบุกเข้าไปเสียก่อน เพื่อก่อกวนให้แผนการล้มเหลวในนาทีสุดท้ายนี้
แต่อีกสักครู่ มันคงต้องกลับไปสอบถามกับจูล่งแล้วที่เมื่อตกลงใจย้อนกลับมาช่วยผู้คนอีกรอบแล้ว กลับหนีหายไปเฉยๆ ปล่อยมันไว้ในวงล้อมเช่นนี้ ช่างผิดวิสัยนักรบเหี้ยมหาญที่มันเคย “รับรู้” มาอย่างลิบลับ
หากแต่ตอนนี้ มันคงต้องไปพบกับหมอฮัวโต๋ หรือ นกฮูก แพทย์ประจำหน่วยปักษาสวรรค์เพื่อรักษาบาดแผลการต่อสู้ก่อนแล้วจะได้ทำการรักษาเรื่องลับเฉพาะของตัวเองไปด้วยในคราวเดียวกัน
เป็นความลับที่คนในหน่วยปักษาสวรรค์เท่านั้นที่รับรู้ความจริงนี้
…
จูล่งที่แยกตัวหลบหนีไปนั้น มิใช่เรื่องบังเอิญเฉพาะหน้าแต่อย่างใด แต่มันได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยให้มันสั่งการชิงลงมือก่อนเกิดการลอบสังหารด้วยเกาทัณฑ์ของฮองตงตามแผนการ และเมื่อแผนการปั่นป่วน มันค่อยน้อมส่งเตียวหุยเข้าสู่วงล้อมของฝ่ายโจโฉ ให้พัวพันเหนี่ยวรั้งแกนนำทั้งสามคนเอาไว้ก่อน
ทางหนึ่งก็ตั้งใจกำจัดเตียวหุยให้ถูกรุมสังหารในสนามรบ ที่จริง มันเก็บชีวิตเตียวหุยไว้เนิ่นนาน เพื่อรอคอยข้อมูลขุมทรัพย์ฟ้าเหลือง หากแต่มันเพิ่งค้นพบเบาะแสสำคัญแล้วด้วยตนเอง และเมื่อพวกมันช่วงชิงฐานที่มั่นเมืองหลวงไว้ได้ ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
อีกทางหนึ่ง เตียวหุยมีวิทยายุทธ์ล้ำลึก การต่อกรกับคนทั้งสามอาจจะเสียเปรียบหลายขั้น แต่ก็มิอาจเผด็จศึกได้รวดเร็วนัก ทำให้ตัวมันมีเวลาไปพบตังสิน และร่วมกันยึดที่มั่นสำคัญในเมืองหลวง พลิกสถานการณ์ให้กับฝ่ายที่มุ่งหวังจะยึดครองอำนาจแทน
ครั้งนี้ นับเป็นการเคลื่อนไหวของพรรคฟ้าเหลืองแบบเร้นลับ ซึ่งหากกระทำการได้สำเร็จ จูล่งจะซ้อนแผนตัดสัมพันธ์ของเชื้อพระวงศ์ทั้งสองออกในทันที เปิดทางให้ขุมกำลังสัตตดาราเกาะกุมอำนาจราชวงศ์ฮั่นไว้แทนฝ่ายโจโฉ กลายเป็นการปฏิวัติซ้อนหักหลังคนฝ่ายราชวงศ์ กินรวบทั้งหมดในครั้งเดียว
ดังนั้น ด้วยเดิมพันที่สูงส่งครั้งนี้ การเสียสละเตียวหุยไปพร้อมกับเบาะแสเกี่ยวกับขุมทรัพย์ดั้งเดิมที่ต้องเลื่อนช้าออกไปบ้าง ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ พรรคฟ้าเหลืองกลับมาสู่อำนาจความยิ่งใหญ่ ย่อมเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ
แต่แล้วเตียวหุยเองกลับเป็นฝ่ายที่ใจร้อนบุ่มบ่าม ผลักดันให้มันออกมาก่อนกำหนดนัดเองด้วยซ้ำ มันจึงรีบคล้อยตาม และฉวยโอกาสที่มีฝ่ายก่อการโดนล้อมอยู่ ชักชวนให้เตียวหุยกลับเข้าไปช่วยเหลืออีกรอบ แล้วมันค่อยหลบหนีออกไปตามแผนการเดิม
…
แต่เมื่อจูล่งเดินทางไปถึงจุดนัดพบ ตังสิน อดีตหัวหน้าองครักษ์วังหลวงผู้จงรักภักดี กลับเพิ่งถูกสังหารตายด้วยน้ำมือของกลุ่มบุรุษชุดดำรัดกุมสามสี่คนที่ปิดใบหน้าไว้ ภายใต้การนำของหนุ่มใหญ่ผมขาวในชุดนักศึกษาเสียแล้ว พร้อมทั้งกำลังทหารพิทักษ์ฮั่นที่ระดมขึ้นมาเฉพาะหน้า ก็ได้แตกพ่ายกระจัดกระจายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน แผนการที่วางไว้กลับพังพินาศลงตรงหน้าด้วยบุคคลลึกลับกลุ่มนี้
ชายหนุ่มผมขาวหันมาพบกับจูล่งเข้าพอดี ต่างฝ่ายต่างคาดเดาได้ว่า เจตนาของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่าเป็นเช่นไร จูล่งที่ยังคงอยู่ในชุดอำพรางหน้าตา จึงตรงเข้าทดสอบพลังฝีมือของกลุ่มคนลึกลับเหล่านี้ทั้งห้า จึงพบว่าแต่ละคนนับเป็นระดับยอดฝีมือได้ทั้งสิ้น มันถูกกลุ้มรุมห้าต่อหนึ่ง จึงได้รับบาดแผลฉกรรจ์เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ทำให้ต้องเปลี่ยนใจรีบหลบหนีไปอีกทางหนึ่ง
สถานการณ์ลุกลามไปเช่นนี้คงยากจะแก้ไขกลับคืนมาแล้ว การป้ายความผิดพลาดในแผนการให้กับคนตายอย่างตังสิน ย่อมไม่ทำให้เล่าปี่หรือเตียวหุยสอบถามเอาข้อมูลความจริงได้ดอก มันยังกลับไปสู่ฐานะเดิมได้อยู่เช่นเดิม แม้ว่า ภารกิจซ้อนแผนจะล้มเหลวไปก็ตาม
แต่บาดแผลที่ท้องแขนเริ่มชาด้าน และมีเลือดสีดำซึมไหล หรือว่า กระบี่ที่พวกบุรุษชุดดำแอบเคลือบยาพิษไว้ด้วย ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก สาสมแล้วที่มันใช้กระบี่กวาดใส่เข่าขวาคนชุดดำผู้นั้นเป็นการตอบแทน หวังว่า ขาขวานั้นคงจะเดินไม่ถนัดไปอีกนาน คิดถึงตอนนั้น แล้วมันก็วิ่งหนีออกมาถึงกลางป่านอกเมือง และล้มลงหมดสติไปแล้ว
หรือว่า นี่คือจุดจบของขุนพลม้าขาว และประมุขพรรคฟ้าเหลืองเสียแล้ว
…
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง กุยแกยังคงนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังในมุมมืดมิด แรงระเบิดเพลิงและสิ่งของหล่นกระแทก ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสจนสิ้นสติไปชั่วคราว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ตามที่ต้องการ และใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะหลุดรอดออกมาด้านบนได้สำเร็จ
มันย่อมรู้สึกกล้ำกลืนช้ำใจ หากเป็นสมัยที่ยังเป็นนักฆ่าที่ถิ่นกำเนิด ยังมิได้ถูกกองซุนตู้ฟาดใส่จนบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์เช่นนี้ มันสมควรหลบหลีกได้ไม่ยากนัก
เงาร่างสูงใหญ่ในชุดสีแดงฉานพลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ เอามือกุมใบหน้าครึ่งซีกเหมือนได้รับบาดเจ็บ แต่พอคาดเดาจากชุดแต่งกายได้ว่า เป็นตันกุ๋นเจ้าภาพ ที่ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ยังคงเข้าไปตรวจสอบอาการสหายร่วมงาน
“อืม ช่วยข้าด้วย ท่านตันกุ๋น” กุยแกเอื้อมมือไขว่คว้าปกเสื้อของบุคคลตรงหน้าเอาไว้แน่น แต่กลับลืมตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากคนที่มาช่วย
“จงพักผ่อนเสียเถิด ท่านจุนแจ จารชน อดีตนักฆ่าชื่อดังจากดินแดนโกกุเรียว” เสียงแปร่งปร่าของเงาร่างชุดแดงกล่าวตอบ พลางกดเศษไม้ที่ปักคาร่างฝ่ายตรงข้ามลงลึกเข้าไปอีก ให้ดูคล้ายเป็นบาดแผลต่อเนื่องจากแรงระเบิดถล่มเมื่อครู่ “กิจการแผ่นดินฮั่น จงปล่อยให้คนฮั่นจัดการกันเอง สายลับคนนอกมิต้องมาสอดแทรกยุ่งเกี่ยว เรื่องราวที่นี่ จงปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิด หากท่านมีชีวิตรอดต่อไป กลับจะกีดขวางมือเท้าของเราเสียเปล่าๆ”
ตันกุ๋นสมกับเป็นจารชนมืออาชีพ ถึงกับค้นพบตัวตนที่แท้จริงของกุยแก และมิได้บอกต่อผู้ใดให้วุ่นวาย เพียงคิดใช้โอกาสเหมาะสมจัดการกุนซือและมือสังหารอันดับหนึ่งให้ออกไปจากเส้นทางการเมืองในคราวเดียวได้อย่างแนบเนียน
คิดดู การที่ตันกุ๋นเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงดังกล่าว กลับละทิ้งให้กุนซือสำคัญบาดเจ็บสาหัสจนตายไปในภายหลังนั้น โจโฉอาจจะคาดเดาว่า มันจงใจถ่วงเวลา ปล่อยให้กุยแกตาย ดังนั้น สู้ให้กุยแกตกตายไปในเหตุการณ์ลอบสังหารเสียเลย น่าจะดีกว่า
ตันกุ๋นเหมาะสมกับฉายากุนซือจอมโหดจริงๆ เงื่อนไขความคิดคงไม่ต่างจากการลงมือสังหารลิแปะเฉียในอดีต กุนซือจารชนชั้นดี แต่สุขภาพอ่อนแออย่างกุยแก จึงต้องพบจุดจบอย่างงมงายลงเพียงแค่นี้
…
พ่อบ้านใหญ่เทียลิดตาเบิกโพลง รีบเอามืออุดปากตัวเองไว้แน่น เมื่อครู่ หลังจากเกิดระเบิดรุนแรง พวกตันกุ๋นทั้งสี่รีบเร่งตามออกไปรับมือกับศัตรูอยู่ภายนอก ทหารประจำการณ์และผู้รับใช้ล้วนหายหน้ากันไปหมดสิ้น แต่ทั้งหมดกลับหลงลืมบุคคลสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ไปผู้หนึ่ง มันเหลือตัวคนเดียวจึงรีบตรงไปค้นหาตามซากปรักหักฟัง และค้นพบกุยแกสหายรักที่นอนสลบไสลไม่ได้สติ จมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
เทียลิด จิตใจอ่อนไหว ไม่มีวิทยายุทธ์ ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงกระไรนัก แต่สองมือพยายามขุดคุ้ยเศษไม้เศษหิน หวังเปิดช่องให้ลากตัวกุยแกออกมาให้ได้ “กุุยแก เจ้าไม่อาจตายง่ายๆเช่นนี้นะ รีบตื่นขึ้นสิ แข็งใจเอาไว้”
กุยแกเผยอตาขึ้นอย่างยากเย็น พบเห็นสหายรู้ใจกำลังร่ำไห้ แต่ไม่ยอมหยุดมือ จึงส่งเสียงแหบแห้ง “ไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว พี่ท่าน เราคงไม่รอดแล้วล่ะ”
เทียลิดหยุดมือไปจริงๆ เพราะพบเห็นเศษไม้ที่แทงทะลุช่องท้องของกุนซืออมโรคเป็นบาดแผลสาหัสหนัก ย่ิงขยับเขยื้อนมากไป กลับจะเร่งให้ฝ่ายตรงข้ามเจ็บปวดมากขึ้น หรือเสียเลือดตายเร็วขึ้นเท่านั้น โอกาสเป็นตายทัดเทียมจนไม่กล้าลงมือต่ออีก
กุยแกก็รับรู้เช่นกัน จึงใช้โอกาสนี้ในการสั่งเสีย “พี่ท่านจงออกจากเงามืดเถิด ท่านโจโฉเป็นเจ้านายที่ดี กำลังต้องการใช้คนเก่งมีความสามารถ ท่านสมควรได้รับการยกย่องไม่น้อยกว่ากุนซือผู้ใด ข้าจุนแจ รู้สึกผิดต่อท่านยิ่งนัก...”
เทียลิดกุยแกได้ยินคล้ายเสียงสั่งการเอะอะดังมาแต่ไกล “กุนซือจอมโหดกลับมา” ทั้งสองเรียกตามชื่อเล่นที่รู้กันเพียงสองคน เทียลิดจะส่งเสียงเรียกให้มาช่วยเหลือสหาย แต่กุยแกห้ามไว้ พร้อมบอกต่อเทียลิด “หลบออกไปก่อน อย่าให้มันพบเห็นท่าน”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่กุนซือกุยแกหรือจารชนจุนแจมีต่อเทียลิด เป็นลางสังหรณ์ที่มันสัมผัสได้อย่างไม่มีเหตุผลก่อนตาย รังสีฆ่าฟันแผ่ออกมาจากผู้มาใหม่จนสัมผัสได้ ดังนั้น มันจึงห้ามปรามเทียลิด และกีดกันให้สหายรักหลบพ้นไปจากเส้นทางอำมหิตที่กำลังจะมาถึง มิตรภาพอันงดงามของสองกุนซือที่มีเส้นทางชีวิตแตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีรสนิยมความชื่นชอบสอดคล้องกัน จึงมาถึงจุดสิ้นสุดเช่นนี้
เทียลิดตัวสั่นสะท้าน เก็บความโกรธแค้นเอาไว้ในใจ สาบานจะหาทางจัดการกับกุนซือจอมโหดผู้นี้ให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอันตราย หรือตำแหน่งเกียรติยศใดๆก็ตาม เงาร่่างในชุดสีแดงนั้นหายลับไปอีกแล้ว แต่ความแค้นระคนความขัดแย้งยังคุกรุ่นอยู่ในใจของกุนซือในเงามืดอย่างรุนแรง
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย