4 มี.ค. 2021 เวลา 01:34 • นิยาย เรื่องสั้น
2.14. ลมเปลี่ยนทิศทาง
กษัตริย์ เหี้ยนเต้ - ตังสิน ผู้นำขบถพิทักษ์ฮั่น - ตังกุยหุย สนมเอกคนโปรด
ภายในท้องพระโรงใหญ่ กษัตริย์เหี้ยนเต้ กำลังรอฟังข่าวจากขุนพลตังสินอย่างกระวนกระวายใจ แต่ผู้ที่ก้าวเข้ามาพบในยามค่ำคืนนี้กลับเป็นตันกุ๋น กุนซือหลักของโจโฉ กับ ชายหนุ่มผมขาวประปรายในชุดนักศึกษาอีกหนึ่งคน “ฮ่องเต้ โปรดวางพระทัย เหล่าคนร้ายภายในเมืองหลวงที่ร่วมก่อการขบถภายใต้ชื่อ กลุ่มพิทักษ์ฮั่น ได้ถูกกำจัดลงหมดสิ้นแล้ว”
“ฝ่ายเรามีความสูญเสียบ้างหรือไม่” เหี้ยนเต้ผินหน้าไปทางอื่น แสร้งยกแก้วสุราขึ้นดื่ม เพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังของตัวเอง
“มีเพียงท่านกุยแกที่ได้รับบาดเจ็บด้วยระเบิดเพลิงของมือสังหารจนเสียชีวิต ขุนพลตังสินถูกฆ่าตายที่ตลาดกลางเมือง ส่วนทหารที่เกิดการปะทะกันตามจุดต่างๆก็บาดเจ็บล้มตายเพียงเล็กน้อย ดีที่ฝ่ายเรามี ซิหลง อิกิ๋ม และสุมาอี้ กุนซือคนใหม่ผู้นี้ มาช่วยดูแลสถานการณ์ได้ทันเวลา หากแต่ว่า ผู้บงการยังคงลอยนวลอยู่ในเมืองหลวงนี้...” ตันกุ๋นจงใจลากเสียงยืดยาว
ที่แท้ ชายหนุ่มผมขาวประปรายคนนั้นคือ สุมาอี้ แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่ทันสนใจ หันมาสอบถามจากตันกุ๋นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าลง “ใครคือผู้บงการกลุ่มขบถนี้”
“ฝ่าบาทคงรับรู้อยู่แก่ใจแล้ว ไยต้องให้ข้าเอื้อนเอ่ยวาจาอีก เพียงแต่ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้กับโจโฉทราบหรอก ในเมื่อขุนพลตังสินถูกฆ่าตาย และสนมเอกตังกุยหุยก็พลอยผูกคอตายตามไปแล้วเช่นกัน ก็ให้คนตายแบกรับความผิดไปเถิด เพียงแต่นี้ต่อไป ท่านจงรับฟัง และคล้อยตามพวกข้าด้วยละกัน” ตันกุ๋นกล่าวทิ้งท้ายก่อนก้าวออกไปอย่างมีชัย “บอกให้ฝ่าบาททราบไว้ แผนลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะมันไม่ใช่ความลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว”
กษัตริย์เหี้ยนเต้นั่งตะลึงอยู่อีกเนิ่นนาน แววตาเหม่อลอย ใบหน้าดูหมองหม่นไร้สง่าราศรี สนมรักและขุนพลผู้ภักดีล้วนตกตายไปในคราวเดียว โดยเฉพาะตังกุยหุยที่ตั้งท้องอ่อนๆอยู่ด้วย ยังพลอยโดนภัยการเมืองไปแบบไม่รู้ตัว คราวนี้ นอกจาก โจโฉ ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว ยังมี ตันกุ๋น และสุมาอี้ ผู้มาใหม่ที่มันยังต้องเชื่อฟังด้วยอีกหรือนี่ อีกทั้ง ไม่รู้ด้วยว่า ภายในยังมีจารชนสายลับคนอื่นซ่อนกายอยู่ในราชสำนักอีกมากมายเพียงไร แล้วต่อไป มันจะไว้ใจใครได้อีกหรือ
น่าเห็นใจฮ่องเต้หนุ่มที่มีความพยายามหลุดจากวังวนครอบงำ แต่ด้วยการเมืองในวังหลวงช่างซับซ้อนยิ่งนัก ทำให้ต้องกลายเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นแล้วกระมัง โอกาสกอบกู้สถานะของกษัตริย์ฮั่นได้ดับวูบไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
การเคลื่อนไหวทั้งหมด จึงกลายเป็นเรื่องราวของกบฎพิทักษ์ฮั่น นำโดยขุนพลตังสิน และสนมเอกตังกุยหุย สองพ่อลูกที่ตายไปแล้วเป็นต้นคิด และฝ่ายโจโฉต้องสูญเสียกุนซืออมโรค กุยแก คนสำคัญ ไปในการต่อสู้ครั้งนี้
แม้นว่ากุยแกตายไปจะมีน้ำหนักต่อขุมกำลังรัฐบาลไม่น้อย แต่ภายใต้ร่มธงของโจโฉ ยังมีกุนซืออีกมากมายให้ใช้สอยได้ แต่เหี้ยนเต้สูญเสียขุนพลตังสิน และกองกำลังลับของสองเชื้อพระวงศ์ ก็นับว่า ขุมกำลังที่สะสมไว้นานปี เสียหายแทบหมดสิ้นแล้ว ทางเลือกของเหี้ยนเต้ที่จะต่อสู้กับฝ่ายโจโฉก็ลดน้อยถอยลงไปอีก เห็นที ต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเพาะบ่มคนกลุ่มใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่กษัตริย์เชื้อสายฮั่นไม่เคยยอมพ่ายแพ้ต่อชะตาชีวิตแน่นอน
เสียงขันทีประกาศดังขึ้น ฮกฮองเฮา ผู้เป็นลูกสาวฮกอ้วน ขุนนางอาวุโส จูงมือ เล่าสือ พระราชโอรสตัวน้อยวัยสิบขวบที่เกิดจากนางตังกุยหุย ขอเข้าพบกษัตริย์หนุ่มด้วยความกังวลห่วงใยต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า กลับทำให้กษัตริย์เหี้ยนเต้มีประกายความหวังขึ้นในดวงตาอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารกลางเมืองหลวงล้มเหลวไปนั้นเอง ขุมกำลังเกงจิ๋ว เสฉวน ตระหนักว่าแผนการยึดครองอำนาจจากเมืองหลวงไม่เป็นผลสำเร็จ และขุนพลที่ส่งไปก็หายสาบสูญ มิได้ปรากฏความเป็นตายร้ายดีให้ทราบ ต่างฝ่ายจึงหยุดยั้งความเคลื่อนไหวทางทหาร ถอนทัพกลับกันไปจนหมดสิ้นรวมทั้งกองทัพพันธมิตรร่วมรบตามตะเข็บชายแดนด้วย
คำกล่าวที่ว่า “เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน” ยังคงเป็นความจริงแท้แน่นอน เล่าเปียว เล่าเจี้ยง อยู่สุขสบายด้านนอกมายาวนาน ย่อมไม่ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตและทรัพย์สมบัติทั้งชีวิตให้กับกษัตริย์รุ่นลูกรุ่นหลานอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน ยังกลับมุ่งหวังจะมีจังหวะสอดแทรกขึ้นครองบัลลังค์แทนตามลำดับราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนรอบข้างขบคิด หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ใครเล่าจะจริงใจหวังพิทักษ์ฮั่นอย่างแท้จริง
เมื่อวงล้อมสามประสานหกทัพพันธมิตรที่เคยล้อมชายแดนไว้รอบทิศ ผ่อนคลายลงอีกครั้ง ทำให้กองทัพสี่เทวะ และกุนซือ กาเซี่ยง ซุนฮก สามารถถอนกำลังกลับมารวมตัวกัน และเปลี่ยนไปร่วมเสริมทัพให้กับกองทัพของโจโฉได้แล้วบางส่วน กลับเข้าดูแลเมืองหลวงบางส่วน จึงเป็นเพิ่มความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้กับฝ่ายโจโฉอีกเท่าทวีคูณ
เหลือแต่กองทัพหลักระหว่างอ้วนเสี้ยวกับโจโฉ ที่ตั้งประชิดกันอยู่มาเนิ่นนานแล้ว กองทัพร้อยหมื่นที่แข็งแกร่งสมบูรณ์ กับกองทัพสิบหมื่นที่ขวัญกำลังใจดีขึ้นอย่างมาก ใครจะอยู่ และใครจะไปในสมรภูมิกัวต๋อแห่งนี้ ระหว่าง อ้วนเสี้ยว พญาปักษาแห่งทิศอุดร กับโจโฉ มัจฉาใหญ่ผู้อยู่ใจกลางวังวนแห่งอำนาจ
สุมาเต๊กโช นั่งรับฟังรายงานสถานการณ์เมืองหลวงจากตันกุ๋นและสุมาอี้ด้วยความพึงพอใจ ยังมี เหล่าทายาทมังกร คือ ตันฮก บังทอง จูกัดเหลียง ป้อเอี๋ยน ยืนสงบนิ่งอยู่ด้านข้าง ที่แปลกตาไปคือ บังทองที่มีผ้าคลุมหน้าเพิ่มขึ้นมา เพื่อปิดบังใบหน้าที่ถูกกรีดเป็นรอยแผลลึกเมื่อไม่นานนี้
ที่แท้แล้ว พวกมันก็คือกลุ่มบุรุษชุดดำที่ช่วยกันรุมสังหารตังสิน หัวหน้าในนามของกลุ่มขบถพิทักษ์ฮั่น และถูกจูล่งพบเห็นโดยบังเอิญนั่นเอง หลังจากที่การเข้าสวามิภักดิ์กับอ้วนเสี้ยวเกิดความพลิกผัน สุมาเต๊กโชจึงเบนเข็มเข้าหาฝ่ายโจโฉแทน โดยสั่งให้ตันกุ๋นชักนำสุมาอี้เข้าสู่เส้นทางการเมืองฟากฝั่งรัฐบาล
โชคดีของสุมาอี้ที่เตียวเลี้ยว ตันกุ๋น แจ้งเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบถพิทักษ์ฮั่นเข้ามา สุมาเต๊กโชจึงใช้เหตุการณ์นี้ในการเปิดตัว สร้างผลงานให้กับสุมาอี้ และอาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายนั้น กำจัดมันสมองสำคัญของฝ่ายโจโฉไปด้วยพร้อมกันอีกคนหนึ่ง เปิดทางให้พวกมันมีที่ทางในการยืนหยัดได้สะดวกมากขึ้น
พวกทายาทมังกรทั้งหมดจึงลอบเข้ามาเมืองหลวงในจังหวะที่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารกลางเมืองหลวง ดำเนินการซ้อนแผนผ่านตันกุ๋น สุมาอี้ เพื่อกำจัดกุยแก และดัดหลังทำลายแผนการยึดอำนาจของตังสินกับกษัตริย์เหี้ยนเต้ โดยการหลอกใช้จูล่งให้ชิงลงมือก่อน จนแผนลอบสังหารลูกโซ่ผิดพลาดไปหมดสิ้น
จนบัดนี้ จูล่ง ผู้นำพรรคฟ้าเหลือง ยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่า ตัวเองได้กลายเป็นหมากเบี้ยตัวหนึ่งให้กับเครือข่ายสุมาเข้าแล้ว
แผนการเปิดตัวสุมาอี้ และกำจัดกุยแกสำเร็จลงด้วยดี พร้อมทั้งยังเกาะกุมความลับของเหี้ยนเต้เอาไว้เป็นหมากสำคัญในอนาคต สุมาเต๊กโชจึงประชุมแจกจ่ายภารกิจให้กับทายาทมังกรที่เหลือตามข้อมูลลับที่ได้มาจากเตียวเลี้ยว สายลับสองหน้าที่อยู่ในฝ่ายของพรรคฟ้าเหลือง
“คราวนี้ เหี้ยนเต้ก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว การควบคุมแผ่นดินฮั่นจากราชสำนัก ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายต่อแผนการยึดครองของพวกเรามากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราจะยึดฝ่ายโจโฉเป็นขุมกำลังหลักในการแทรกซึม” สุมาเต๊กโชกล่าวต่อ
“ตามข่าวลับที่เตียวเลี้ยวได้รับมาจากพรรคฟ้าเหลืองนั้น กลุ่มคนที่น่าสนใจในเบื้องหน้า คือ โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน สามคนนี้ ดังนั้น พวกเราควรกระจายกำลังไปครอบงำกลุ่มนี้ไว้ก่อน พวกเรามีคนแทรกซึมอยู่ในขุมกำลังของโจโฉแล้วถึงสามคน คือ ตันกุ๋น สุมาอี้ และเตียวเลี้ยว นับว่าเพียงพอแล้ว ทางด้านก๊กซุนกวนทางใต้นั้น ให้บังทอง ป้อเอี๋ยนลงไปช่วยเหลือกัน และสืบต่ออำนาจจากอุยกายเป็นสามประสานเช่นกัน ส่วนเล่าปี่ซึ่งยังมีหลักแหล่งไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีจูล่งแฝงตัวอยู่ด้วย ข้ากับ ตันฮก จูกัดเหลียง จะค่อยๆเข้าไปแทรกซึมเองในภายหลัง แต่เป้าหมายเฉพาะหน้าของพวกเราในตอนนี้ ก็คือ กำจัดอ้วนเสี้ยวให้สิ้นซากเสียก่อน”
สุมาเต๊กโชยังคงใช้ลูกเล่นเดิม คือ เก็บงำความลับไว้บางส่วน เฉลยเพียงบางส่วน จากกลุ่มผู้นำตามคำบอกเล่าภายในกลุ่มสัตตดาราที่มีอยู่ห้าคน จึงเหลือเพียงสามคน คือ โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ส่วน โลซกและขงเบ้งที่มีชื่ออยู่ด้วยนั้น สุมาเต๊กโช ตั้งใจไม่บอกให้คนอื่นล่วงรู้ในตอนนี้
ก่อนแยกย้ายเดินทางตามแผนการ สุมาเต๊กโชกล่าวกับตันกุ๋นหรืออดีตตันก๋งว่า “น้องชายเจ้าได้เสียสละเพื่อพวกเรา สมควรได้รับการยกย่อง อย่าได้เสียใจมากนักเลย”
ตันกุ๋นพยักหน้ารับคำอย่างสงบ แต่แท้จริงแล้ว มันลอบสอบถามถึงรายละเอียดของเหตุการณ์งานเลี้ยงโลหิตนั้นมาจากสุมาอี้ และบังทองเอามาปะติดปะต่อกัน จนเข้าใจหมดสิ้นแล้ว ตันหลิมตกตายไปเพราะความคิดชั่ววูบของสุมาเต๊กโชเอง ซึ่งที่จริงก็ไม่ต่างจากที่มันเคยใช้วิธีการเดียวกันกับลิยูเมื่อตอนยึดอำนาจจากตั๋งโต๊ะในครั้งก่อนโน้น คงเป็นกรรมสนองกรรมแล้วกระมัง
“บัญชีเลือดนี้มีหนี้แค้นจดไว้ชัดเจนแล้ว ท่านสุมาเต๊กโช” ตันกุ๋นได้แต่คิดอยู่ภายในใจ ลูกน้องจอมโหดก็มีเจ้านายอำมหิตเช่นเดียวกัน
ยังดีที่พวกมันพี่น้องทั้งสองปกปิดทายาทรุ่นหลานของตันหลิมกุนซือนักสร้างข่าวไว้อีกหนึ่งคน นอกเหนือจากตันฮก บุตรชายของมัน โดยส่งตัวทารกน้อยไปอยู่กับครอบครัวบัณฑิตไร้ชื่อเสียงที่เมืองเสฉวนตั้งแต่แรกเกิด ให้ห่างไกลจากวังวนการเมือง และเครือข่ายของสุมาเต๊กโชมากนัก เป็นเจ้าตันเซ็กน้อยที่น่าสงสาร
หมายเหตุ ตันเซ็กเป็นบิดาของตันซิ่ว ซึ่งต่อมา ตันซิ่วเป็นบัณฑิตมีชื่อฝ่ายจ๊กก๊กที่บันทึกเรื่องราวของสามก๊กตั้งแต่ต้นจนจบ ตามคำสั่งการของสุมาเอี๋ยน ผู้ก่อตั้งราชวงศ์จิ๋น ในรูปแบบจดหมายเหตุ และกลายเป็นหนังสือต้นฉบับของเรื่องราวสามก๊กที่เล่าขานกันมา
สุมาเต๊กโชครุ่นคิดถึงรายงานของตันกุ๋น เกี่ยวกับจารชนกุยแก หรือจุนแจ อดีตนักฆ่าแห่งโกกุเรียว ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ลอบสังหารในอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อน
ครั้งนั้น มันเดินทางพเนจรไปทั่วทั้งสี่ทิศ พบเห็นพื้นที่เหลียวตงแถบชายแดนฝั่งเหนือเหมาะสมต่อการตั้งฐานที่มั่นให้กับตระกูลสุมา แต่ดันกำลังเกิดอิทธิพลใหม่ กองซุนตู้ ขุนพลม้าขาวที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับตั๋งโต๊ะ ขุนพลหมีทมิฬ มีเป้าประสงค์เดียวกัน มุ่งหวังตั้งรกรากให้กับสกุลกองซุนเช่นกัน
ยามนั้น กองซุนตู้เพิ่งสร้างชื่อโด่งดังจากการสยบเผ่าโกกุเรียว ข่มขวัญสามชนเผ่าทุ่งหญ้า ทำให้พวกชนเผ่าเก็บงำความไม่พอใจเป็นกระแสคลื่นใต้น้ำ พ้องกันกับเป็นช่วงที่ตั๋งโต๊ะเพิ่งยึดอำนาจเมืองหลวง นับเป็นสูญญากาศทางการเมือง กองซุนตู้กลายเป็นตัวแปรที่สามารถสะกดข่มคนการเมืองทั่วทั้งหล้าอยู่พอดี
มันจึงให้ตันก๋งออกหน้าจัดการแผนการลอบสังหารในครั้งนั้น ด้วยการว่าจ้างมือสังหารต่างถิ่นสี่กลุ่มมาช่วยกันลงมือพร้อมกัน สามกลุ่มแรก สองคนจากเผ่าซงหนูคือ หินผากับเนินทราย สองคนจากเผ่าเซียนเปยคือ ทัวปาลี่เวยกับม่อหยงเว่ย และสองคนจากเผ่าอูหวนนาม ตงหวงกับเป๊กตุน ล้วนเป็นนักรบรับจ้าง ท่าทางองอาจห้าวหาญ ส่วนกลุ่มสุดท้าย สองนักฆ่าลึกลับจากดินแดนโกกุเรียว กลับเป็นชายหนุ่มบึกบึนกับเด็กน้อยจอมกระล่อน นับเป็นแปดมือสังหารที่มารวมตัวกันแบบเฉพาะกิจ
เป็นตงหวง ลมบูรพา ส่งสาส์นเชื้อเชิญให้กองซุนตู้มาร่วมประชุมลับพันธมิตรชนเผ่าที่นอกเมือง อ้างว่า พวกตนละอายใจที่ลูกครึ่งชาวอูหวน ตั๋งโต๊ะ ก่อการชั่วช้า จึงอยากปรึกษาหารือกันล้มล้างทรราชย์ ทำให้กองซุนตู้หวังผลระดมกองทัพชนเผ่าบุกเข้าเมืองหลวง จำยอมออกมาพบปะโดยอ้างเหตุว่า ออกมาล่าสัตว์เล่นนอกเมืองเป็นการส่วนตัว เพื่อมิให้เกิดประเด็นการเมืองข้ามชาติให้สับสนวุ่นวาย
ขบวนล่าสัตว์ของกองซุนตู้มีเพียงสามสิบกว่าคน ล้วนแต่เป็นนักรบสายองครักษ์มากฝีมือ ศักยภาพเพียงพอต่อการป้องกันกองทัพขนาดย่อมได้เลยทีเดียว หนุ่มน้อยจุนกอล เด็กน้อยจุนแจจึงเป็นตัวล่อ แสร้งทำเป็นถูกสัตว์ป่าทำร้าย ร้องขอความช่วยเหลืออยู่กลางป่าเขา หลอกองครักษ์ให้ออกนอกเส้นทางมาอยู่ในที่ลับสายตาผู้คน
และแล้ว การโจมตีระลอกแรกก็เกิดขึ้น สองนักฆ่าแดนโกกุเรียววางกับดับล่าสัตว์ไว้มากมายตั้งแต่แรก ทำให้ทหารองครักษ์ที่ไม่ทันระวัง บาดเจ็บล้มตายไปก่อน จากนั้น หกยอดฝีมือนักรบจึงค่อยลงมือเป็นระลอกสอง ร่วมกันเข่นฆ่าสังหารพวกองครักษ์ที่เหลือแทบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงห้าหกคนสุดท้ายล้อมป้องกันผู้เป็นเจ้านาย
กองซุนตู้แค้นเคืองคนร้ายที่ทำร้ายพี่น้องร่วมทัพ จึงลงมือด้วยตนเองอย่างหนักหน่วง ทำร้ายแปดมือสังหารโดยไม่ไว้หน้าจนบาดเจ็บสาหัส แม้แต่เด็กน้อยจุนแจก็ถูกฟาดเข้ากลางหน้าอกอย่างถนัดถนี่ ส่อเค้าว่าการลอบสังหารจะล้มเหลวเสียแล้ว
แต่สุมาเต๊กโชย่อมมีแผนสำรองไว้แล้ว มัน ตันก๋ง และอุยกาย ในชุดคลุมปิดหน้า จึงเป็นการโจมตีระลอกสุดท้าย ที่จริง ด้วยฝีมือของพวกมันทั้งสาม ย่อมเอาชนะกองซุนตู้ได้ไม่ยาก แต่เพื่อประกันความสำเร็จ และตัดตอนให้เป็นเรื่องราวการเมือง มันจึงลากโยงให้พวกชนเผ่าเร่ิมลงมือก่อน แล้วมันค่อยมาปิดท้ายเรื่องราวให้สวยงาม
สามยอดฝีมือลึกลับในชุดคลุมปิดหน้า นอกเหนือจากแผนลอบสังหาร จึงพุ่งเข้าใส่กลุ่มองครักษ์ม้าขาวที่เหลือ ฆ่าฟันจนหมดสิ้นก่อน ค่อยหันมากลุ้มรุมกองซุนตู้ตามลำพัง เพียงไม่กี่กระบวนท่า ขุนพลม้าขาวก็ถูกรุมแทงตายไร้หนทางสู้
ตันก๋ง อุยกายแยกย้ายกันใช้ยาพิษทำลายซากศพฝ่ายตรงข้าม ปล่อยให้สุมาเต๊กโชที่ต้องการข่มขวัญพวกมือสังหาร ตัดหัวกองซุนตู้ออกมาพร้อมประกาศ “ข้ารู้จักตัวตนของพวกเจ้าทุกคน หากมีใครแพร่งพรายความลับครั้งนี้ออกไป จะถูกพวกข้าตามไปเข่นฆ่าถึงเตียงนอน กลายเป็นปีศาจไร้หัวเช่นนี้ จงแยกย้ายกันไปได้แล้ว”
แปดมือสังหารสี่กลุ่มชนเผ่าต่างแยกย้ายจากไป พร้อมบาดแผลในจิตใจ การลงมือล้มเหลวไม่เป็นท่า หากแต่ตันก๋งคนว่าจ้างยังจัดเตรียมยอดฝีมือที่เหนือกว่าพวกมัน มาลงมือซ้ำอีกรอบ ดังนั้น จึงเป็นผลงานการลงมือสังหารที่ไม่อาจเปิดเผย
คดีกองซุนตู้นำขบวนไปล่าสัตว์แล้วหายสาบสูญไปหมด ทิ้งร่องรอยการต่อสู้ไว้กลางป่า เพียงหัวของกองซุนตู้ที่ถูกเสียบประจาน จึงเป็นปริศนาที่กองซุนจ้านผู้หลานไม่อาจสืบหาความจริงได้เลย นอกจากเพียงสงสัยว่า ขุมกำลังฝ่ายใดเป็นผู้บงการกันแน่
“ด้วยเหตุการณ์นั้นเอง ตันกุ๋นหรืออดีตตันก๋งจึงจดจำกุนซืออมโรค กุยแกได้ว่า คือ เด็กน้อยจุนแจ อดีตนักฆ่าจากแดนโกกุเรียว ที่เคยถูกกองซุนตู้ฟาดจนบาดเจ็บเรื้อรังมาโดยตลอด” สุมาเต็กโชคิดในใจ “ว่าแต่จุนกอล ผู้เป็นพี่ชายเล่า หรือว่ามันก็ยังวนเวียนอยู่ในดินแดนฮั่นในฐานะจารชนด้วยเช่นกัน"
ต่อมา ตันกุ๋นนำส่งบันทึกสุดท้ายของกุยแกก่อนเสียชีวิต นั่นคือบันทึกผู้นำสิบประการที่กล่าวว่าโจโฉมีเปรียบเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว ซึ่งภายหลัง โจโฉได้นำไปใช้ป่าวประกาศเพื่อปลุกพลังความสามัคคี และความจงรักภักดีจากเหล่าขุนนางนายทัพทั้งหลายกลับคืนจากแผนการเกลี้ยกล่อมย้ายสังกัดของอ้วนเสี้ยวที่มีมาเนิ่นนานแล้ว
สงครามข่าวสารถูกปรับเปลี่ยนไปให้เป็นการตอบโต้บ้าง การลอบสังหารผู้คนกลางเมืองหลวง แทนที่จะจบสิ้นอยู่เพียงผู้นำขบถตังสิน กลับถูกเชื่อมโยงไปถึงตัวบงการใหญ่อ้วนเสี้ยวที่หวังก่อกวนสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจการค้าและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเปล่าประโยชน์
เจ้าสัวจงฮิว ผู้นำสหพันธ์การค้าหมาป่าเงิน ที่เคยหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองมานาน ถึงกับช่วยออกโรงระดมทุนให้กับกองกำลังรัฐบาล เดินหน้าสนับสนุนให้รัฐบาลโจโฉแข็งแกร่ง และสร้างขวัญกำลังใจให้ไพร่พลอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นแรงผลักดันจากกลุ่มอิทธิพลนอกวงการการเมืองที่เกิดขึ้นมาถูกที่ถูกเวลายิ่งนัก
เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของเจ้าสัวจงฮิว ก็คือ ฝีมือการเจรจาของสุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะผู้มาใหม่ ที่จัดการด้วยตนเอง ชักจูงให้กลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นเห็นดีเห็นงามต่อขุมกำลังโจโฉต่อไปในระยะยาวนั่นเอง และ สุมาอี้ จงฮิวทั้งสองก็กลายเป็นสหายสนิทกันในเวลาต่อมาด้วยผลประโยชน์การค้าที่สอดคล้องกัน
แรงเหวี่ยงทางการเมืองจึงเริ่มกลับมาทางฝ่ายโจโฉอีกครั้งหนึ่ง ขุนนางนายทหารเริ่มลังเลใจในการเลือกข้าง เพราะแรงสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้า และเนื้อหากินใจของบันทึกผู้นำสิบประการมาช่วยซื้อเวลาให้กับโจโฉได้ทันเวลาพอดี เรื่องนี้ ยิ่งทำให้โจโฉแสนเสียดายกุยแก กุนซืออมโรคมากยิ่งขึ้น
ผลงานสุดท้าย และเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดในชีวิตของยอดกุนซือ กุยแก แต่ที่จริงแล้ว กลับเป็นผลงานของเครือข่ายสุมาที่แอบอ้างชื่อของกุยแกออกไปตามแผนการเท่านั้นเอง เนื้อหาส่วนใหญ่ ถึงกับเป็นความคิดของสุมาอี้กับจูกัดเหลียงร่วมกันแต่งเติมเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นความจริงที่ต้องปกปิดไว้อีกเรื่องหนึ่ง
ช่วงหลัง พวกทายาทมังกรแสร้งปะปนคลุกคลีกับเหล่าบัณฑิตผู้ทรงความรู้อยู่ในสำนักปราชญ์เต๋ากลางเมืองของสุมาเต๊กโชมาสักระยะหนึ่งแล้ว ทั้งสองอัจฉริยะจึงเพียงรวบรวมข้อความสำคัญขึ้นมาจากการพูดคุยสนทนากับบัณฑิตมากหน้าหลายตาที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเยี่ยมเยียนสำนัก และนำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่ให้เป็นหมวดหมู่เท่านั้น ข้อความจึงมีกลิ่นอายของนักศึกษาผู้คงแก่เรียน คลับคล้ายกับสำนวนภาษาของกุยแก บัณฑิตอมโรคยิ่งนัก
ภายในห้องลับ โรงเตี๊ยมสราญรมย์ แหล่งบันเทิงชื่อดังประจำเมืองฮูโต๋ ซุนฮก กุนซือค้างคาว นั่งโต๊ะสนทนาอยู่กับอาคันตุกะลึกลับสี่คน คนแรกเป็นคนเล่นพิณในชุดเสื้อผ้าหรูหรา คนที่สองหนุ่มใหญ่ผิวดำกร้าน คนที่สามถือทวนใหญ่ท่าทางองอาจ และคนสุดท้ายคือ ซุนแจ้ง ผู้นำตระกูลซุนคนปัจจุบันนั่นเอง
“ที่จริงเวลานี้ กองกำลังฝั่งเราก็พร้อมแล้ว เราสมควรลงมือชิงอำนาจในเมืองหลวงเอาไว้เสียเลย เส้นสายบารมีของเราก็ยังมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย น่าจะทำได้ไม่ยากเย็นกระไรนัก” คนเล่นพิณกล่าวเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงรำคาญใจไม่น้อย
“พี่ใหญ่กล่าวมิผิด การช่วงชิงอำนาจไม่ใช่เรื่องยาก ใครๆก็เคยทำได้ทั้งสิ้น แต่ท่านจงพิจารณาดูเถิดว่า ขุมกำลังเหล่านั้นกลับสูญเสียการควบคุมอำนาจไปได้อย่างไร และรวดเร็วเพียงไร” ซุนฮกโต้แย้ง “ตราบใดที่แรงต่อต้านยังเกิดขึ้นจากกองกำลังภายนอกอย่างต่อเนื่อง เราไม่คิดว่า เมืองหลวงจะสงบสุขได้ยาวนาน คนที่เกาะกุมอำนาจจักต้องตั้งรับแรงกดดันทั้งศึกในและศึกนอกตลอดเวลา เลยด้วยซ้ำ”
“เราจึงค่อนข้างเห็นด้วยที่จะอดทนรอคอยไปอีกสักระยะหนึ่ง ปล่อยให้โจโฉหรือใครก็ตาม รวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือชุบมือเปิบเอาในภายหลัง ทางหนึ่ง เพื่อออมแรงสะสมกำลังพลเอาไว้ก่อน ทางหนึ่ง เพื่อทิ้งเวลาให้ท่านได้ศึกษาวิทยายุทธ์สำคัญนั้นให้สำเร็จ ขอเพียงถึงเวลาอันสุกงอม การลงมือต่อขุมกำลังรอบข้างที่เสื่อมโทรมลง ย่อมไม่ยากเย็นจริงๆ” คนผิวดำกล่าวเสริม
คนเล่นพิณรู้สึกเหมือนถูกขัดใจ แต่ก็จำนนต่อเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม พลางตบลงบนถุงใส่พิณที่วางอยู่ข้างกาย “วิชาพิสดารชุดนี้มันช่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก หรือว่า แนวทางการฝึกฝนไม่ถูกต้อง เราจึงไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย”
คนผิวดำหรุบตาลง พลันสะดุ้ง ตาเหลือกโพลง เงยหน้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ใช่แล้ว ยอดวิชาต้องใช้เวลาศึกษา ดวงดาราที่เคลื่อนที่อยู่บนฟากฟ้าอาจจะเป็นตัวกำหนด หากยังไม่ใช่ฤกษ์ยาม เจ้าก็มิอาจเร่งร้อนจนเกินไป”
นี่มันมีกลิ่นอายของผีสางเทวดาชัดๆ ซุนฮก มีใบหน้าเปลี่ยนสี ซุนแจ้ง และคนถือทวนที่ทำหน้าที่องครักษ์ คล้ายไม่วางใจต่อท่าทีอันแปลกประหลาด ต่างขยับมือกระชับอาวุธอย่างอดใจไม่ได้ ทำให้คนเล่นพิณต้องยกมือห้าม “ไม่ต้องตื่นกลัวอันใด นี่เป็นวิธีการเชื่อมโยงจิตวิญญาณเพื่อการทำนายเท่านั้นเอง อีกสักพัก ก็เป็นปกติเช่นเดิม”
จริงดั่งคำว่ากล่าว คนผิวดำคล้ายลูกหนังถูกปล่อยลมออก ร่างกายฟุบลงกับพื้นโต๊ะ หมดสิ้นเรี่ยวแรง จนซุนแจ้งเองต้องเข้าไปดููแลอาการ
“พวกเราตระกูลซุนเฝ้ารอคอยโอกาสมานานนับร้อยปีแล้ว หากจำเป็นต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง เราก็ยินยอมรับต่อลิขิตสวรรค์เช่นนั้น อย่างน้อย ซุนฮกก็ได้เลื่อนลำดับเป็นกุนซือใหญ่ของโจโฉแทนที่กุยแกโดยนัยยะแล้ว” คนเล่นพิณกล่าวสรุป ในขณะที่พวกซุนฮกน้อมกายคารวะต่อผู้นำใหญ่ พร้อมกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน “สำนักหุบเขาปีศาจจงเจริญ ตระกูลซุนจงเจริญ”
สำนักหุบเขาปีศาจ หรือจะเป็นสำนักโบราณที่ก่อตั้งในยุคสมัยเลียดก๊กแห่งนั้น
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา