Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ตาณฑวะ
•
ติดตาม
28 ก.พ. 2021 เวลา 06:08 • ปรัชญา
อัษฏาวกระ คีตา บทที่ 9
บทที่ 9
การปล่อยวาง
อัษฎาวกระได้อธิบายถึง “การปล่อยวาง”
อัษฎาวกระ กล่าว :
9.1
เราจะต้องตระหนักในสามสิ่งนี้ด้วยจิตอันปล่อยวางและไร้ความปรารถนาซึ่งทำได้โดยการมองโลกอย่างเป็นกลาง สามสิ่งนี้ประกอบด้วย
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ของเราที่ ทำ และ ไม่ได้ทำ เป็นแค่สิ่งคู่ตรงกันข้าม
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ที่เราทำไปนั้น จะสิ้นสุดลงเมื่อไร
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ที่เราทำไปนั้น ทำเพื่ออะไร
(หน้าที่จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ? – ชีวิตมักเป็นส่วนผสมของสิ่งคู่ตรงกันข้าม สนุกและเสียใจ สำเร็จและล้มเหลว ดีและชั่ว ฯลฯ เราจึงเลือกสิ่งหนึ่งและหลีกเลี่ยงอีกสิ่งหนึ่งเสมอ ดังนั้นหลักของการพิจารณา “หน้าที่” คือ ถ้าเราคิดว่ามายาเป็นจริง เราจะหนีไม่พ้นสิ่งคู่ตรงกันข้ามและไม่อาจกำจัดความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ออกไปได้ ทางเดียวที่จะออกจากสภาวะนี้ คือการตระหนักรู้ถึงความกลวงของมายา [hollowness of the world] และละทิ้งมัน)
(การทำหน้าที่โดยไร้ความปรารถนา คือ ไม่บนบานศาลกล่าว หรือไม่มีความปรารถนาทางโลกียวิสัย เช่น ปรารถนาความล้ำเลิศ ปรารถนาความเจริญรุ่งเรือง ปรารถนาความมั่งคั่ง หวังผลตอบแทนทางโลกหรือทางสวรรค์ เป็นต้น)
9.2
คนที่บรรลุธรรม คือคนที่ดับสิ้นซึ่งความปรารถนาในชีวิต ; ดับสิ้นซึ่งความเพลินเพลินทางโลกียวิสัย ; ดับสิ้นซึ่งการเรียนรู้ โดยเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปแห่งชีวิตของผู้คน บุคคลนี้หาได้ยากยิ่ง
(การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ – บางคนเรียนรู้ว่าโลกมายานั้นกลวง โดยการสังเกตความทุกข์ของผู้อื่น แล้วตระหนักว่าโลกมายานั้นไม่สามารถมอบความสุขนิรันดร์แก่เขา แต่ผู้อื่นที่โง่เขลาจะได้รับบทเรียนหลังจากที่โดดลงไปคลุกในมายานั้น และได้รับประสบการณ์คือความเลวร้ายของชีวิต)
(ในโศลกที่ 3, 4 และ 5 จะกล่าวถึง การละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ชีวิต, ความเพลิดเพลิน และการเรียนรู้ ตามลำดับ)
9.3
คนฉลาดจะสงบจิตใจลงได้ผ่านการตระหนักรู้ในเรื่อง ความทุกข์สามประการ (threefold miseries) และได้รู้ว่าสรรพสิ่งล้วนมีสามัญลักษณะคือไตรลักษณ์ (trinity) ได้แก่ อนิจจัง (ไม่เที่ยงแท้) เป็นทุกข์ และ อนัตตา (ไม่มีตัวตน) และทั้งหมดนั้นสมควรแก่การละทิ้ง (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ชีวิต)
(ความทุกข์สามประการ [threefold misery] คือความทุกข์ยากสามประการของชีวิตวัตถุนิยม ได้แก่ ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจ ; ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากที่กำหนดโดยสังคมชุมชนประเทศชาติและสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ ; และความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ความอดอยาก ภัยแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด และอื่นๆ)
9.4
จะมีเวลาใดบ้างเล่าที่ความเป็นคู่ตรงกันข้ามนั้นไม่มีอยู่? บุคคลที่หลุดพ้นออกจากภาวะของสิ่งคู่ตรงกันข้ามได้ และตระหนักในความเป็นจริงนี้ได้ เขาคือผู้บรรลุในความสมบูรณ์ (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ความเพลิดเพลิน)
(เราไม่อาจจินตนาการได้ว่าช่วงชีวิตใดจะมีแต่สิ่งดี, รื่นเริง อย่างบริบูรณ์ และไม่มีใครที่อยู่กับสิ่งเลว, เศร้าโศกไปตลอด เพราะฉะนั้น ความหวังที่จะได้ความสุขอนันต์เป็นกระบวนการของบทเรียนชีวิต [course of life’s process] เราต้องตระหนักรู้ความจริงอันสูงสุด และหาความหมายเพื่อจะได้รับศานติสุข นั่นคือ, เราต้องออกจากชีวิตที่มีการเปรียบเทียบ [relative life] เพื่อปล่อยวางจากผลกระทบของเหตุการณ์ใดๆ ในชีวิต และยังคงมีความเป็นกลางต่อประสบการณ์เหล่านั้น)
9.5
ผู้ที่ได้รับความคิดเห็นอันหลากหลาย จากปราชญ์ นักบุญ โยคี และอื่นๆ และไม่ให้ค่าสิ่งใดว่าแตกต่างกันเลย จะเป็นผู้ที่ได้รับศานติสุขอย่างแท้จริง คนแบบนี้คือผู้ใดกันหรือ? (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่องการเรียนรู้)
(ความหลากหลาย เกิดจาก หลายสถานศึกษา, หลากหลายปรัชญา และ พื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกัน)
(ผู้ที่ได้รับศานติสุขอย่างแท้จริง – ผู้ที่ไม่เห็นซึ่งความแตกต่างใดๆ ต่อวัตถุทางโลกที่หลากหลาย ผ่านเจตนาของการตระหนักรู้ถึงอาตมัน จิตใจเช่นที่กล่าวข้างต้นเป็นคุณลักษณะที่หาได้ยากยิ่ง เราจะต้องปฏิบัติทั้งโศลกที่ 3, 4 และ 5 ไปพร้อมๆ กันเพื่อการปล่อยวาง)
9.6
ผู้ที่รู้ถึงความเป็นไปของสติบริสุทธิ์ ผ่านการมองโลกอย่างเป็นกลางโดยสมบูรณ์ มีจิตใจที่สงบ มีเหตุผล และช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นจากโลกมายา เขามิใช่ผู้นำทางวิญญาณหรอกหรือ?
(สงบเย็น ในที่นี้หมายถึง ไม่มีความแตกต่างระหว่าง มิตรภาพกับความเป็นศัตรู ความสุขและความทุกข์ เป็นต้น)
(ผู้นำทางจิตวิญญาณ – หมายถึง ผู้ที่มิได้ตีค่าว่าแนวทางการหลุดพ้นของ นักบวช สาธุชน โยคีและคนอื่นๆ ว่าแนวทางของใครดีกว่ากัน เขามองเห็นว่า แนวทางเหล่านี้ก็คือแนวทางของจิตวิญญาณ (spiritual guide)
โศลกนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตระหนักรู้ในสัจธรรมด้วยตนเอง ก็เป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณ (spiritual guide) เช่นเดียวกัน เขาไม่เพียงแค่ศึกษาหาความรู้, แต่เขาได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเข้าถึงการตระหนักรู้ ตามแนวทางที่คุรุได้ให้หลักการไว้)
9.7
จงมองไปบนการปรุงแต่งของธาตุต่างๆ ว่ามิใช่สิ่งใดในความเป็นจริง มีเพียงธาตุพื้นฐานอันเป็นปฐมภูมิ, แล้วท่านจะเป็นอิสระจากพันธะในทันทีทันใด และยึดถือเพียงตัวตนอันแท้จริงของท่าน
(การปรุงแต่ง – ร่างกาย จิต ประสาทสัมผัสและอื่นๆ ในความเป็นจริงก็มิใช่สิ่งใดเลยนอกจากธาตุพื้นฐานทั้งห้า, แตกต่างก็เพียงรูปแบบของการผสมผสาน รูปแบบเหล่านี้ทำให้เราพิจารณาว่าสิ่งหนึ่งสวยงาม อีกสิ่งหนึ่งอัปลักษณ์ ทำให้เกิดความปรารถนาสิ่งหนึ่ง และหลีกเลี่ยงอีกสิ่งหนึ่ง แต่ในชั่วขณะที่เรารู้สึกว่าทุกสิ่งนั้นเหมือนกัน, ความชอบและความไม่ชอบก็จะอันตรธานไป และเราก็จะเป็นอิสระ)
(เป็นอิสระ – พันธะเป็นส่วนประกอบในการดึงดูดของร่างกายกับสิ่งต่างๆของโลกมายา ซึ่งผ่านการปรุงแต่งจากธาตุพื้นฐานที่แตกต่างกัน อิสระอยู่เหนือสิ่งดึงดูดนั้น)
9.8
โลกทั้งใบของเรามาจากความปรารถนา เพราะฉะนั้น, การที่เราจะปล่อยวางทุกสิ่ง, การปล่อยวางความปรารถนาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ เมื่อละทิ้งความปรารถนาแล้ว เราก็จะมีชีวิตที่เป็นอิสระ (อยู่ที่ใดก็ได้)
(เพราะความปรารถนาผูกมัดเราไว้กับมายาที่ทำให้เราคิดว่าเป็นจริง ทำให้เราวนเวียนอยู่ในการเกิดแล้วเกิดอีก ในขณะที่เราสิ้นความปรารถนา มายาก็จะอันตรธานไป และจะไม่มีการกลับมาเกิดอีก)
(อยู่ที่ใดก็ได้ ในที่นี้หมายถึง ผู้ซึ่งละทิ้งความปรารถนา จะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ ผู้นั้นสามารถอยู่อาศัยที่ใดก็ได้ เพราะมันมิได้ส่งผลกระทบต่อเขาผู้นั้น)
tandhava.in.th
ashtavakra-09 | Tandhava
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อัษฏาวกระ คีตา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย