Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
6 มี.ค. 2021 เวลา 07:36 • นิยาย เรื่องสั้น
2.16. พบกันครั้งสุดท้าย
โจโฉ มหาอุปราช - เคาทู องครักษ์หมีทมิฬ - เตียวคับ ขุนพลเสือดาว
หลังจากผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหว เผาทำลายบ้านเรือน และย้ายเมืองหลวงไปแล้ว กิจการร้านค้าเมืองหลวงเก่าลกเอี๋ยง จึงดูซบเซาบางตาลง ไม่ครึกครื้นเหมือนในอดีต แต่วันเวลาผ่านไปสักพัก ระบบการค้าก็กลับมาคึกคักขึ้นตามลำดับ โรงเตี๊ยม “สุขสำราญ” ที่โด่งดังนั้น ก็ยังได้รับการฟื้นฟูให้มีรูปแบบตกแต่งคล้ายของเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความคุ้นเคยไว้ให้ลูกค้าขาประจำ
โครงสร้างการค้าทางด้านเหนือ แม้ว่าจะกำเนิดสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินมานานหลายปีแล้ว แต่มิอาจทัดเทียมยุครุ่งโรจน์ของเส้นทางทะเลทรายใหญ่ อีกทั้ง ต้องไม่ลืมว่า ธุรกิจต่างๆยังคงขึ้นกับเจ้าของผู้ก่อตั้งหลากหลายคนที่ยินยอมจ่ายค่าคุ้มครองผ่านสหพันธ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำการค้าได้สะดวกราบรื่นเท่านั้น
ดังนั้น จงฮิว ผู้เป็นผู้นำสหพันธ์ จึงคล้ายตัวกลางระหว่างภาครัฐกับกลุ่มเอกชน คอยดูแลรวบรวมเงินค่าส่วยจากพ่อค้า เพื่อนำส่งให้กับผู้มีอำนาจ และกินค่านายหน้าไปอย่างสบายๆ ตามที่เจ้าสัวเกียวชวนเคยดำเนินการเอาไว้เป็นแบบอย่างตั้งต้น
รูปแบบต่่างๆที่เจ้าสัวจงฮิวก้าวย่างในวงการ ล้วนคล้ายย่ำรอยตามเจ้าพ่อคนเดิม ทำให้เกิดคำร่ำลือกันในท้องตลาดว่า การที่จงฮิวก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสหพันธ์นั้น อาจจะเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดออกหน้าแทนที่ให้กับมหาเศรษฐีคนดังที่ลี้ภัยการเมือง
ส่วนเจ้าของเงินตัวจริงอาจจะเป็นคนมากบารมีที่อพยพลงใต้ และเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นามว่า เกียวชวน เจ้าพ่อคนดังแห่งดินแดนกังตั๋ง ที่กำลังกำกับดูแลสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยกในแนวทางเดียวกันที่แดนใต้ และเป็นตัวกลางที่ชี้นำเศรษฐกิจได้แทบทุกส่วน สมดั่งเป็นอัจฉริยะทางการค้าอย่างแท้จริง
…
ค่ำคืนนี้ในห้องรับรองพิเศษของโรงเตี๊ยม “สุขสำราญ” บุรุษวัยกลางคนสองคนในชุดโอ่อ่าเรียบง่าย นั่งดื่มสุรากันเหมือนกับมิตรสหายทั่วไป โดยมีองครักษ์ท่าทางเข้มแข็งยืนดูแลอยู่ห่างไกลทางด้านหลังฝ่ายละหนึ่งคน
หากแต่ความจริงที่ซ่อนเร้นน่าตระหนกยิ่งนัก เพราะคนหนึ่งคือ มหาอุปราช ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอย่างโจโฉ และ อีกคนหนึ่งคือ ทายาทสกุลดัง ผู้เหี้ยมหาญทางเหนืออย่างอ้วนเสี้ยว ด้านหลังโจโฉ คือ เคาทู องครักษ์อันดับหนึ่ง ด้านหลัง อ้วนเสี้ยว คือ เตียวคับ ขุนพลที่มากฝีมือ
“ขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาตามคำเชิญ หลายปีที่ผ่านมา เรายังนึกถึงบรรยากาศที่พวกเราสามคนร่วมดื่มกินอยู่เสมอมา เสียดายที่ซุนเกี๋ยนด่วนจากพวกเราไปเสียก่อนแล้ว” อ้วนเสี้ยวเริ่มบทสนทนารำลึกถึงความหลังของมิตรภาพสามขุนศึก หลังจากสองฝ่ายนั่งดื่มสุรากันมาได้สักพักใหญ่แล้ว
“ซุนเกี๋ยน นับว่าโชคดีที่มีบุตรอันประเสริฐอย่างซุนเซ็กกับซุนกวน ดูสิ เพียงไม่นาน หัวเมืองทางใต้ก็ล้วนตกอยู่กับหลานเซ็กจนหมดสิ้น หลานกวนยังกลายเป็นผู้นำขุมกำลังกังตั๋งผู้ทรงอิทธิพลไปแล้ว นับว่า มันฝึกสอนบุตรได้ดีทีเดียว” โจโฉกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่มันไปลอบสังหารซุนเซ็กที่ถูกพาดพิงถึง ด้วยน้ำมือตนเอง ป่านนี้ ไต้เกี้ยวที่รักของข้าจะเป็นเช่นใดแล้วหนอ
มันเองเป็นเสือผู้หญิงที่พอจะรับรู้ความสำคัญของจิตใจความรักที่ผูกพันกันลึกซึ้งของชายหญิงสามีภรรยา คงมีเพียงกาลเวลาที่จะเยียวยาจิตใจผู้คนให้ผ่อนคลายบางเบาลงได้ แล้วเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม มันก็เพียงรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าก่อนกับหญิงงามไต้เกี้ยวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หรือกดดันให้เสียอารมณ์กันไปเปล่าๆ
“ทางใต้เป็นของคนตระกูลซุนไปแล้วแน่นอน ส่วนทางตะวันตกยังไม่ชัดเจน คงมีเหลือแต่ทางเหนือ และตะวันออก นี่แหละที่เราสองมาแย่งชิงกันเองอยู่ สักวัน ใครคนหนึ่งคงจะได้ยึดครองไปให้ได้แล้ว” อ้วนเสี้ยวสรุปเข้าเรื่อง และหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเชื้อพระวงศ์ เล่าเปียว - เล่าเจี้ยง แม้แต่น้อย เป็นนัยยะแล้วว่า พวกนี้ไม่อยู่ในเส้นทางสายอำนาจอีกต่อไป
“คราก่อน พวกเราทั้งสามดื่มเหล้าอำลา หวังว่า ต่อไปจะได้เกื้อกูลกัน แต่ที่จริง สถานการณ์กลับผลักดันทำให้พวกเราต้องอยู่กันคนละฝ่าย น่าเสียดายนัก หากท่านยินยอมวางมือ ข้าจะยอมละทิ้งแผ่นดินภาคเหนือให้ท่านครอบครอง ตัวข้าจะขอจัดการเพียงดินแดนที่เหลืออยู่จากส่วนกลางถึงฝั่งตะวันออก ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไรเล่า” โจโฉเสนอความคิดแบ่งปันผลประโยชน์ให้แบบคนใจนักเลง
อ้วนเสี้ยว มองหน้าโจโฉนิ่งอยู่สักพัก พลันหัวร่อ “โจโฉอันยอดเยี่ยม เพียงใช้คำพูดไม่กี่คำ ถึงกับโน้มน้าวใจข้าให้หวั่นไหวได้ แผ่นดินฮั่นย่อมมิอาจแบ่งปันได้ มันต้องรวมเป็นหนึ่ง ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก กลาง เพื่อความยิ่งใหญ่ของชนชาติเรา” อ้วนเสี้ยวหยุดเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อ
“อย่าลืมว่า ทางเหนือขึ้นไป ยังมีพวกชนชาตินักรบพเนจรนอกด่านอย่างเผ่าซงหนู เผ่าเซียนเปย และเผ่าเกี๋ยง ไกลออกไปทางคาบสมุทรยังมีพวกโกกุเรียว แพกแจ ซิลลา สามฝ่ายจ้องมองอยู่ ทางใต้ลงไปยังมีพวกม่าน พวกเย่ กระจัดกระจายอยู่ตามป่าเขา ทางริมฝั่งทะเล พวกโจรสลัดหลากหลายชาติก็แวะเวียนเข้ามาหาปล้นชิงอยู่เนืองๆ คงมีแต่เขตแดนทางตะวันตกที่มีเทือกเขาสูงซับซ้อนกั้นขวางเป็นกำแพงใหญ่ มิเช่นนั้น พวกแขกนอกรีตทางด้านนั้น มีหรือจะละเว้นพวกเรา
หากเขตแดนเรายังคงแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ย่อมไม่อาจทำให้แผ่นดินสงบสุขได้ ข้าจึงต้องการดินแดนทั้งหมด มิใช่เพียงแค่ส่วนเสี้ยว เพื่อระดมทรัพยากรต่อต้านศัตรูต่างถิ่น ท่านจงจำคำของข้าไว้ ถึงแม้ผู้ที่ปราชัยจะเป็นข้า จะได้มีท่านเป็นผู้สืบทอดความคิดนี้ต่อไป จงยอมทำสงครามให้เสร็จสิ้นเด็ดขาด เพื่อความสงบสุขของปวงประชาทั้งแผ่นดิน ทั้งหมดนี้ต้องกระทำเพื่อส่วนรวม มิใช่เรื่องส่วนตัว”
โจโฉซึ้งใจในคำอธิบายของสหายเก่า พลางกล่าว “ปณิธานของท่านน่านับถือยิ่งนัก ข้าจะจดจำไว้ แต่หากเสร็จศึกแพ้ชนะแล้ว ฝ่ายใดที่พ่ายแพ้ ก็มิจำเป็นต้องตกตายมิใช่หรือ หากแต่ท่านยอมที่จะ...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดแล้ว ผิดแล้ว ผู้พ่ายแพ้ต้องเสียสละชีวิตให้ฝ่ายตรงข้าม เป็นการเซ่นสังเวยต่อมหาสงคราม การตัดสินชะตากรรมด้วยศึกสำคัญในชีวิตจะเป็นบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ให้กับฝ่ายตรงข้าม ไม่อาจหลงเหลือไว้แม้แต่ลูกหลาน จงอย่าเห็นใจ หรือสงสารฝ่ายตรงข้ามเลย
โจโฉ สหายเรา เส้นทางของเราสอง ผู้นำแห่งสกุลโจและสกุลอ้วน ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ทั้งลูกทั้งหลานแล้ว” อ้วนเสี้ยวถึงกับขีดเส้นกำหนดชะตาชีวิต ตระกูลอ้วนกับโจ ต้องเหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว “ผู้ชนะ จักคงอยู่อย่างรุ่งโรจน์ ผู้แพ้ จำต้องตายสิ้นทั้งตระกูล อนาคตแห่งแผ่นดินฮั่นจำต้องเป็นหนึ่งเดียวทั่วหล้า"
โจโฉประสานมือคารวะต่ออ้วนเสี้ยว ผู้เป็นเสมือนหัวหน้าเก่า เพื่อนสนิท และผู้รู้ใจ ทุกอย่างที่กล่าวไปตามมารยาท กลับได้รับการตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา จนรู้สึกอิ่มเอมใจในการพบปะกันไม่น้อย นึกยินดีที่ตกลงใจมาร่วมวงสนทนาในครั้งนี้
แต่แล้ว อ้วนเสี้ยวกลับมีข้อเสนอประหลาดยิ่งขึ้น “ในเมื่อพวกเราก็มาพบกันครั้งสุดท้ายเช่นนี้แล้ว น่าจะสามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียของกองทัพได้ทั้งสองฝ่าย ฝีมือเราท่านที่จริงก็สูสีใกล้เคียงกัน เราจึงขอให้ตัดสินกันด้วยฝีมือหมัดมวยขององครักษ์คนติดตามดูสักคราเถอะ”
องครักษ์เคาทู ท่าทางองอาจ รูปร่างท้วมใหญ่ ใส่ชุดกึ่งฮั่นกึ่งชนเผ่า แสดงว่าน่าจะคุ้นเคยวิชานอกด่านประเภทมวยปล้ำ เมื่อเทียบกันกับขุนพลเตียวคับที่ร่างกายบอบบางกว่า และถนัดการรบด้วยอาวุธสงคราม การเสนอให้ต่อสู้ด้วยมือเปล่าย่อมสร้างความได้เปรียบให้กับฝั่งโจโฉตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่อ้วนเสี้ยวมีนิสัยชอบท้าทายความยากลำบาก จึงจงใจสร้างความยุ่งยากให้กับตัวเองแล้ว
โจโฉกระตุกยิ้ม เหมือนรู้เท่าทัน เพราะสมัยวัยฉกรรจ์ พวกมันเคยเล่นพนันเช่นนี้มาก่อนแล้ว จึงรีบระบุเงื่อนไขการต่อสู้เพิ่มเติม“มือเปล่าสิบกระบวนท่า ล้มก่อนคือพ่ายแพ้ คนอื่นไม่อาจสอดแทรก”
อ้วนเสี้ยวรับคำพร้อมขยับมือวูบ ขุนพลเตียวคับพุ่งตัวเข้าใส่องครักษ์เคาทูในทันที อาศัยความปราดเปรียวชิงลงมือคว้าจับ เพราะรู้ตัวว่าเสียเปรียบเรื่องรูปร่าง แต่เคาทูตั้งสติไว้ทัน พลางรับมือด้วยวิชามวยปล้ำคลี่คลายการจู่โจมกระทันหันได้ไม่ยาก
พื้นฐานวิชาของเตียวคับมาจากดินแดนเสเหลียง แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพรรคฟ้าเหลือง กระบวนท่าหมัดมวยจึงเป็นแนวทางลี้ลับของชนชาตินายพรานเผ่าเกี๋ยง และชนเผ่านอกด่านฝั่งตะวันตก ส่วนเคาทูกลับเติบโตมาจากดินแดนทุ่งหญ้านอกกำแพงใหญ่ คุ้นเคยกับการต่อสู้แบบเปิดเผย จริงจังของนักรบพเนจรซงหนู และชนเผ่านอกด่านทางเหนือ กลายเป็นสองยอดนักสู้เชิงหมัดมวยได้โคจรมาพบกันโดยบังเอิญ
ดินแดนทะเลทรายกว้างใหญ่มีพื้นที่ภูมิประเทศเชื่อมโยงกัน และวิชาการต่อสู้แบบมือเปล่า อย่างเช่น มวยปล้ำ ก็มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันด้วยวัฒนธรรมนักรบเร่ร่อน แต่บนพื้นฐานวิชาใกล้เคียงกัน กลับมีแนวทางท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงเห็นกระบวนท่าบิดจับที่แตกต่างกันชัดเจน
โจโฉย่อมรู้ซึ้งในฝีมือขององครักษ์เคาทู จึงตะโกนสั่งความ “ตั้งรับให้มั่นคง ยืนหยัดไว้เพียงสิบกระบวนท่า” แสดงว่า โจโฉส่งสัญญาณต้องการเพียงแค่ผลเสมอกันก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสุ่มเสี่ยงให้พลาดพลั้ง
เคาทูรับคำ เตียวคับจึงย่ามใจ เน้นโจมตี ไม่ป้องกัน เร่งบิดจับรัดเหวี่ยงเข้าใส่เคาทูอย่างต่อเนื่องจนผ่านไปเจ็ดแปดกระบวนท่า สังเกตเห็นเคาทูเชื่องช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด จึงได้แต่ตั้งรับตามที่โจโฉสั่งการจริงๆ
แต่แล้ว พอถึงกระบวนท่าที่เก้า เคาทูที่ดูอืดอาดเทอะทะมาโดยตลอด กลับหมุนตัวคว้าง อ้อมไปทางด้านหลังฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย กลายเป็นกระบวนท่าจู่โจม ใช้สองมือรวบกดพร้อมหักลำคอในจังหวะเดียว
ที่แท้คือกลลวงที่โจโฉกับเคาทูร่วมกันเสแสร้งขึ้น เคาทูดูเปลือกนอกท้วมใหญ่เชื่องช้า แต่ที่จริงกลับว่องไวและคล่องแคล่วกว่าผู้อื่นทั่วไป สมญานาม หมีทมิฬ ที่รับสืบทอดแทนตั๋งโต๊ะหรือกองทัพเสเหลียงในอดีต ย่อมต้องมีที่มาที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
เตียวคับที่บุกเพลิน กลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที แต่ยังไม่สิ้นลายโจรเก่า จึงทรุดตัวลงทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้า หนุนดันให้เคาทูลอยข้ามหัวไป แล้วค่อยใช้กระบวนท่าสุดท้ายที่ลอกเลียนมาจากแฮหัวตุ้น ขุนพลเทพตาเดียว เป็นกระบวนท่าหยกกระเบื้องล้วนแหลกสลาย
เห็นร่างของเตียวคับลอยตามเคาทูที่อยู่ในสภาพกลับหัว สองเท้าชี้ขึ้นฟ้า สองมือของเตียวคับกระแทกเข้าใส่จุดเปราะบางช่วงล่างของร่างกาย แต่เคาทูยังมีไหวพริบ จึงจงใจใช้ทั้งมือเท้ารวบคู่ต่อสู้เข้าหาตัว คล้ายดั่งงูเหลือมตัวใหญ่กลืนกินเหยื่อ เปลี่ยนระยะให้ประชิดจนไม่เหลือแรงกระแทกส่ง แต่ก็ทำให้สองขุนพลลอยละลิ่วเสียหลักอย่างไร้การควบคุม สุดท้าย จึงล้มคะมำหัวกระแทกพื้นที่สุดปลายห้องพร้อมกันทั้งคู่
โจโฉหันหน้ามองตามพร้อมหัวร่อฮาฮา นึกว่า การต่อสู้ยุติลงเพียงแค่เสมอกันตามที่ต้องการ อ้วนเสี้ยวพยักหน้ายิ้มตอบ แต่กลับเห็นเป็นโอกาสที่สององครักษ์อยู่ห่างไกลแล้ว ใช้ตะเกียบเงินที่ใช้กินอาหารเมื่อครู่ ต่างมีดสั้นอันคมกริบ แทงเข้าใส่ลำคอของโจโฉที่เผลอตัวเปิดช่องว่างอยู่ตรงหน้าในทันที
ขอเพียงโจโฉสิ้นชีวิตกระทันหัน สงครามกัวต๋อก็จะจบสิ้นลง ขุมกำลังโจโฉมีเพียงทายาทโจผีที่ยังอ่อนวัย ไม่อาจห้ามเทียบเทียมกับอ้วนเสี้ยวผู้เจนโลกได้แล้ว กระสาจึงยังคงต้องการลงมือให้ยุติเรื่องราวโดยเร็ว เพื่อเห็นแก่ชีวิตคน ไม่ให้ต้องสูญเสียมากมายด้วยการทำสงครามต่อกัน
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ตะเกียบเงินที่ควรฝังจมลงในลำคอที่เปราะบางของเหยื่อที่ไม่ทันระวังตัว กลับหักสะบั้นก่อนจะถึงจุดหมายเพียงแค่ช่วงหนึ่งนิ้วอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายถูกพลังอำนาจที่มองไม่เห็นขัดขวางเอาไว้
โจโฉใบหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าสหายเก่าจะมาไม้นี้ แต่อ้วนเสี้ยวกลับรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ ทำเป็นปล่อยตะเกียบส่วนที่เหลือร่วงหล่นไปกับพื้นโต๊ะไปด้วย “ตะเกียบเงินเปราะบางเกินไป เพียงส่ายไปมาก็หักสะบั้น เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน พวกเราไปพบกันในสมรภูมิต่อเถิด”
อ้วนเสี้ยวยกสุราขึ้นดื่มเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย พร้อมกับคำพูดติดปาก “เวลาเท่านั้นคือบทพิสูจน์ ลาก่อน โจโฉสหายเรา”
คราวนี้ โจโฉไม่ยอมรอช้า รีบลุกขึ้นอำลาตามมรรยาท สะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมกันกับองครักษ์เคาทูที่ยังมึนงงไม่หาย ผู้คนที่นั่งกินดื่มอยู่ทางด้านนอกห้องพิเศษต่างทะยอยติดตามออกจากร้านไปด้วยเกือบกึ่งหนึ่ง แสดงว่า ที่แท้ โจโฉจัดเตรียมกำลังพลมาดูท่าทีอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง สามารถเรียกระดมคนได้ทุกเมื่อ
อ้วนเสี้ยวมองตามเงาหลังของโจโฉ ผู้ยิ่งใหญ่ในดวงใจของมันตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่นึกเลยว่า วันหนึ่ง มันจะได้ย้อนเวลามาพบกับฮีโร่ในดวงใจ ด้วยบรรยากาศที่น่าฮึกเหิมเช่นนี้ “ลาก่อน ท่านโจโฉ เจ้านี่แหละคือวีรบุรุษในดวงใจของข้า”
อ้วนเสี้ยวลุกขึ้น กวาดตามองตะเกียบเจ้าปัญหาอีกครั้ง พร้อมส่งเสียงหึหึในลำคอ ไม่ว่ากล่าวอันใด ในขณะที่ขุนพลเตียวคับที่ได้สติแล้ว รีบเดินประกบติดตามเจ้านายอย่างใกล้ชิด ตอนออกจากโรงเตี๊ยม ก็มีผู้คนทะยอยออกจากร้านไปอีกกึ่งหนึ่งเช่นกัน แสดงว่า หากเมื่อครู่ ภายในห้องรับรองพิเศษ ผู้นำฝ่ายใดบาดเจ็บล้มตาย เห็นทีจะมีการหลั่งเลือดเสี่ยงชีวิตของทั้งสองฝ่ายอย่างดุเดือดแน่นอน
ถึงแม้ว่าแผนการลอบสังหารในงานจัดเลี้ยงจะผิดพลาดล้มเหลว แต่ก็เหมือนเป็นบทเรียนสอนใจให้กับผู้เหี้ยมหาญในอนาคต หากแม้นมันต้องตกตายไปจริงๆ โจโฉก็จะมีแนวทางในการจัดการกับประชาชน และแผ่นดินต่อไปอย่างชัดเจนแล้ว
หากแต่กระสา-อ้วนเสี้ยวเอย เจ้าผิดแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการพบปะครั้งนี้ด้วย เป็นคนสำนักหุบเขาปีศาจ เจ้าของลึกลับของโรงเตี๊ยมสุขสำราญ
…
ภายในห้องลับ คนเล่นพิณกับพวกทั้งสอง ได้แก่ ซินแสผิวดำ และองครักษ์ถือทวนใหญ่ ย่อมได้ยินเรื่องราวด้านนอกอย่างชัดเจน ทั้งหมดย่อมมุ่งหวังให้โจโฉอ้วนเสี้ยวทั้งสองฝ่ายอยู่รอดปลอดภัย เพราะแผนการของพวกมันคือการเกิดสงครามครั้งย่ิงใหญ่ให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่าย มิใช่มาวัดแพ้ชนะกันเพียงแค่การต่อสู้ประลองฝีมือเช่นนี้
หลังจากคู่ต่อสู้หมัดมวย เคาทู เตียวคับ เพ่ิงล้มลงไปกองกับพื้น คนทั้งสามเพิ่งได้ถอนหายใจโล่งอก กลับต้องตระหนกที่อ้วนเสี้ยวลงมือต่อโจโฉอย่างกระทันหันซ้ำอีก ระยะทางที่ห่างไกล ทำให้สุดที่จะออกไปแก้ไขได้ทัน
จนเมื่อตะเกียบเงินหักสะบั้น ผู้คนแยกย้ายออกจากร้าน คนทั้งสามค่อยยิ้มออก ในขณะที่บุคคลแปลกหน้าในชุดคหบดี ใบหน้าอิ่มเอิบก้าวเข้ามาในห้องลับอีกคน
“เป็นเจ้าเองที่ลงมือจริงๆด้วย บังเต๊กกง” คนเล่นพิณทักทาย
บังเต๊กกงประสานมือคารวะต่อคนเล่นพิณ แต่ดูถือตัวต่อสองคนที่เหลืออยู่บ้าง “บังเต๊กกงแห่งหุบเขาละทิ้งอดีต คารวะต่อนายท่าน ข้าน้อยทราบข่าวจากท่านกุนซือ จึงได้รีบติดตามมาโดยเร็ว ทันเวลาได้แก้ไขสถานการณ์ไดัพอดี”
“มามา เรามาฟังบทสนทนาของห้องลับคู่ขนานกันบ้าง” คนเล่นพิณกล่าวสรุป
…
ยังมีตำแหน่งห้องลับอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกัน แต่กั้นห่างเพียงกำแพงเหล็กกล้ากันเสียง ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งแต่งกายคล้ายพวกคหบดีทั้งหลาย แต่ที่จริง กลับเป็นกลุ่มคนหนุ่มไฟแรงแห่งกังตั๋ง อันได้แก่ ซุนกวน จิวยี่ โลซก ซึ่งได้รับทราบถึงบทสนทนาเช่นกัน ผู้ใดจะคาดคิดว่า โรงเตี๊ยมโจรถึงกับจงใจจัดทำห้องลับไว้แอบฟังถึงสองห้องติดกัน โดยห้องแรกยังลอบฟังห้องที่สองได้อีกด้วย
“โจโฉแทบสิ้นชีวิตอย่างงมงายอยู่แล้ว เสียดายที่ตะเกียบเงินยังเปราะบางเกินไป ไม่อาจทะลุผ่านลำคอของจอมทรราชย์หนังเหนียวไปได้” ผู้นำหนุ่มน้อยซุนกวนในวัยไม่ถึงยี่สิบปี ส่ายหน้าบ่นเสียดายไม่หยุดปาก หลังจากที่พักดื่มชาแก้กระหายไปแล้ว
“ผิดแล้วนายน้อย ตะเกียบถูกกระแทกหักด้วยพลังยุทธ์ก่อนจะบรรลุถึงเป้าหมาย เข้าใจว่า ฝั่งโจโฉยังมียอดคนซ่อนกายคอยให้ความช่วยเหลืออยู่อีก อ้วนเสี้ยวประเมินสถานการณ์แล้วจึงยอมหยุดมือเอาไว้ก่อน มิฉะนั้น พวกเราคงได้เห็นการปะทะกันของสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นตัวหัวหน้า องครักษ์ หรือกลุ่มคนที่รั้งรอด้านนอกอีกไม่จบสิ้น ลูกไม้ของอ้วนเสี้ยวแพรวพราว ตระเตรียมมาอย่างดี แต่ฝ่ายโจโฉก็ป้องกันได้อย่างรัดกุมไม่แพ้กันเลย” จิวยี่เฉลยความ
“ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านพี่สมควรเรียกหาข้าว่าน้องเรา มิใช่นายน้อย” ซุนกวนตัดพ้อคืนเล็กน้อย จิวยี่เพียงยิ้มไม่ตอบคำใดๆ แต่คล้ายชำเลืองไปผนังด้านข้างวูบหนึ่ง
โลซกเห็นท่าทีอึดอัดใจ จึงเปลี่ยนเรื่อง “ปณิธานอันยิ่งใหญ่เพื่อแผ่นดิน ผู้ปกครองต้องมีเพียงหนึ่งเดียว นับว่า ห้องใต้ดินแห่งนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก เสียดายที่เมืองนี้ไม่ใช่เมืองหลวงอีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้น คงก่อเกิดประโยชน์อเนกอนันต์” กล่าวพลางลอบยินดีที่ได้รับเลือกให้ร่วมทางมาด้วย ซึ่งแสดงถึงความไว้วางใจในตัวมัน
“พี่ใหญ่ซุนเซ็กเล่าว่า ห้องลับเช่นนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของบรรพชนรุ่นก่อนของตระกูลซุน นับแต่ท่านซุนปินที่แก้แค้นสำเร็จ และวางมือจากการเมืองแล้ว ทางหนึ่ง ท่านประกาศ ตนว่าพำนักอยู่อย่างสันโดษภายในหุบเขาปีศาจ แต่อีกทางหนึ่ง ท่านก็วางโครงข่ายลับลักษณะเช่นนี้เพื่อติดตามสถานการณ์เบื้องลึกไว้ในเมืองสำคัญมาโดยตลอด ผู้คนชั้นนำมาดื่มกินในห้องรับรอง มักจะมีประเด็นสำคัญพูดคุย ห้องรับรองทุกห้องจึงถูกติดตั้งท่อส่งเสียงเอาไว้ให้ดักฟัง ข่าวสารการเมืองของพวกท่าน จึงรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ จนเป็นหลักปฏิบัติของพวกท่านมาเนิ่นนาน สาเหตุที่อ้วนเสี้ยว โจโฉทั้งสองมากันที่นี่ก็เป็นเพราะท่านซุนเกี๋ยนชักจูงมาจนคุ้นเคยตั้งแต่ต้น” จิวยี่อธิบายในฐานะคู่เขยและแม่ทัพร่วมศึกมานานของซุนเซ็ก
“ต่อไป เราควรจะมีสาขาเช่นนี้ที่เมืองหลวงใหม่ฮูโต๋ ท่านโลซกโปรดรับไปจัดการต่อให้ด้วย” ซุนกวนสรุปสั้นๆ แววผู้นำในเชิงนักบริหารเริ่มฉายแววออกมาบ้างจากนายน้อยผู้นี้ หากแต่บุคลิกภาพยังไม่ลุ่มลึกเพียงพอ
จิวยี่ในฐานะพี่เขยผู้อาวุโสใกล้ชิด พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พลางกล่าว “น้องเรากล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากแต่เครือข่ายของหุบเขาปีศาจฝังรากมายาวนาน ท่านซุนแจ้งได้จัดการวางรากฐานไว้ที่เมืองฮูโต๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ซุนกวนนึกตำหนิตนเองไม่ควรพลั้งปากรวดเร็วเกินไป ส่วนโลซกลูบเคราพยักหน้า ชื่นชมเครือข่ายลับที่ตระกูลซุนสะสมเอาไว้ พร้อมเสริมคำ “แสดงว่า ในยามนี้ ท่านซุนแจ้งที่เป็นผู้นำตระกูลซุน คือศูนย์รวมของแหล่งข่าวไปแล้วกระมัง”
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด แต่ที่จริงแล้ว กลไกตัวสำคัญของสำนักหุบเขาปีศาจคือ จะมีตัวแทนหนึ่งคนที่อาจจะเป็นทายาทหรือศิษย์ในสำนักก็ตาม ที่จะเสียสละตัวเองออกมาคลุกคลีกับสังคมเมืองหลวง เพื่อปกป้องรากฐานสำคัญให้กับสำนัก และหาทางผลักดันให้สำนักเฟื่องฟูขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง บางท่านอาจพลาดพลั้งถูกฆ่าตายไปโดยไม่ปรากฏตัวตนเลยก็มี” จิวยี่เสริมต่อเรื่องราวขึ้นไปอีก
โลซกต้องแอบประเมินว่า ซุนเซ็กถ่ายทอดเรื่องราวไว้กับคู่เขยคนสนิทมากยิ่งกว่าน้องชายแท้ๆเสียอีก พร้อมถาม“สมัยท่านซุนเกี๋ยนยังอยู่ ท่านก็ออกมาปรากฏกายในราชสำนักเพียงลำพัง แนวคิดดังกล่าวคงจะตัดตอนหมดช่วงสืบต่อไปแล้วกระมัง”
“ผิดแล้ว กลไกนั้นยังคงอยู่ ข้าเพิ่งได้รับการติดต่อยืนยันมาจากสายลับผู้นั้น เพื่อให้พวกเราลอบมารับข้อมูลสำคัญในครั้งนี้” จิวยี่ตอบ
“มันเป็นผู้ใดหรือ พี่จิวยี่” ซุนกวนถามคำถามที่เคยถามซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ยังไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ จิวยี่เพียงขอให้มันเชื่อใจและยินยอมมาด้วยในครั้งนี้
“เป็นเราเอง ซุนฮก” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากปากทางห้องลับ เป็นกุนซืออันดับต้นของโจโฉ และทายาทที่เหลวแหลกของตระกูลซุน ซุนฮก นั่นเอง “ภายในของพวกท่านมีไส้ศึกแฝงอยู่เนิ่นนานแล้ว ข้าสืบพบว่าเล่าเปียวไม่เกี่ยวข้องกับการตายของซุนเกี๋ยน หรือ ซุนเซ็ก เลยสักคน พวกท่านถูกหลอกมานานเกินไปแล้ว”
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย