8 มี.ค. 2021 เวลา 02:03 • นิยาย เรื่องสั้น
2.18. การเมืองสายวิชาการ
สามกุนซืออาวุโส เตียนห้อง ฮองกี๋ จอสิว
อองลอง หรืออดีตอองเอี๋ยน เจ้าเมืองห้อยเข นับตั้งแต่เข้ามารับราชการภายในราชสำนักตามการชักจูงของฮกอ้วน ผู้เป็นทั้งสมุหนายก และพ่อตาของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยดี และแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อราชวงศ์ฮั่นจนเป็นแบบอย่างที่ดีของราชบัณฑิตทั่วไป
หลายเดือนก่อน ฮกอ้วนจึงนัดหมายอองลองกับขงหยงมาพบกันที่บ้านพัก ขงหยง ผู้นำลัทธิขงจื้อคนปัจจุบัน และเป็นอดีตเจ้าเมืองปักไฮ อองลองจึงมีความคุ้นเคยกันอยู่บ้าง และทำให้คนทั้งสามพูดคุยกันได้ง่ายขึ้นตามประสาคนสายบุ๋นด้วยกัน
ฮกอ้วนเสนอความคิด “เราต้องการรวบรวมกลุ่มบัณฑิตคนมีความรู้ ก่อตั้งเครือข่ายขุมกำลังใหม่ เพื่อช่วยกันสืบสานราชบัลลังก์ฮั่น จึงอยากจะให้พวกท่านทั้งสองผลักดันหน่วยงานใต้ดินขึ้นมา เป็นกลุ่มรักชาติเจี้ยนอาน ตามปีรัชสมัยใหม่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยคัดเลือกขึ้นมาจากนักปราชญ์เลื่องชื่อที่อยู่กระจัดกระจายทั่วแผ่นดิน
เปลือกนอก คือ เพื่อยกระดับการศึกษาให้แพร่หลาย สืบทอดความรู้มิให้เสื่อมสูญด้วยภัยสงคราม ไม่ว่าสังกัดก๊กเหล่าใดก็สามารถเปิดรับแนวทางการศึกษาโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงต่อฝ่ายรัฐบาลก็ได้ และให้สิทธิพิเศษต่อเจ็ดบัณฑิตผู้เป็นเสาหลักสายวิชาการในการเดินทางไปได้ทุกแห่งหน โดยคุ้มครองปลอดภัยจากการเมืองทั้งปวง แต่จุดประสงค์ที่แฝงเร้น คือ การเชื่อมโยงขุมกำลังอื่นๆให้กลับมาสนับสนุนราชวงศ์ฮั่นอีกครั้ง โดยเราจะประสานงานให้จากภายในราชสำนักอีกทอดหนึ่ง”
นับว่า ฮกอ้วน ขุนนางอาวุโสเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังเดินตามรอยอ้องอุ้น-ตั๋งโต๊ะ หวังใช้แนวทางสายบุ๋น เพื่อจัดการกับโจโฉบ้าง และอองลอง ขงหยง เป็นพวกขุนนางที่ยึดถือตามขนบธรรมเนียมอยู่แล้ว จึงยอมตกลงร่วมด้วยในทันที
ดังนั้น ขงหยงจึงอาศัยสถานะผู้นำด้านการศึกษา ประกาศก่อตั้งกลุ่มเจ็ดบัณฑิตเจี้ยนอาน และใช้แนวทางในการจัดการผ่านห้องเรียนชุมชน สามารถรวบรวมคนวิชาการเข้าพวกได้เป็นจำนวนมาก รากลึกของขุมกำลังนี้กลับยังซ่อนเร้นอำพรางอยู่ ยากที่คนทั่วไปจะหยั่งถึง
น่าเสียดายที่อ้วนเสี้ยวดันเป็นต้นเหตุความตายของตันหลิมที่เป็นคนหนึ่งในบัณฑิตเจี้ยนอานไปอย่างมีเงื่อนงำ ทำให้ผู้นำขงหยงแค้นเคือง และตัดสินใจเป็นปฏิปักษ์ต่ออ้วนเสี้ยวโดยเด็ดขาด นั่นคืออีกแรงกระเพื่อมที่บั่นทอนกระสาไปโดยไม่รู้ตัว
จุดเริ่มต้นของเจ็ดบัณฑิตเจี้ยนอาน ประกอบด้วย ขงหยง อองลอง ตันหลิม อ้วนยู เล่าจิน เคาก้าน และอิ๋นฉาง แต่ละคนมีความเป็นมาน่าสนใจไม่น้อย
ขงหยง อดีตเจ้าเมืองปักไฮ ทายาทขงจื้อ ถือเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งผู้นำลัทธิขงจื้อ และเป็นผู้นำทางการศึกษาของรัฐบาล สามารถขยายความ และถ่ายทอดเนื้อหาคุณธรรมในลัทธิได้เป็นอย่างดี ใช้นาม ปราชญ์จริยะ
อองลอง นามเดิม อองเอี๋ยน อดีตเจ้าเมืองห้อยเข ปัจจุบันสังกัดสายวิชาการฝ่ายรัฐบาลกลาง นับเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนที่มีชื่อเสียง รวบรวมและปรับปรุงผลงานทางวิชาการมากมาย มีความทรงจำเป็นเลิศ ใช้ชื่อ ปราชญ์ปัญญา
ส่วนสมาชิกคนอื่นก็นับเป็นคนสำคัญในสาขาต่างๆ เช่น ตันหลิม เป็นอดีตนักวิชาการชื่อดังทางภาคเหนือ ต่อมา ค่อยเข้ากับกลุ่มอ้วนเสี้ยว เป็นบัณฑิตที่ใช้สำนวนภาษาได้เฉียบคม มีผลงานด้านการอธิบายความเป็นที่ประจักษ์ ตั้งเป็น ปราชญ์โวหาร
อ้วนยู บัณฑิตนักประดิษฐ์ ผู้เป็นทั้งญาติห่างๆ และที่ปรึกษาของอ้วนสุด ปัจจุบัน สวามิภักดิ์ต่อเล่าเปียว ชำนาญด้านการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมทั้งชมชอบค้นคิดอุปกรณ์เครื่องมือทุ่นแรงเสมอ เรียกขาน ปราชญ์สร้างสรรค์
เล่าจินเป็นเชื้อพระวงศ์มีสกุล และเดิมรับราชการอยู่ในสังกัดเล่าเจี้ยง แต่กลับชมชอบทำงานเกษตรกรรม สร้างผลงานปรับแต่งพื้นดินกันดารให้พลิกฟื้นคืนสภาพ และเพาะพันธุ์พืชผลออกมาได้ดี จึงให้ชื่อ ปราชญ์แดนดิน
เคาก้าน เป็นนักปราชญ์มีชื่อที่พเนจรอยู่ตามชายฝั่งตะวันออก เป็นที่เคารพของคนท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมง พ่อค้า ไปจนถึงคนโพ้นทะเล ด้วยเชี่ยวชาญความแปรเปลี่ยนของคลื่นลมฟ้าฝน และน้ำขึ้น-น้ำลง เรียกขาน ปราชญ์พยากรณ์
สุดท้าย อิ๋นฉาง เป็นอาจารย์ผู้สูงวัยในแถบชายแดนทางใต้ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูกิตติมศักดิ์แห่งชนเผ่าเย่ด้วย เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิชาการข้ามถิ่น รอบรู้ถึงตำนานและความเชื่อถือของผู้คนในใต้หล้า ยกให้เป็น ปราชญ์รอบรู้
เจ็ดบัณฑิตจึงเป็นเหมือนตัวแทนกลุ่มนักวิชาการอาวุโสสายขงจื้อที่มีในศาสตร์เฉพาะด้านแตกต่างกัน และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อายุแต่ละคนอยู่ในช่วงสี่สิบห้าสิบปี พอจัดเรียงลำดับกันตามอายุปีเกิดแล้ว สมควรเป็นอองลองที่มีอาวุโสสูงสุด แต่ทั้งหมด ยังคงเปิดทางให้ขงหยง ทายาทผู้สืบสกุลจากปรมาจารย์ขงจื้อ ขึ้นเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม
ที่จริงแล้ว ช่วงราชวงศ์ฮั่นนั้น ลัทธิความคิดหลักทางการปกครองที่แพร่หลายในสายวิชาการ คือ สายขงจื้อ และสายม่อจื้อ มีชื่อเสียงคู่คี่ก้ำกึ่งกัน ผลัดกันรุ่งเรืองผลัดกันร่วงโรยมายาวนานนับร้อยๆปี จนยามนี้ ผู้นำลัทธิขงจื้อคือขงหยงที่กำลังมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในขณะที่ผู้นำลัทธิม่อจื้อกลับสิ้นสูญขาดตอนไปเสียแล้ว
นับตั้งแต่ที่ซัวหยง อดีตผู้นำม่อจื้อ ถูกอ้องอุ้น อดีตผู้นำขงจื้อ ฉวยโอกาสสังหารทิ้งไปครั้งนั้นแล้ว พี่น้องสกุลเอียว เอียวปิด เอียวปิว ผู้เป็นลูกศิษย์สำคัญ เคยพยายามผลักดันรื้อฟื้นลัทธิม่อจื้อที่ตนเองชื่นชมอยู่พักหนึ่ง แต่ทั้งสองก็พลาดท่า ถูกกลการเมืองทำให้ตกตายไปอย่างกระทันหันเช่นกัน
ดังนั้น ลัทธิม่อจื้อที่ขาดผู้นำ จึงแทบไม่มีโอกาสช่วงชิงแรงสนับสนุนกลับมาได้เลย จนลัทธิขงจื้อช่วงชิงความนิยมไปหลายช่วงตัวแล้ว
การรวมตัวของกลุ่มคนสายขงจื้อตามแนวคิดของฮกอ้วน จึงกลายเป็นกระแสนิยมที่มาได้ถูกจังหวะ และจุดติดได้ง่ายอย่างเหลือเชื่อ แต่อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาโครงสร้างของลัทธิที่ผูกติดอยู่กับจริยธรรมหลัก และแนวความคิดในการปกครองบ้านเมืองซึ่งกำลังเป็นที่โหยหา เพื่อยุติความไม่สงบทางการเมืองที่มีต่อเนื่องหลายปี ทำให้ขุนนางนายทหาร และประชาชน พากันประกาศตนเป็นลูกศิษย์กันอย่างล้นหลาม แซงหน้ากระแสนิยมในลัทธิความเชื่ออื่นๆจนหมดสิ้น ส่งเสริมให้เหล่าบัณฑิตเจี้ยนอาน กลายเป็นตัวแทนความหวังครั้งใหม่ให้กับผู้คนจำนวนมาก
การกำเนิดกระแสนิยมใหม่เช่นนี้ ที่จริงย่อมเป็นที่จับตาสังเกตจากฝ่ายปกครอง กุนซือซุนฮก ตันกุ๋น ล้วนเคยตักเตือนกับโจโฉให้ระมัดระวังกลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ไว้บ้าง แต่ช่วงที่ผ่านมา ผู้นำขงหยงกลับวางตัวได้เหมาะสม ถึงกับใช้ตำแหน่งสถานะทางการศึกษา ประกาศยกย่องมหาอุปราชโจโฉและโจผี บุตรชายวัยสิบกว่าปี ในฐานะต้นแบบนักกวีรุ่นใหม่แห่งยุคสมัย อีกทั้งประกาศสนับสนุนบุตรชายคนอื่นๆที่มีแวว ให้เข้าร่วมโครงการใหม่ หวังสร้างนักกวีรุ่นเยาว์ต่อไป ทำให้โจโฉรู้สึกพึงพอใจ และละเว้นอ่อนข้อให้กับพวกกลุ่มบัณฑิตเป็นพิเศษ
ด้วยกระแสการเมืองเช่นนี้เอง ในภายหลัง โจสิด บุตรคนที่สามของโจโฉ ที่มีความสนใจใฝ่รู้ทางด้านวิชาการมากกว่าลูกคนอื่น จึงกลายเป็นผู้โชคดี ได้รับการฝึกฝนศาสตร์พิสดารต่างๆจากอาจารย์ชั้นหัวกะทิอย่างกลุ่มบัณฑิตเจี้ยนอานโดยตรง และถูกผลักดันให้เป็นนักกวีที่มีชื่อเสียง ทัดเทียมกับโจโฉ โจผี พ่อลูก และได้รับการยกย่องให้เป็นสามยอดนักกวีสกุลโจไปในที่สุด
เมื่อเกิดปัญหารุนแรงกับสมาชิกสำคัญอย่างจอมโวหารตันหลิมเช่นนี้ ฮกอ้วน สมุหนายกผู้อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งกลุ่มเจี้ยนอาน จึงทดสอบระดับความแข็งแกร่งของกลุ่มเจี้ยนอาน สั่งการให้ขงหยงทดลองแสดงพลังตอบโต้กับอ้วนเสี้ยวดูสักครา
กลุ่มบัณฑิตเจี้ยนอานที่ยังอยู่กระจัดกระจายตามภูมิภาคต่างๆ จึงส่งข่าวประสานงานกัน ประกาศกล่าวโทษต่ออ้วนเสี้ยวที่ทำร้ายผู้คนสายวิชาการโดยไร้เหตุผล ตั้งแต่ตันหลิมที่ตายอย่างมีเงื่อนงำ และเขาฮิวที่ถูกยัดข้อหาจารชน พร้อมทั้ง ยกย่องเชิดชูโจโฉเป็นนักปกครองที่เที่ยงธรรม จนทำให้กระแสนิยมที่มีต่ออ้วนเสี้ยวกลายเป็นภาพลบอย่างรุนแรง สวนทางกับกระแสนิยมที่มีต่อโจโฉที่ดีวันดีคืน ผู้คนที่อยู่ในสังกัด หรือตั้งใจเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยว ต่างพากันคิดทบทวนใหม่ และเปลี่ยนใจเข้าร่วมกับฝั่งโจโฉแทน เป็นจำนวนมากมาย
ฮกอ้วนกับขงหยง อองลอง ประเมินสถานการณ์ด้วยความยินดี หากวันหนึ่งในภายหน้า พวกมันลงมือตามแผนการลับที่วางไว้ อาจจะคว่ำทรราชย์โจโฉได้ไม่ยากแล้ว
การเมืองสายบุ๋นภายในขุมกำลังอ้วนเสี้ยว ถือว่า ซับซ้อนยิ่งนัก กลุ่มกุนซือหลักในเมืองกิจิ๋ว ประกอบด้วย เตียนห้อง ฮองกี๋ จอสิว ตันหลิม เขาฮิว กัวเต๋า ซินผี และสิมโพย แม้ว่าไม่ได้มีใครโดดเด่นเจิดจ้า แต่ก็เป็นพลังความคิดช่วยเหลือแบ่งเบาภาระการบริหารให้กับอ้วนเสี้ยวไม่น้อย เพียงแต่กลุ่มก้อนนี้กลับไม่่ได้มีความสามัคคีกันเท่าไรนัก เพราะต่างคนต่างที่มากัน
พวกหนึ่งเป็นกุนซือเก่าที่มาจากสายฮันฮก อดีตเจ้าเมืองกิจิ๋วที่ถูกกลืนกิน คือ เตียนห้อง จอสิว สิมโพย และนับเป็นที่ปรึกษากลุ่มแรกที่เข้าสังกัด ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นกุนซือใหม่ คือ ฮองกี๋ ตันหลิม เขาฮิว กัวเต๋า ซินผี ค่อยทะยอยสวามิภักดิ์กับอ้วนเสี้ยวในภายหลังที่เริ่มมีชื่อเสียง และอิทธิพลสูงแล้ว
ในบรรดากุนซือหลักทั้งหลาย อ้วนเสี้ยวที่ร่ำลือกันว่า มีความคิดเป็นของตัวเองสูง ยังรับฟังนับถือกุนซือที่สูงวัยอย่าง เตียนห้อง ฮองกี๋ จอสิว พอสมควร ส่วนตันหลิม เป็นบัณฑิตชื่อดัง ชำนาญการสร้างข่าวสร้างภาพ จึงได้รับความไว้วางใจได้เป็นครั้งคราว ส่วนเขาฮิว กัวเต๋า ซินผี สิมโพย กลับคล้ายไม่ใคร่มีพื้นที่อยู่ภายในใจของจอมทัพมากนัก ความกดดันเช่นนี้ยิ่งทำให้การเจรจาปรึกษางานกันยุ่งยากขึ้น เพราะล้วนแต่ต้องการสร้างผลงานให้เข้าตาเจ้านาย
ช่วงเวลาหนึ่ง อ้วนเสี้ยว รำคาญกลุ่มที่ปรึกษาที่มากคนมากความ โดยเฉพาะเขาฮิวที่ช่างพูดช่างเจรจา จึงโอนย้ายเขาฮิวให้ไปเข้าสังกัดในจวนอ้วนซง ลูกคนเล็ก ที่ปรึกษาคนอื่นกลับเห็นเป็นโอกาส จึงแจ้งความจำนง ขอย้ายสังกัดบ้าง อ้วนเสี้ยวจึงส่งกัวเต๋าไปเข้าสังกัดในจวนอ้วนถำ ลูกคนโต ซินผีไปเข้าสังกัดในจวนอ้วนฮี คนรอง
คงมีแต่สิมโพยที่รู้ตัวว่าอยู่เป็นกุนซือไปก็ไร้อนาคต ขอเปลี่ยนเส้นทางจากคนสายบุ๋น ทำหน้าที่ใหม่เป็นทหารนักรบคุมกองทัพแทน ช่วงหลังมานี้ จึงหลงเหลือเพียงแค่เตียนห้อง ฮองกี๋ จอสิว ตันหลิม เป็นที่ปรึกษาหลักให้อ้วนเสี้ยว กลับลดวาระการถกเถียงลงได้มาก
ในศึกสมรภูมิกัวต๋อ สี่ที่ปรึกษาได้รับบทบาทต่างกัน เตียนห้อง ฮองกี๋ รับหน้าที่เฝ้าเมืองหลัก จอสิว ตันหลิมติดตามทัพ ต่อมา ตันหลิมถูกลูกหลงตายอย่างมีเงื่อนงำ จึงเหลือเพียงจอสิวทำหน้าที่กุนซือหลักเพียงคนเดียว
พอเกิดปัญหากระแสนิยมเปลี่ยนขั้ว ซึ่งเกิดมาจากการตายของตันหลิม จอมสร้างข่าวที่เป็นหนึ่งในเจ็ดบัณฑิตเจี้ยนอาน ทำให้คนสายกุนซือรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง และเป็นจอสิวที่รีบแจ้งข่าวต่อเจ้านาย พร้อมด้วยข้อเสนอแนะว่า ตั้งทัพหลักพักรบไปก่อน เพื่อรอให้ศัตรูขาดเสบียง แล้วค่อยแสดงอำนาจทางทหาร ส่งทูตไปเจรจาความเมือง มุ่งเอาชนะโดยสันติวิธีแทน
อ้วนเสี้ยววางหนังสือราชการลงบนโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกล่าว “เตียนห้องส่งจดหมายแจ้งข่าว กระตุ้นเตือนว่า ความตายของตันหลิมในครั้งนี้ จะทำให้ฝ่ายเราเป็นศัตรูกับคนสายวิชาการทั่วทั้งแผ่นดิน ทำสงครามไปก็รังแต่จะพ่ายแพ้ เพราะไม่อาจครองใจราษฎร มันก็มุ่งหวังให้เราถอนทัพกลับเมืองก่อน”
กุนซือจอสิวค่อยใจชื้นขึ้นที่มีพรรคพวกสนับสนุนความคิด แต่แล้ว อ้วนเสี้ยวที่คาดเดาได้ยาก กลับตบโต๊ะสั่งการ “จอสิวและเตียนห้องมีใจออกห่าง คิดหวังแปรพักตร์ หวังจะบั่นทอนกำลังใจในการทำสงคราม ให้นำตัวมันทั้งสองเข้าคุกเอาไว้ รอการตัดสินคดีในภายหลัง”
ดังนั้น สงครามกัวต๋อ จึงบันทึกไว้ว่า สามกุนซือหลักของอ้วนเสี้ยว ตั้งแต่ เตียนห้อง จอสิว เขาฮิว ล้วนทะยอยเข้าคุกในข้อหาไส้ศึกจารชน รอการตัดสินคดีความ อีกหนึ่งกุนซือหลักนามตันหลิม ตายกระทันหันโดยไร้คำชี้แจง ทำให้กุนซือคนอื่นๆได้แต่ไหว้เจ้าขอพร อย่าให้อ้วนเสี้ยวเรียกหาเข้าไปใช้งานเลย
พอเชื้อโรคความหวาดระแวงแผ่ขยายไปทั่วทั้งกองทัพ ข่าวคนสายวิชาการมีปัญหาจึงเหมือนเป็นประกายไฟที่ลุกลามทำลายความฮึกเหิมของขุมกำลังกิจิ๋วไปแทบหมดสิ้น กำลังพลร้อยหมื่นนายรับรู้ข่าวสายบุ๋นคือการทรยศหักหลังของกุนซือคนสำคัญคนแล้วคนเล่า ข่าวสายบู๊คือการกลับมารวมกองเสริมทัพของกองหนุนฝ่ายศัตรูจากชายแดนอื่นๆ จึงทำให้ขวัญกำลังใจถดถอยลงตามลำดับ
ต้องทราบว่า กองทัพร้อยหมื่นของอ้วนเสี้ยว เป็นเพียงกองกำลังผสม บ้างเป็นทหารเมืองกิจิ๋วเอง บ้างเป็นทหารรับจ้างนอกด่าน บ้างเป็นกองทัพชนเผ่าอิสระ บ้างถึงกับเป็นทหารเชลยที่เพิ่งถูกกวาดต้อนเข้าร่วมทัพ การฝึกฝนเรื่องวินัยหรืออาวุธยังไม่เข้มแข็งมากพอ ความจงรักภักดีก็พลอยไม่ได้มีมากมายนัก นอกจากผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน หรือแรงบังคับสั่งการเท่านั้น
ดังนั้น ความอ่อนไหวทางกำลังใจจึงแปรปรวนได้ง่าย ข่าวกองหนุนฝ่ายตรงข้าม และข่าวกระแสนิยมรัฐบาลกลาง จึงกลายเป็นตัวซ้ำเติมที่ทำให้เหล่าทหารมีความกังวลใจ ท้อถอย และหมดพลังใจในการรบให้กับจอมทัพอ้วนเสี้ยวแล้ว
เรื่องเหล่านี้ มีหรือที่กระสา-อ้วนเสี้ยวจะไม่รับรู้ หากทิ้งเวลาเนิ่นนานต่อไป จะย่ิงทำให้กองทัพล่มสลายทางจิตใจ ไม่ทันได้ออกรบก็นับว่าพ่ายแพ้เสียแล้ว ดังนั้น กระสาจึงพลิกตำรารบ หวังอาศัยจังหวะสุดท้าย ใช้กำลังพลที่มีเหนือกว่าหลายเท่า บุกถล่มกองทัพสิบกว่าหมื่นของโจโฉได้แล้ว
ในยามค่ำคืนแล้ว กุนซือ กัวเต๋า ซินผี และขุนพลสิมโพย ล้วนเคยเป็นกลุ่มทำงานที่ปรึกษาด้วยกัน จึงแอบนัดหมายมาเจรจากันที่กระโจมทหารของสิมโพยที่กำกับทัพของอ้วนซงอยู่ด้านหลังทัพใหญ่ ตามประสาคนทำงานให้เจ้านายเดียวกัน
“นายท่านตอแย เกิดเรื่องกับพวกบัณฑิตเจี้ยนอาน ไม่ยอมอธิบายคดีความของตันหลิมให้ชัดเจน เลยทำให้เกิดกระแสต่อต้าน จนความนิยมถดถอยลงไปทั่วทั้งแผ่นดินแบบคาดไม่ถึง ตอนนี้ คงมีเพียงสองทางเลือกแล้ว คือ ล่าถอย หรือ รีบบุกโดยเร็ว” กัวเต๋าประเมินสถานการณ์โดยรวมให้ก่อน
“กองทัพเราประกอบด้วยทหารเมือง ทหารชนเผ่า และทหารเชลยศึก เปลือกนอกเหมือนมีจำนวนมากถึงร้อยหมื่นคน แต่ที่จริง อาจใช้ได้เทียบเท่าทหารชำนาญศึกแค่ยี่สิบสามสิบหมื่นเท่านั้นเอง แล้วยิ่งถ้าหมดกำลังใจต่อสู้ สร้างความสับสนปั่นป่วนกันเอง จะยิ่งลดถอยลงเหลือเพียงเทียบเท่าทหารแค่สักสิบกว่าหมื่นเอง นับว่า ไม่ได้เปรียบต่อฝ่ายโจโฉเลย” สิมโพยวิเคราะห์ในแง่มุมของคนคุมกองทัพ
ซินผี เป็นคนชนเผ่า พูดจาตรงไปตรงมา จึงชิงเผยความในใจ “ขุมกำลังกิจิ๋ว เปลือกนอกดูเข้มแข็ง แต่โครงสร้างหลักอ่อนแอ เพียงขึ้นอยู่กับตัวผู้นำคือนายท่านเป็นเสาหลักคนเดียว บรรดาคุณชายยังไม่พร้อมจะช่วยเหลือได้มากนัก หากแม้นฝั่งเราพ่ายแพ้ นายท่านตกตาย เห็นทีว่า ขุมกำลังกิจิ๋วจะล่มสลายโดยง่าย พอถึงเวลานั้น เราเองที่เป็นคนเผ่าเซียนเปย เห็นทีจะต้องชิงหนีกลับถิ่นเดิมไปก่อน รอคอยจังหวะค่อยศึกษาหาทางเข้าสู่วงการการเมือง แสวงหาเจ้านายใหม่ในภายหลัง”
สิมโพย กัวเต๋า ฟังจนใบหน้าเปลี่ยนสี เพราะคำพูดของซินผีแม้จะกล่าวไม่ผิด แต่ก็ไม่สมควรเอื้อนเอ่ยออกมา ราวกับสาปแช่งเจ้านายตัวเอง สิมโพยใจร้อนโผงผาง จึงกระชากดาบขึ้นพาดคอซินผี “บังอาจนัก อ้ายคนต่างถิ่น มึงมาอาศัยใบบุญนายท่านตั้งหลายปี แทนที่จะคิดอ่านช่วยเหลือ กลับคิดแต่จะเอาตัวรอด สมควรตายยิ่งนัก”
กัวเต๋าตกใจ รีบทักท้วง “ใจเย็นก่อนเถอะ สิมโพย ซินผีเป็นคนตรง จิตใจใสซื่อ มันเพียงเล่าสู่กันฟังในหมู่มิตรสหายกันเท่านั้น”
บรรยากาศตึงเครียดลง สิมโพยค่อยๆลดอาวุธ โบกมือให้คนทั้งสองออกไปจากกระโจมอย่างไม่พอใจ และทั้งหมดก็หลีกเลี่ยงการพบหน้ากันไปอีกนาน
หลังจากหลุดพ้นปากเหวมรณะมาได้ กัวเต๋าจึงกระซิบกระซาบกับซินผี “หากท่านคิดจะหลบหนีกลับเผ่าเซียนเปย มิสู้ สร้างผลงานยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉไปเลยเล่า”
ซินผีขมวดคิ้วเชิงไต่ถาม กัวเต๋าจึงกล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าฝั่งเราแพ้สงครามใหญ่ ขุมกำลังกิจิ๋วก็ยังสามารถอยู่รอดไปได้อีกระยะหนึ่ง เพียงแค่ลดทอนอิทธิพลลงไปมาก เราท่านต่างก็อยู่ในสังกัดคุณชายใหญ่ คุณชายรอง หากพวกเราแอบช่วยเหลือกัน ผลักดันตามจังหวะโอกาส ย่อมสามารถพลิกคว่ำเมืองกิจิ๋ว ส่งมอบต่อโจโฉได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่า ท่านจะกล้าลงมือหรือไม่เท่านั้น”
ซินผีตื่นตะลึงในถ้อยคำที่ได้ยินจากปากของกุนซือกัวเต๋า เมื่อครู่ ตัวเองยังคิดเพียงแค่เอาตัวรอด แต่สหายมันกลับคิดไปไกลถึงขั้นทรยศต่อเจ้านายเลยด้วยซ้ำ ความคิดคนเผ่าฮั่น ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
กุนซือซินผีแยกทางกันกับกัวเต๋า ต่างคนต่างเดินกลับสู่กระโจมที่พักในกองทัพซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายขวา ระหว่างทาง ซินผีจึงฉวยโอกาสแวะเยี่ยมเยียนหัวหน้าทัวปา ผู้นำกองทัพของเผ่าเซียนเปยที่ปะปนอยู่ในสังกัดของอ้วนฮีนั่นเอง
เสียงหัวร่อสดใสดังขึ้นจากป่าไม้ข้างทาง ซินผีรีบทรุดตัวลงกับพื้น พลิกตัวกลิ้งเข้าไปแอบซุ่มในกอหญ้าสูง เห็นสองหนุ่มสาวในชุดรัดกุมสะพายเกาทัณฑ์ล่าสัตว์เดินอุ้มกระต่ายออกมา เป็นคุณชายเจ้าสำราญ อ้วนฮี และภรรยาเชื้อสายเซียนเปยนามเอียนซี ด้วยความร่าเริงสดใส ไม่ต่างจากคู่รักจอมยุทธ์ทั่วไป
ได้ยินเสียงเอียนซีกล่าวหยอกล้อต่อสามี “พี่ท่าน กระต่ายน้อยมีท้องนูนคล้ายตั้งครรภ์อยู่ ดูช่างน่าสงสารนัก ท่านคิดจะจับมากินจริงๆหรือ”
อ้วนฮีหัวร่อพร้อมชูกระต่ายส่งให้ “กระต่ายนี้เรามอบให้เจ้าแล้ว หากคิดจะทำอย่างไรก็จงจัดการตามใจเจ้าเถิด”
เอียนซีส่งยิ้มหวานรับไว้ พร้อมทรุดตัวลงนั่งยองๆ พิจารณาบาดแผลที่น่องของสัตว์น้อย แล้วล้วงตัวยาออกมารักษาอย่างชำนาญ เพียงชั่วครู่ก็เสร็จสิ้นกระบวนการ เห็นนางลูบคลำกระต่ายน้อย พร้อมหลับตาอธิษฐานต่อดวงจันทร์ แล้วค่อยโยนกระต่ายไปทางพงหญ้าสูงข้างทาง “กลับบ้านไปคลอดลูกเถอะนะ ขอให้โชคดี”
เสียงโอดโอยดังขึ้นจากกอหญ้า เจ้ากระต่ายน้อยดันพุ่งชนใส่กระทันหัน จนกุนซือซินผีเผลอหลุดปากส่งเสียงร้องขึ้นมา อ้วนฮี เอียนซีรีบชักอาวุธสั้นขึ้นมาป้องกันตัว พอเห็นเป็นซินผี จึงค่อยคลายใจลง เอียนซีส่งเสียงทักด้วยความคุ้นเคย “ที่แท้เป็นท่านซินผีนี่เอง ทำเอาตกใจหมดเลย”
ซินผีสนิทสนมกับนางเอียนซีด้วยความเป็นเชื้อสายชนเผ่าเดียวกัน จึงแสร้งบ่นพึมพำ “ข้าเพียงจะไปเยี่ยมเยียนกินเหล้ากับสหายเก่าในกองทัพ เผอิญได้ยินคู่รักหวานชื่นออดอ้อนกันมาตามทาง เลยไม่อยากขัดคอทำลายบรรยากาศ อุตส่าห์ยอมหลบซ่อนอยู่ในพงหญ้าแท้ๆ เจ้ากลับส่งกระต่ายน้อยให้ลากตัวข้าออกมาเสียเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”
เอียนซี อย่างไรก็เป็นอิสตรี จึงเอียงอายเล็กน้อย อ้วนฮีห้าวหาญกว่า จึงประคองกอดภรรยา พร้อมโบกมือให้ซินผีก่อนทั้งคู่จะเดินหายไปตามเส้นทาง ซินผียืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทอดถอนหายใจ มองดูท้องฟ้าและดวงจันทร์ จนรู้สึกถึงแรงสัมผัสที่ปลายเท้า เห็นเป็นกระต่ายตัวนั้นที่ยังวนเวียนอยู่ในกอหญ้า จนใบหญ้าไหวสั่นกระทบถูกร่างกายของตนเอง “เจ้ากระต่ายน้อยเอย เจ้าโชคดีนักที่เจอกับนางเอียนซีในยามนี้ แต่นางน่ะสิ อีกหน่อยอาจจะไม่ได้โชคดีเช่นเดียวกันเจ้าแล้ว”
สองคนรักวัยหนุ่มสาวยังดูไม่ตระหนักถึงอนาคตที่ไม่แน่นอน ชีวิตที่เกิดมาอย่างสุขสบายมาโดยตลอด อาจกัดกร่อนทำร้ายผู้คนจนเกินไป
เงามืดเคลื่อนผ่านดวงจันทร์บนฟากฟ้าวูบหนึ่ง คล้ายปักษาราตรีบินผ่าน ส่วนกุนซือซินผีรู้สึกถึงแรงลมเย็นยะเยือกผ่านกายไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมองไม่เห็นผู้ใด หรือจะเป็นผีสางเทวดา มันจึงรีบมุ่งหน้าสู่กระโจมสหายร่วมชนเผ่าตามที่ตั้งใจเอาไว้ และลืมเลือนความผิดปกตินั้นไปโดยสิ้นเชิง
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา