9 มี.ค. 2021 เวลา 02:09 • นิยาย เรื่องสั้น
2.19. ชำแหละทัพร้อยหมื่น
ทัวปาลี่เวย ผู้นำเผ่าเซียนเปย - เอียนมี่ เจ้าหญิงการเมือง - บังเต๊กกง ประมุขหุบเขาละทิ้งอดีต
ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหลังจากเหตุการณ์ขบถพิทักษ์ฮั่น ในห้องลับแห่งหนึ่ง สุมาเต๊กโชกับกลุ่มทายาทมังกรทั้งห้ากำลังประชุมแบ่งงานเพื่อออกไปจัดการกับกองทัพอ้วนเสี้ยวแล้วเป็นการลับ
จากการประเมินสถานการณ์มหาสงครามกัวต๋อ หลังจากที่อ้วนเสี้ยวใช้กลวิธีแบ่งแยกช่วงชิงกระแสนิยม เพื่อช่วงชิงบุคลากรสำคัญ และลดทอนกำลังของฝ่ายศัตรูแล้วสักระยะหนึ่ง จนกระแสนิยมแผ่วลงและเริ่มตีกลับด้วยพลังกดดันจากคนสายวิชาการ สุดท้าย กองทัพร้อยหมื่นของอ้วนเสี้ยวย่อมต้องเผด็จศึกโดยส่งคนเข้าบดขยี้ทัพสิบหมื่นของโจโฉ ก่อนที่ความฮีกเหิมจะพลอยสิ้นสลาย
พวกมันจึงต้องรีบลงมือแล้ว เปลือกนอกดูเป็นการระดมสมองของพี่น้องร่วมสำนัก แต่ที่จริงคือการแข่งขันประชันความคิดให้เป็นที่ประจักษ์ต่ออาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไปสร้างชื่อให้กับตนเองอย่างจริงจัง
“กองทัพร้อยหมื่นของอ้วนเสี้ยว ดูเหมือนว่ามีจำนวนมากมายมหาศาล แต่ที่จริง เกิดจากการผสมผสานด้วยผู้คนจากหลากหลายที่มา ไม่่ว่าจะเป็นทหารหัวเมือง ทหารชนเผ่า ทหารรับจ้าง และทหารเชลย การฝึกฝนจึงยังไม่เข้มแข็งชำนาญการนัก
อีกทั้ง ยังขาดผู้นำทัพที่เข้มแข็งมากพอจะประสานงานให้เป็นกองกำลังใหญ่ เพราะมีเพียงอ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซง สามพี่น้องบุตรของอ้วนเสี้ยว กับขุนพลสิมโพย เตียวคับ ที่เป็นที่ยอมรับจริงจัง ส่วนขุนพลอื่นๆนั้นกลับไม่ค่อยมีบทบาทอันใดในการบัญชาการรบเท่าใดนัก” สุมาอี้กล่าวเปิดเรื่องก่อนในฐานะศิษย์พี่ใหญ่และผู้ฝึกสอนแทนอาจารย์มาโดยตลอด
“ข้าจะอาศัยตำแหน่งกุนซือ เสนอให้ที่ประชุมนายทหารของโจโฉใช้แผน “คบไกลตีใกล้” โดยจัดคนไปผูกสัมพันธไมตรีกับชนเผ่าโกกุเรียวนอกด่านที่กำลังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ยกทัพใหญ่มากดดันจากทางเหนือ เช่นนี้ เหล่าทหารชนเผ่า และทหารกิจิ๋ว ปักเป๋งเอง ย่อมต้องพะวักพะวงเป็นห่วงญาติมิตรทางเบื้องหลัง
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษากำลังขวัญของทหาร อ้วนเสี้ยวย่อมต้องแบ่งกองทัพกลับไปรักษาชายแดนเมืองกิจิ๋ว เป็นการลดทอนกำลังศัตรูไปส่วนหนึ่งก่อน และในระยะยาว เผ่าโกกุเรียวจะได้กลายเป็นพันธมิตรหลักในการกดดันพวกนักรบรับจ้างเผ่าซงหนูทั้งหลายให้ลดความเหิมเกริมลงกว่าแต่เดิมด้วย นับว่าเป็นพันธมิตรคุ้มกันดินแดนเหลียวตงอย่างยาวนานได้เลย”
เป็นสุมาอี้ เต่าสมถะ ใช้การทูตระดับชาติมากดดัน ไม่ทันทำศึกก็ลดกำลังทัพไปได้หลายหมื่นคน และวางรากฐานการป้องกันเขตชายแดนไปในคราวเดียวกันแล้ว
แต่เดิม สุมาเต๊กโชเคยอาศัยคราบนักปราชญ์พเนจรสายเต๋า ใช้เวลายาวนานหลายสิบปีสะสมชื่อเสียงไปตามภูมิภาค และดินแดนต่างๆ รวมทั้งอาณาจักรโกกุเรียวทางเหนือไกลโพ้น ปกติ ชนเผ่านอกด่านมักนิยมชื่นชอบความรู้ทางวิชาการของชนชาวฮั่นเป็นทุนเดิม จึงเปิดใจต้อนรับคนสายการศึกษาอย่างง่ายดาย และหากพึงพอใจ ก็มักจะยกตำแหน่งลอยๆเช่น ราชครู ให้เป็นการตอบแทน
ในอดีต อาณาจักรโชซอน เคยเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์ฮั่นในรัชสมัยกษัตริย์บู๊เต้ ทำให้อิทธิพลทางวัฒนธรรมแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนนี้อย่างมากมาย ต่อมา เมื่ออำนาจการปกครองของราชวงศ์ฮั่นเสื่อมโทรมลง ทำให้ชนเผ่าท้องถิ่นเริ่มแข็งเมือง ประกาศเอกราชขึ้นตามลำดับ สุดท้าย จึงเป็นเผ่าโกกุเรียวที่สามารถยึดครองพื้นที่ได้มากที่สุด และมีอาณาเขตกันชนติดกันกับเมืองจีน โดยมีเผ่าแพ็กเจ และ เผ่าซิลลา ที่รวมตัวกันเป็นศัตรูทางการเมืองขนาดเล็กอีกสองกลุ่ม อยู่ทางปลายแหลมชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนโบราณ
สุมาเต๊กโชมองเห็นว่า ชนเผ่าเร่ร่อนอย่างซงหนู เซียนเปย และอูหวนนั้น พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายกันดาร มีแต่ทุ่งหญ้าป่าเขา ผู้คนก็มีนิสัยชอบต่อสู้ ทำแต่สงครามฆ่าฟัน ยากจะพัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งถึงขีดสุด แตกต่างจากดินแดนโชซอนเดิม ซึ่งมีชัยภูมิดีกว่า และมีชายฝั่งติดทะเลกว้างใหญ่ อุปนิสัยผู้คนก็มีคล้ายคลึงกับชนชาติฮั่น ดังนั้น ขุมกำลังใดก็ตามที่ยึดครองพื้นที่เช่นนั้น น่าจะพัฒนาตนเองได้ดีกว่าในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเผ่าโกกุเรียวหรือเผ่าใดก็ตาม
ดังนั้น สุมาเต๊กโชจึงมองการณ์ไกล ทุ่มเทตนเอง สร้างรากฐานแถบชายแดนเหลียวตง และนำพาทายาทสกุลสุมา ให้รู้จักคุ้นเคยกับพวกโกกุเรียวยาวนาน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นระดับราชครูเช่นกัน การที่สุมาอี้นำไม้ตายนี้ขึ้นมาใช้งาน จึงนับว่าเป็นผลพวงต้นทุนความคิดของตระกูลสุมาโดยแท้
ตันฮกในฐานะศิษย์คนรอง เสนอบ้างว่า “ข้าจะลอบเข้าไปช่วยกุนซือเขาฮิวออกจากคุก แล้วแนะนำให้มันเปลี่ยนใจย้ายข้าง อาศัยฐานะเพื่อนเก่าวัยเยาว์ นำความลับที่ตั้งเสบียงแห่งใหม่ไปให้โจโฉ แค่นี้ โจโฉย่อมเชื่อถือโดยง่าย และเร่งส่งคนไปจัดการทำลายเสบียงของอ้วนเสี้ยวโดยเร็ว แล้วฝ่ายอ้วนเสี้ยวย่อมจะปั่นป่วนวุ่นวาย
หลังจากนั้น ข้าจะจัดฉากให้เตียวคับเกิดความคับแค้นใจจนต้องย้ายข้าง และก่อเหตุสร้างความบาดหมางใจระหว่างพี่น้องตระกูลอ้วน กองทัพที่ไร้หัวหน้าหรือมันสมองสั่งการ ย่อมไม่มีความหมายอันใด เป็นการลดทอนความฮึกเหิมของทหารอีกส่วนหนึ่ง”
เป็นตันฮก กิเลนพิสดาร โจมตีที่บุคคลสำคัญ ลงทุนน้อย แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แสดงออกถึงความลึกซึ้งทางความคิด
ตันฮกมองเห็นความแตกแยกภายในขุมกำลังฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นระดับทายาท กลุ่มที่ปรึกษา และกลุ่มขุนพล อีกทั้งเชื่อมโยงอุปนิสัยความคิดของผู้คน เพื่อหยิบฉวยมาสร้างโอกาสจัดแผนการ ถือเป็นการรบนอกรูปแบบจากการต่อสู้ทั่วไป
กุนซือเขาฮิวเป็นคนชอบพูดจาโอ้อวด ยกตนเองให้ดูสำคัญ แม้อยู่ในฝ่ายอ้วนเสี้ยว ยังอ้างว่า เป็นเพื่อนเก่าวัยเรียนกับโจโฉ จนนำพาให้เกิดเป็นมูลคดีไส้ศึก พาลให้ต้องติดคุก ดังนั้น การช่วยเหลือคนที่กำลังคับแค้นใจให้ส่งมอบความลับสำคัญต่อสหายเก่า จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ส่วนเตียวคับเป็นขุนพลหน้าใหม่ ยังไม่ทันคุ้นเคยกันมากนัก การกระตุ้นให้ผิดใจกันกับหัวหน้าก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
สุดท้าย ปัญหาของอ้วนเสี้ยวกับทายาทสามพี่น้องก็เป็นเรื่องสัพเพเหระที่พูดคุยรู้เห็นกันทั่วไปในตลาดร้านค้า เพราะอ้วนถำ อ้วนฮี ล้วนเป็นคนดังระดับสี่คุณชายเมืองหลวง แต่กลับตกอันดับ ไม่อาจทัดเทียมกับอ้วนซงลูกรักที่มีวัยแตกต่างกันมากนัก
ป้อเอี๋ยนที่เป็นศิษย์คนเล็กสุด ชิงกล่าวแทรกบ้าง "ข้าขอฝากแบบร่างอาวุธใหม่ที่ข้าพัฒนาขึ้นเองจากคำบอกเล่าของพ่อค้าเส้นทางทะเลทรายใหญ่ ผ่านท่านกุนซือสุมาอี้ นี่คือเครื่องยิงก้อนหินเคลื่อนที่ได้ สามารถใช้ดีดก้อนหินขนาดใหญ่ใส่ข้าศึกระยะไกล เพื่อให้กองทัพโจโฉมีอาวุธในการทำลายล้างเพิ่มขึ้น แม้ศัตรูซ่อนตัวในกำแพง หลุมบ่อ หรือ ค่ายคูใดๆ ก็ไม่อาจรอดพ้นได้ เช่นนี้ ถึงกองทัพมีจำนวนน้อยกว่า ก็ไม่อาจประมาทได้แล้ว"
เป็นป้อเอี๋ยน พยัคฆ์คะนอง เพิ่มอาวุธพิสดารให้โจโฉ สามารถสร้างกองทัพให้พิเศษ เหนือกว่าใครๆ
ป้อเอี๋ยนนับเป็นเด็กหนุ่มมากจินตนาการ คนอื่นมีสติปัญญาปราดเปรื่อง พอเรียนรู้เรื่องราวใดก็นำมาประยุกต์ใช้ตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ป้อเอี๋ยนจะคิดออกนอกกรอบ แยกซ้ายประกอบขวา โดยเฉพาะเรื่องกลไกงานประดิษฐ์งานช่างที่มักจะสร้างออกมาได้วิจิตรพิสดารเป็นพิเศษ
ดังเช่น ระเบิดควัน ก็เป็นการพัฒนามาจากก้อนน้ำแข็งที่เพิ่งจับตัวตกค้างบนชายขอบหลังคากระท่อมในฤดูหนาว พอร่วงหล่นลงมา พลันเกิดเป็นหยดน้ำฟุ้งกระจายเป็นสายรุ้งสวยงาม คนอื่นเห็นเป็นเรื่องปกติ หรือบทกวีโคลงกลอน แต่ป้อเอี๋ยนกลับนำเป็นแนวความคิดมาทดลองร่วมกับฝุ่นแป้งและโถกระเบื้องดินเผาปิดผนึก จนนำไปสู่ระเบิดหมอกควันที่ฟุ้งกระจายบดบังสายตาผู้คน
ส่วนเครื่องยิงก้อนหินเคลื่อนที่ได้นั้น เป็นตำนานเรื่องเล่าถึงอาวุธพิสดารของชนเผ่าหลัวหม่า (โรมัน) ใช้กลไกงานช่างดีดส่งก้อนหินน้ำหนักมากไปได้ไกลๆ เหมาะต่อการทำลายล้างแต่ยากจะควบคุมทิศทาง ป้อเอี๋ยนจึงสร้างกลไกเสริมเติมที่จุดส่ง เพื่อช่วยให้บังคับได้แม่นยำยิ่งขึ้น
เห็นตัวมันอายุน้อยกว่าศิษย์พี่คนอื่นๆ แต่กลับมีภาพวาดสิ่งประดิษฐ์พิสดารเก็บรวบรวมเอาไว้รอวันใช้งานอีกไม่น้อย ทั้งจินตนาการขึ้นเอง ทั้งรับฟังมาจากพ่อค้าวานิช ขนาดสุมาเต๊กโชมองเห็นสิ่งของเหล่านี้ ก็ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็รับรู้ได้ว่า ลูกศิษย์คนนี้เป็นอัจฉริยะสายนักประดิษฐ์โดยแท้ จึงตั้งสมญาตามความคึกคะนอง ชอบออกนอกลู่นอกทางให้
บังทองศิษย์คนที่สามซึ่งมีไม้ตายแอบแฝงอยู่จากการขโมยขวดตัวยาพิเศษของหมอฮัวโต๋มาจากกระท่อมรังนก ค่อยกล่าวสวมรอยบ้าง “ตัวข้าคิดค้นตัวยาร่ำไห้หดหู่ขึ้นมา เป็นยาพิษผสมอาหารน้ำดื่มที่เหมาะกับการใช้กับกองทหารจำนวนมาก เชื่อว่าอ้วนเสี้ยวจะเหลือเพียงกองทัพที่ไร้จิตวิญญาณแล้ว เป็นการลดทอนขวัญกำลังใจจนหมดสิ้นทั้งตัวทหารเอง และนายทัพทั้งหลาย”
เป็นบังทอง หงส์ผงาด แอบอ้างเอาตัวยาที่ได้มาจากกระท่อมของหมอฮัวโต๋ วางยาทำลายกองทัพอ้วนเสี้ยวทีเดียวนับเป็นหมื่นคน มีคนก็เหมือนไม่มีแล้ว
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งห้าคน ต้องนับว่า บังทองมีนิสัยจริงจังต่อชีวิต รู้สึกตนเองมีสติปัญญาด้อยกว่าคนรอบข้างอยู่ขั้นสองขั้น จึงยิ่งตั้งใจหนักหน่วง จนกลายเป็นคนแข็งกร้าว ดูคล้ายอำมหิตโหดเหี้ยม ใช้ความเร็ว ความขยัน ชดเชยความตีบตันทางปัญญา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ระดับสติปัญญาของมันก็สูงส่งเหนือกุนซือรุ่นใหญ่คนอื่นๆอีกหลายคนแล้ว เพียงแต่คนข้างกายมันคือ ระดับอัจฉริยะทายาทมังกร ซึ่งเป็นตัวเปรียบเทียบที่ยากเย็นจนเกินไป
เมื่อบังทองมีพื้นฐานนิสัยเช่นนี้ หล่อหลอมความคิดจิตใจมาแบบนี้ ยิ่งเติบโตจึงยิ่งโดดเดี่ยวออกจากกลุ่มเรื่อยๆ พอได้รับบาดเจ็บสาหัสในภารกิจครั้งแรก จนถึงขั้นเสียโฉมหน้าตาอัปลักษณ์ จึงยิ่งเป็นปมด้อยทางจิตใจ ไม่อาจสู้หน้าคนทั่วไปได้้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป
ปกติ ภาพลักษณ์ของบัณฑิตทรงความรู้ที่ก้าวขึ้นไปเป็นขุนนางกุนซือนั้น ควรจะดูสง่างามภูมิฐาน น่าเชื่อถือ แต่พอบังทองเลือกวิธีการใช้ผ้าคลุมหน้าปกปิดแผลเป็น คลับคล้ายกับคนในสายนักรบ จึงทำให้ตัวเองหมองหม่นลงยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นนักวิชาการสายมืดดำไปแล้ว
ทุกสายตาจ้องมองไปยังศิษย์ที่สี่ จูกัดเหลียงที่ยังคงสงบนิ่งอยู่ด้วยประกายใฝ่รู้ว่า ยังจะหลงเหลือไม้ตายใดออกมาเล่นกลอีก แล้วจูกัดเหลียงจึงเอ่ยปากว่า “ตัวโคน และตัวเบี้ยล้วนถูกริดรอนไปมากแล้ว หากแต่ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน ยังคงมีอยู่ ข้าจะลอบเปลี่ยนรหัสสัญญาณการสื่อสารภายในกองทัพให้เกิดความปั่นป่วนผิดพลาด จากกองทัพร้อยหมื่นก็จะสูญสิ้นเหลือเพียงอ้วนเสี้ยวที่สั่งการได้เพียงกองทหารข้างกายไม่กี่คน ตัวขุนที่ไร้โคนไร้เบี้ย ย่อมโดดเดี่ยว รอคอยความตายอยู่เท่านั้นเอง”
เป็นจูกัดเหลียง มังกรซ่อน พลิกแพลงนอกกระดาน ถึงกับตัดขาดระบบการสื่อสาร ยกแม่ทัพอ้วนเสี้ยวออกจากกองทัพไปเลย
รูปแบบการใช้สัญญาณสื่อสารในระดับกองทัพที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น มักจะนิยมใช้สัญญาณธงตีเป็นรหัสที่ตกลงกัน เพราะขนาดและสีสันชัดเจน มองเห็นได้แต่ไกลในเวลากลางวัน ซึ่งจะดีกว่าสัญญาณกลองรบ แสงไฟ หรือกลุ่มควัน ที่มีความคล้ายคลึงเกินไป หากนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง หรือมีการปรับเปลี่ยนแผนกระทันหัน มักจะควบคุมยาก หรือทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนไขว้เขวได้ง่าย
กองทัพที่เกรียงไกร มีประสิทธิภาพพร้อมรบ มักจะต้องให้ทหารใหม่ฝีกฝนเรื่องสัญญาณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธง กลองรบ แสงไฟ หรือ กลุ่มควัน เอาไว้เป็นพื้นฐาน การควบคุมกองทัพกำลังพลมหาศาลจึงจะสอดคล้องตรงกันมากกว่าการใช้เสียงตะโกนสั่งการจากหัวหน้าสายบังคับบัญชา กองทัพอ้วนเสี้ยวเป็นทัพผสมจำนวนร้อยหมื่น ย่อมต้องยึดถือหลักการวิธีคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ท่ามกลางประสิทธิภาพความแข็งแกร่งที่ถูกยกระดับสูงขึ้น หากมีการแทรกแซงทำลายที่จุดเปราะบางได้สำเร็จ นั่นกลับทำให้เกิดความล่มสลายเป็นทอดๆ กระทบเป็นวงกว้าง แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึง และมีหนทางในการจู่โจมด้วยวิธีการเช่นนี้
สุมาเต๊กโชพยักหน้าชื่นชมเหล่าทายาท และสั่งการให้แยกย้ายไปกระทำตามความคิดที่เสนอมาในทันที ปฏิบัติการร่วมกันของห้าทายาทมังกรครั้งแรก และครั้งเดียวในสงครามสามก๊ก จึงได้เริ่มต้นขึ้นต่อกองทัพอันเกรียงไกรของอ้วนเสี้ยวแล้ว
ปราชญ์เฒ่าโบกมืออำลาลูกศิษย์ทีละคน จนสุดท้ายเหลือเพียงสุมาอี้ที่เป็นทั้งศิษย์คนโตและลูกชาย จึงค่อยพูดสั่งความเบาๆ “การศึกสงครามครั้งนี้ จะเป็นการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของโจโฉ สถานะของมันที่เป็นมหาอุปราชและผู้สำเร็จราชการอยู่แล้ว จะโดดเด่นยิ่งขึ้นกว่ายุคสมัยของตั๋งโต๊ะ ดังนั้น หากคาดการณ์ไม่ผิด คนจิตใจห้าวหาญ ทะเยอทะยานอย่างมัน อาจจะหยิ่งทะนง จนก้าวขึ้นเทียบเทียมองค์จักรพรรดิ์ อุปนิสัยใจคอก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
หลังจากที่เจ้าเปิดเผยความสัมพันธ์กับเผ่าโกกุเรียว สถานะของเจ้าเองก็จะโดดเด่นขึ้นเช่นกัน คู่แข่งทางการเมืองในระดับกุนซือหลักตอนนี้ เหลือเพียง ซุนฮก ตันกุ๋น กาเซี่ยง ช่วงชิงกันอยู่ เรื่องนี้ เจ้ายังผ่อนปรนได้บ้าง สร้างสมชื่อเสียงไปพลาง เพราะตันกุ๋นก็ยังเป็นฝ่ายเรา ให้มันออกหน้าตบตีกับค้างคาว ปีศาจแทนเจ้าจะดีกว่า และคนเหล่านี้อาจจะเป็นเกราะกำบังกายให้กับเจ้าไปได้สักระยะหนึ่ง
คนมากระแวงอย่างโจโฉ สักวันหนึ่ง ย่อมจะหาทางขุดคุ้ยประวัติดั้งเดิมของเจ้ามาตรวจสอบ แต่หมากกลที่เราวางไว้ คงทำให้มันค้นหาพิรุธมิได้ แล้วความคลายใจจึงจะบังเกิดขึ้น ต่อเมื่อผู้นำสูงสุดเชื่อใจ และไว้วางใจเจ้าตามลำดับแล้วนั่นแหละ เจ้าจึงค่อยเปิดเผยตัวตน ลงมือเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง เตรียมกำลังพลให้พร้อมสรรพ กระทำการให้ฉับไว”
สุดท้าย สุมาเต๊กโชจึงยื่นม้วนตำราเก่าให้กับลูกรัก “ตำรากลยุทธ์ซุนจื้อเล่มนี้เป็นอาจารย์เรามอบให้ก่อนจาก ศิษย์คนโตเตียวก๊กได้ตำราเวทมนต์รักษาโรค ศิษย์คนรองตั๋งโต๊ะได้กระบี่ฟ้าสังหาร ตำรากลยุทธ์อาจจะดูไม่ทัดเทียมกับของวิเศษที่ผู้อื่นได้รับ แต่ก็ควรค่าต่อการศึกษาให้ลึกซึ้ง ที่จริง เราเคยถ่ายทอดเนื้อหาให้เจ้าจนหมดสิ้นแล้ว แต่ภายในตำรายังมีข้อความพิสดารที่ข้าอ่านไม่ออกบันทึกไว้ท้ายเล่มอยู่อีกจำนวนหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาอันใดที่ต้องรอให้เจ้าค้นคว้าดูแล้ว”

สุมาอี้รับตำรามาพลิกดูตำแหน่งที่กล่าวถึง เห็นเป็นรอยขีดเขียนยึกยือไปมา คล้ายดั่งลูกน้ำลูกปลาแหวกว่ายในคลื่นมหาสมุทร จึงส่ายหน้าจนปัญญา ได้แต่เก็บซุกในอกเสื้อ กล่าวอำลาบิดาตามธรรมเนียม
ท่ามกลางกระแสนิยมที่ถูกปลุกเร้าผันแปรด้วยพลังนักการเมืองสายวิชาการ ทำให้ทุกคนตระหนักแล้วว่า อ้วนเสี้ยวเลยผ่านจุดสูงสุดของความได้เปรียบมาแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอย ดังนั้น การนับถอยหลังเข้าสู่สงครามเดิมพันจึงถูกคาดเดาไว้เป็นลำดับต่อไป โจโฉก็อ่านรูปการณ์ออกว่า อ้วนเสี้ยวกำลังจะเคลื่อนทัพใหญ่เข้าโจมตีในไม่ช้านี้แล้ว จึงเรียกประชุมแผนการกับกลุ่มกุนซือหลักอย่างจริงจัง
โจโฉเริ่มเปิดเรื่องด้วยคำเสนอของกาเซี่ยงที่อยู่โยงเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในเมืองหลวง “กาเซี่ยงคิดอาศัยพระราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ประกาศอภัยโทษแก่เหล่าเจ้าเมืองพันธมิตรทั้งหลายที่ร่วมในศึกสามประสานครั้งนี้ เพื่อลดศัตรู และเพิ่มมิตรในคราวเดียวกัน” นับว่า กาเซี่ยงเสนอขึ้นด้วยความช่ำชองในเรื่องการเมือง ใช้ความได้เปรียบฝ่ายตน กดดันอ้วนเสี้ยวให้โดดเดี่ยวยิ่งขึ้น
“เช่นนั้นแล้ว ขอให้ท่านส่งสาส์นคำสั่งเพิ่มเติมไปให้เล่าปี่และม้าเฉียวที่เขตแดนติดกันกับอ้วนเสี้ยวให้เปลี่ยนใจเข้าร่วมบุกจู่โจมกองทัพอ้วนเสี้ยวพร้อมกันทุกด้านทันที เท่ากับเราเปลี่ยนศึกสามประสานย้อนกลับคืนสู่เจ้าของเดิมด้วยแล้ว” ซุนฮกซึ่งถูกโยกมาแนวหน้าเพื่อร่วมเผด็จศึก กลับส่งเสริมให้ม้าเฉียว พันธมิตรตระกูลซุนทางฝ่ายเหนือให้ได้ร่วมสร้างชื่อเสียงด้วยแล้ว และเปิดโอกาสแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไปพร้อมกัน
ตันกุ๋นจึงส่งเสียงขึ้นบ้าง “กองทัพเคลื่อนที่แบบระลอกคลื่นของเราให้แบ่งออกเป็นสามกองเล็ก หมุนวนเป็นกระบวนทัพใหม่ชื่อว่า เกลียวคลื่น ผลัดกันนำทางรุกคืบไปข้างหน้าให้สดชื่นเสริมอ่อนล้า เคลื่อนย้ายให้ว่องไว ยืดหยุ่น ทั้งรุกและรับ กลับอาศัยข้อได้เปรียบของกองทัพขนาดเล็กต่อสู้กับกองทัพขนาดใหญ่”
การเคลื่อนทัพเร็วแบบระลอกคลื่น ต้นแบบความคิดเดิมจากโจโฉ จึงถูกตันกุ๋นปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กลายเป็นรูปแบบเกลียวคลื่น ที่รวดเร็วทั้งรุกและรับ หากแม้นผิดพลาดอันใด กองทัพที่มันเข้าร่วมก็ยังล่าถอยได้โดยง่าย นับเป็นการเผื่อความผิดพลาดได้อย่างแยบยลนัก
สุมาอี้ กุนซือหน้าใหม่จึงใช้โอกาสนี้ เสนอแนะให้ใช้กลยุทธ์ “คบไกลตีใกล้” เพื่อลดทอนกำลังศัตรู และนำเสนอแบบร่างอาวุธพิสดาร "เครื่องยิงก้อนหินเคลื่อนที่" ซึ่งเป็นเครื่องมือทำลายล้างที่ทรงพลัง และสามารถสร้างขึ้นภายใต้เวลาอันจำกัด
โจโฉจึงต้องประเมินกุนซือคนนี้อีกครั้ง “กุนซือหนุ่มคนนี้มีความคิดไม่เลว เพียงคำพูดไม่กี่คำ และลงทุนทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย ถึงกับลดทอนกำลังทหารของศัตรูได้นับหมื่นๆคน ไม่เลวจริงๆ” โจโฉคิดอยู่ในใจ
กุนซือแต่ละคนต่างก็มีวาระซ่อนเร้น หากแต่นำเสนอเป็นประโยชน์ต่อส่วนกลาง โจโฉ ฟังคำปรึกษาทางการทหารด้วยความชื่นชม บัดนี้ มันเชื่อมั่นว่า มีกุนซือชั้นดีมากมาย ทดแทนกุยแกที่ลาจากไปได้แล้ว เพียงสิบวันข้างหน้า จะเป็นวันตัดสินชี้ชะตาของแผ่นดิน
โจโฉคิดต่อ หลังจากจบสิ้นสงครามกัวต๋อ ยังคงมีศึกต่อเนื่องเพื่อปราบปรามขุมกำลังกิจิ๋วให้ราบคาบ และถ้าเป็นไปได้ ฉวยจังหวะนี้บุกตะลุยขึ้นเหนือไปกำราบพวกชนเผ่านอกด่านสักคราก็ดี จะได้ไม่ต้องกังวลกับดินแดนภาคเหนืออีกนาน เหมือนเมื่อครั้งขุนพลม้าขาว กองซุนตู้ เคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ไว้ในคราก่อน
ศึกสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น คำสั่งของจอมทัพอ้วนเสี้ยวให้จัดส่งผู้หญิงและเด็กออกจากกองทัพ กลับสู่เมืองกิจิ๋วให้หมดสิ้น นางเอียนซีจึงเป็นคนหนึ่งที่ต้องเดินทางจากไป ท่ามกลางความอาลัยของสามีอ้วนฮี แต่ไม่อาจแสดงกิริยาเสียอาการให้ลูกน้องในกองทัพได้เห็น จึงได้แต่ส่งสายตาอาลัยรัก
มุมอับสายตาห่างไกล บุคคลลึกลับในชุดรัดกุมแอบจ้องมองหญิงสาวให้ถนัดตา กลับเป็นบังเต๊กกง ประมุขหุบเขาละทิ้งอดีต ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนี้
คืนวันก่อน มันที่วนเวียนอยู่ในค่ายทหาร พบเห็นสาวน้อยเอียนซีเดินผ่านไปพร้อมกับสามีคู่รัก พบเห็นใบหน้าคล้ายคลึงกับคนรักหญิงงามเมืองที่ตนเองเคยชอบพอในอดีต จึงลอบมาสังเกตดูอีกสักครา กลับเป็นราวกับฝาแฝดกันจริงๆ รูปร่างท่าทางยังเหมือนถอดแบบออกมาไม่ผิดเพี้ยน หรือว่า นางเสียวมี่จะกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว
บังเต๊กกงระลึกถึงเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อนที่มันรู้สึกกดดันจากการงาน ทำให้คลั่งไคล้สุรานารีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จนได้พบกับหญิงคณิกา “ขายเสียง ไม่ขายตัว” นามเสียวมี่ (ลึกลับน้อย) และได้ครองรักกันอยู่ในรูปแบบ “จอมยุทธ์กับหญิงงามเมือง” แวะเวียนไปมาหาสู่อยู่บ่อยครั้ง จนต้องแยกจากกันด้วยภารกิจแดนไกลราวปีเศษ พอกลับมาพบพานอีกครั้ง นางกลับบังเกิดพยานรักให้กับมันเป็นทารกเพศชาย
หน้าที่การงานของมันมิอาจให้กำเนิดบุตรหลานเป็นภาระ ทำให้มันสะบัดหน้าหลบหนีไปจากชีิวิตของนางคนรักในทันที หากแต่นางเสียวมี่กลับจิตใจเด็ดเดี่ยว ติดตามสืบเสาะมาจนได้พบหน้ากันอีกครั้ง เพื่อส่งมอบลูกชายให้เลี้ยงดู ก่อนที่จะเชือดคอตายอยู่ตรงหน้าประตู เพื่อประท้วงต่อความรักที่ไม่สมหวัง
มันมิคาดคิดว่า หญิงคนรักจะกระทำเช่นนี้ ย่อมสำนึกเสียใจไม่น้อย ยิ่งพอได้อ่านชื่อเรียกที่นางคนรักตั้งให้กับทารก กลับยิ่งแตกตื่นสะท้านใจ คิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองก่อให้เกิดขึ้น คล้ายดั่งบาปกรรมที่ติดตามตัวมาหลอกหลอน
นับแต่นั้น ชีวิตของมันก็พลันคล้ายล้มเหลวหลังจากฝากฝังเด็กน้อยให้แม่นมรับจ้างดูแลแล้ว มันยิ่งทำตัวสำมะเลเทเมา ก่อเหตุวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ก่อเกิดความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนมิอาจสู้หน้าผู้คนที่คุ้นเคยเนิ่นนานหลายปี
บัดนี้ เสียวมี่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง หรือว่า มันจะได้มีโอกาสแก้ตัวในพฤติกรรมที่เคยกระทำไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน เพียงหากยินยอมละทิ้งภารกิจที่อยู่ตรงหน้า
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา