12 มี.ค. 2021 เวลา 01:51 • นิยาย เรื่องสั้น
2.22. ทนรับความพ่ายแพ้
สามกุนซือเลือกข้าง เขาฮิว กัวเต๋า ซินผี
มหาสงครามกัวต๋อจบสิ้นลงแล้ว กองทัพร้อยหมื่นของอ้วนเสี้ยว บ้างแตกหนีกลับถิ่นฐาน บ้างบาดเจ็บถูกจับกุมเป็นเชลย และบ้างที่ทอดร่างเป็นซากศพพลีชีพ รอยแผลของความโหดร้ายของสงครามยังติดตรึงในใจไปอีกนาน
โจโฉไม่รีบร้อนเคลื่อนทัพ หวังให้ทหารได้ดื่มด่ำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ รับรู้ว่า กาเซี่ยงกำลังจะนำข่าวดีมาแจ้ง จึงสั่งการให้ปักหลักอยู่ฐานที่มั่นเดิม รอคอยการสืบค้นซากศพของอ้วนเสี้ยว ซึ่งพี่น้องแฮหัวยืนยันตรงกันว่า ถูกสังหารโดยนักรบปริศนา และร่วงหล่นลงสู่หุบเหวด้านล่าง
หลายวันต่อมา กองทหารของโจโฉ จึงพบซากร่างคนตายที่คาดว่าจะเป็นจอมทัพอ้วนเสี้ยวในสภาพที่ไม่สมบูรณ์อยู่เบื้องล่างหน้าผาแห่งนั้นเพียงร่างเดียว คงเป็นฝีมือของสัตว์ป่าที่ฉีกทึ้งซากศพไปเช่นนั้น แต่ผู้ใดคือคนฆ่า กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างชัดเจนแล้ว เพราะไม่อาจเห็นร่องรอยอาวุธใดๆในชิ้นส่วนของร่างกายที่หลงเหลือแล้ว
โจโฉจึงสั่งการให้ทหารจัดหลุมศพระดับเจ้านครให้กับอ้วนเสี้ยวบนเนินผารอยจารึกนั้นเอง เจ้าตัวเหม่อมองรอยจารึกของพระเจ้าฮั่นบู๊เต้ที่ยังคงเด่นสง่าบนเนินเขา รอบกายล้วนแต่เป็นกุนซือและขุนพลที่ห้าวหาญ ทำให้คิดถึงลูกสมุนคนอื่นๆที่ล้มตาย
ศึกกัวต๋อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต จบลงแล้วพร้อมกับชัยชนะของมัน ทำให้นึกย้อนถึงอดีตร่วมยี่สิบปีที่ผ่านมาทั้งทุกข์ทั้งสุข จนเกิดวันนี้ขึ้นได้ ซุนเกี๋ยน อ้วนเสี้ยว สหายสนิทล้วนลาลับไปหมดสิ้นแล้ว จากวันนี้ไป มันคือ ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างแท้จริง แต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เดียวดาย ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว ยิ่งแก่ชรา ยิ่งเงียบเหงา”
“แม่น้ำใหญ่ไหลรินสู่บูรพา คลื่นกวาดพาเหล่าผู้กล้าลาลับหาย ถูกหรือผิดชนะฤาพ่ายล้วนต้องตาย  สุรีย์ฉายขุนเขาอยู่ยั่งยืนนาน

เฒ่าหาปลาชราตัดฟืนมีดื่นดาษ รื่นรมย์สาร์ทเริงวสันต์รับขวัญหลาน ดื่มเหล้าอุ่นเกื้อหนุนกันทุกวันวาน ช่างเบิกบานสำราญใจได้พบพาน”
โจโฉเหม่อมองสายน้ำและแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับท้องฟ้า จนอารมณ์นักกวีเตลิดเปิดเปิงไปบ้าง พลางคิดอยู่ในใจ “ชีวิตผู้กล้าในวังวน มีแต่ไล่ล่ากันไปมา กลับเป็นชายแก่ชราที่มีอาชีพธรรมดาสามัญต่างหาก ที่ได้ใช้ชีวิตสุขสงบกับลูกหลาน หรือว่า ข้าคิดผิดในการเลือกเข้าวังวนการเมืองมาตั้งแต่แรกแล้ว หากแม้นยามเยาว์วัย ยืนกรานกับบิดา ขอเป็นเพียงนักกวี ป่านนี้ คงได้เข้าสู่สายวิชาการอย่างสบายใจ”
มันมองดูเรือโดยสารมากมายที่แล่นไปมา และจอดพักบนแม่น้ำฮวงโห โดยไม่ทันรู้ว่า หนึ่งในเรือเหล่านั้น มีเตียวล่อ ดาวปกครองแห่งพรรคฟ้าเหลือง ยังคงปะปนอยู่ด้วย
หลังจากสงครามแห่งกัวต๋อสงบลง และยืนยันการตายของอ้วนเสี้ยวได้แน่นอนแล้ว โจโฉจึงให้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างเอิกเกริก เพราะเกียรติภูมิครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ใครจะคาดคิดว่ากองทัพสิบหมี่นจะมีชัยต่อทัพร้อยหมื่นได้ในเวลาอันสั้น
แม้ว่าภายหลังมันจะได้ยินว่า ทหารเชลยศึกของอ้วนเสี้ยวร่วมสาม-สี่หมื่นคนนั้น มีบางส่วนยังเหมือนคนเสียสติ ดูเลื่อนลอย รู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง เป็นครั้งคราว จนไว้วางใจไม่ได้ แต่ก็ไม่มีพิษภัยเฉพาะหน้าแต่อย่างใด มันจึงสั่งให้รวมเข้ากับกองทัพของมันไว้ก่อน เพื่อสร้างกำลังพลให้มากมายยิ่งขึ้น อย่างน้อย ต่อไปก็ยังส่งไปเป็นกองหน้าให้ตายแทนกองทัพที่แท้จริงของมันได้
ขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ปรากฏขันทีนำพระราชโองการฮ่องเต้ มาประกาศแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เลื่อนชั้นให้ โจโฉ ขึ้นเป็น เจ้าพระยาปราบอุดร เทียบเท่าระดับกง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งเกียรติยศสูงสุดของคนชั้นสามัญชน นำความปลาบปลื้มมาให้โจโฉอย่างที่สุด เพราะแม้แต่โฮจิ๋น ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้น ก็ยังไม่เคยก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้เลยสักคนเดียว
เป็นกาเซี่ยงที่จัดการเรื่องพระราชโองการถึงเจ้านครต่างๆให้เปลี่ยนข้าง ตัดกำลังฝ่ายอ้วนเสี้ยวในคราก่อน ได้ถือโอกาสทูลขอให้ฮ่องเต้มอบตำแหน่งสูงสุดนี้แก่โจโฉ และรอคอยจังหวะหลังจบสิ้นการศึกสงคราม ค่อยส่งมอบตำแหน่งให้เป็นรางวัล
ตามหลักการทางการเมืองที่มันช่ำชอง ในเมื่อโจโฉเป็นคนรักยศรักเกียรติ มันก็พร้อมจะยกย่องเสียให้เต็มที่ไปเลย แม้ว่า ตนเองจะอยู่เสียห่างไกล ไม่ได้เสนอหน้าอยู่ด้านข้างก็ตาม การน้อมส่งตำแหน่งสูงส่งให้ ย่อมเป็นที่พึงพอใจของจอมทัพแน่นอน
ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด เห็นว่า สถานการณ์อำนวยให้แล้ว จึงนำเอากองหนังสือสวามิภักดิ์ที่ค้นได้จากกระโจมที่พักของอ้วนเสี้ยวเข้ามานำเสนอให้โจโฉด้วยความภาคภูมิใจ แต่กลับทำให้งานเลี้ยงเงียบงันลงทันที บรรยากาศรอบข้างเคร่งเครียดทันตา ด้วยผลงานนี้สำคัญยิ่งนักต่อความมั่นคงของแผ่นดินฮั่น
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขุมกำลังกิจิ๋วของอ้วนเสี้ยวเหนือกว่าฝ่ายรัฐบาลของโจโฉหลายเท่าตัว ขุนนางนายทหารมากมายย่อมเกรงกลัวตกขบวน แอบส่งหนังสือสวามิภักดิ์ให้ฝ่ายตรงข้ามไว้ล่วงหน้า เผื่อว่า กระแสการเมืองเปลี่ยนแปลง อ้วนเสี้ยวได้ชัย ตนเองก็จะได้ชื่อว่า มิได้ยินยอมต่อคนพ่ายแพ้ อย่างน้อย ก็รับโทษสถานเบา แต่ถ้าโชคดีถูกชะตา อ้วนเสี้ยวอาจหยิบยื่นตำแหน่งดีงามมาให้ในเร็ววัน
โจโฉเพียงมองคะเนด้วยสายตา น่าจะหลายร้อยฉบับที่เป็นนายทัพ กุนซือและขุนนางของฝ่ายมันที่แปรพักตร์ หากแม้นฆ่าฟันให้หมดสิ้น เกรงว่าขุนนางนายทหารในราชสำนักจะหดหายไปจนน่าวิตกแล้ว ชั่วขณะที่กำลังลังเล ยากจะตัดสินใจนั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านหลังอย่างเยือกเย็น
“เผาทำลายทิ้งเสียเถิด นายท่าน” โจโฉหันไปพบสุมาอี้ กุนซือน้องใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว “รับรู้ก็เป็นภาระให้หวาดระแวง เก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ ต้นตอสำคัญในการย้ายข้างนั้นตายไปแล้ว แต่หากทำลายเสียโดยไม่ได้รับรู้ พวกมันจะได้ตั้งใจช่วยเหลือท่านต่อไปอย่างสบายใจ ไม่จำเป็นต้องสืบสาวให้เสียน้ำใจกันดอก”
โจโฉมองหน้าสุมาอี้แน่วนิ่ง พลางเหลือบมองซุนฮกที่พยักหน้าเห็นชอบ จึงโบกมือสั่งความให้เผาทำลายหนังสือทั้งหลายทิ้งเสียในทันที ณ ตรงนั้น เพื่อไม่ให้มีข้อความแพร่งพรายไปได้อีก ขณะที่สายตายังจ้องมองที่เปลวเพลิง ภายในใจกลับนึกหวั่นเกรงความเฉียบคมในครั้งนี้ของสุมาอี้อยู่ไม่น้อย
“หนังสือเป็นของตาย ยังมีคนที่เป็นของเป็นอีกหนึ่งคน เขาฮิว คนช่างอวด” สุมาอี้แอบกระซิบเสนอต่อโจโฉอีกรอบหนึ่งก่อนอำลากลับที่นั่ง โจโฉรับฟัง แต่ยังนิ่งเฉยอยู่ เพราะไม่มีเหตุอันใดให้ลงมือจัดการกับกุนซือปากเปราะผู้เป็นสหายเก่าได้
และแล้ว งานเลี้ยงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนล้วนร่าเริงเบิกบานใจ เว้นแต่ตันก๋งที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เพราะอาจจะเดินหมากพลาดพลั้งไปเสียแล้ว ด้วยการขัดขวางของสุมาอี้ นายน้อยแห่งเครือข่ายสุมาด้วยกันเอง
เหล่ากุนซือที่ปรึกษามีความคิดเห็นขัดแย้งกันเป็นเรื่องปกติของวงการขุนนางนายทหาร แต่เผอิญทั้งสองมีความสัมพันธ์อื่นแฝงเร้นอยู่ด้วย ความขัดแย้งเลยเป็นปัญหากวนใจระหว่างกันไปได้
...
แน่นอน เขาฮิวเองย่อมล่วงรู้บางคนที่แปรพักตร์อยู่แก่ใจ อีกทั้งความชอบที่มันแจ้งเบาะแสเรื่องเสบียง จึงเริ่มวางมาดเบ่งไปมาในงานเลี้ยงเช่นกัน จนเป็นที่ขัดเคืองสายตาคนรอบข้างเป็นยิ่งนัก
ที่จริง มันยังมีไม้ตายซ่อนอยู่ รอคอยเพียงให้โจโฉเรียกตัวเข้าพบอย่างเป็นทางการ แล้วมันจะเปิดเผยเรื่องลับสะท้านฟ้าดิน น่าจะยอดเยี่ยมกว่ากองหนังสือเหล่านั้นด้วยซ้ำ มันลอบมองไปทางกลุ่มกุนซือคนสนิทอย่างมีเลศนัย เป้าหมายของมันคือ ทายาทของสุมาเต๊กโชผู้นั้น เป็นสุมาอี้ กุนซือใหม่ผู้งำประกาย
หากแต่กุนซือบางคนกลับหวาดระแวงเกินเหตุ มองว่าเวลาไม่รอท่า ซุนฮกชิงสั่งการแทนโจโฉ กระซิบให้องครักษ์เคาทูแกล้งเมาสุราอาละวาด แล้วพลาดพลั้งไปล่วงเกินเขาฮิว จนถึงกับต่อยตายคามือ เพื่อตัดเชื้อร้ายนี้ทิ้งไป เพราะไร้ประโยชน์ใดๆแล้ว เก็บเอาไว้ก็น่ารำคาญใจเปล่าๆ ซึ่งโจโฉก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด นอกจากลูบหนวดซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจ
แต่ที่จริงแล้ว ซุนฮกต้องการรีบกำจัดทิ้ง เพราะไม่แน่ใจว่าเขาฮิวได้ล่วงรู้ข่าวการเป็นสายลับสองหน้าของมันด้วยหรือไม่ สายตาเมื่อครู่ที่เขาฮิวมองมาทางพวกตน มีความประสงค์ร้ายแอบแฝง มันจึงมิอาจไม่ลงมือก่อน
การตีความของซุนฮกแม้ว่าจะผิดพลาด คาดเดาไม่ถูกต้อง แต่กลับเข้าทางตรงใจของโจโฉกับสุมาอี้ที่ได้ปรึกษากันไว้แล้วเพียงไม่นานก่อนหน้านั้น เขาฮิวตัวปัญหาไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ความลับจึงขาดหายไปพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่ตกตาย
ทางด้านอ้วนซง ทายาทคนเล็กกับ ซินผี กุนซือหลัก ที่หายสาบสูญจากค่ายใหญ่ฝ่ายอ้วนเสี้ยวนั้น ที่จริง ยังหลบหนีไม่พ้นจากพื้นที่สมรภูมิรบ จึงแสร้งปะปนเป็นทหารเลวเชลยศึก ปะปนเข้ามาอยู่ในกองทัพฝ่ายตรงข้าม รอคอยจังหวะให้กองทัพผ่อนคลาย เกิดงานเลื้ยงวุ่นวายขึ้นก่อน หวังให้เวรยามประจำการณ์ไม่เข้มงวดนัก จะได้ออกเดินทางในยามราตรี
แม้ว่าด่านแรกจะหลุดรอดมาได้ตามคาดหมาย แต่แล้ว ช่างโชคร้ายนัก เชลยศึกหนีทัพทั้งสองกลับพบพานขบวนเสริมของโจผี บุตรชายโจโฉ ที่เดินทางตามมาสมทบทีหลัง พร้อมกับกาเซี่ยง เพื่อร่วมแสดงความยินดีต่อชัยชนะของบิดาโดยบังเอิญ และถูกจับตัวกลับมาอีกครั้ง
เรื่องจุกจิกเล็กน้อยเช่นนี้ ย่อมเกิดขึ้นทุกวันคืน ทหารเลวหนีทัพในคืนนั้นมีหลายสิบราย หากแต่โจผีเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งเรียนรู้ระบบระเบียบกองทัพ และต้องการให้บิดาชื่นชมในผลงาน จึงค่อนข้างรัดกุมเข้มงวด ไม่ว่าเรื่องราวใดก็ต้องการให้ผ่านตาตนเองเสียก่อน
บทเรียนของการหนีทัพของคนทั้งหลาย รวมทั้งสองนายบ่าว จึงเป็นการโบยตี และจับแขวนประจานอยู่ที่หน้าค่ายตลอดทั้งคืน อ้วนซง ซินผีได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บแค้น อดทนรับโทษทัณฑ์จนอ่อนล้าโรยแรง บังเอิญ นายทหารเชลยศึกที่ยังจงรักภักดีต่อนายเก่า พบเห็น จึงช่วยกันแก้ไขให้หลบหนีไปได้พร้อมกันสามคน
แต่โจผีกลับไม่ลดละเรื่องสัพเพเหระดังกล่าว พอทราบข่าว ยังอุตส่าห์ทิ้งงานเลี้ยงออกมาไล่ล่าด้วยตนเอง พร้อมกองทัพองครักษ์อีกร้อยกว่าคน จนทันกันพอเห็นหลังอยู่ไกลๆตรงริมสะพานข้ามแม่น้ำฮวงโห คุณชายใหญ่จึงทดลองฝีมือใช้เกาทัณฑ์ยิงใส่ปักเข้าที่กลางหลังทหารเลวคนที่รูปร่างสูงใหญ่เต็มแรง
ซินผีเห็นว่า ไม่มีทางหลบหนีแน่นอนแล้ว จึงได้แต่ยอมเสี่ยงกระแทกร่างคุณชายเล็กให้ตกแม่น้ำใหญ่ไปก่อน และฉวยจังหวะสังหารนายทหารที่เพิ่งช่วยเหลือตัวเองเมื่อครู่ เพื่อไม่ให้ร่องรอยของนายน้อยเป็นที่เปิดเผย ส่วนตนเองแสร้งถ่วงเวลาไปอีกสักพัก จึงยอมเปิดเผยตัวตน อย่างน้อย ฐานะกุนซือยังอาจจะพอช่วยให้อยู่รอดได้บ้าง
โจผีจึงนำตัวซินผี กุนซือหลักของอ้วนเสี้ยว กลับมาให้กับโจโฉเป็นผลงานใหญ่ชิ้นแรกในชีวิตการศึก แต่โจโฉมีกุนซือมากฝีมืออยู่แล้ว จึงมิได้ให้น้ำหนักมากนัก ซุนฮกจึงเสนอให้ส่งตัวไปดูแลงานสายพิธีการที่ไม่ใคร่มีบทบาทอันใดทางการเมืองนัก
ซินผีเข้าใจถึงจังหวะชีวิตที่ถูกลดค่าความสำคัญ ประเมินว่า สมควรถนอมตัวรักษาชีวิตไว้ก่อน หลังจากจัดการวิวาห์ลูกสาวเหียนเอ๋งให้กับคุณชายใหญ่สกุลเอียวที่เคยหมั้นหมายมาแต่วัยเด็กแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อแซ่ และหายหน้าจากวงการการเมืองไป
ที่จริงแล้ว โจโฉมีความสนใจต่อกุนซือหลักคนหนึ่งในฝ่ายอ้วนเสี้ยว นั่นคือ ตันหลิม กุนซือนักสร้างภาพที่ทำให้เขากลายเป็นทรราชย์ในชั่วข้ามคืน แม้จะมีข่าวคราวว่าถูกสังหารตายแล้วตั้งแต่ต้นศึกกัวต๋ออย่างมีเงื่อนงำ แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ ยังคงฝากให้กาเซี่ยงช่วยรับเรื่องไปสืบเสาะข้อมูลกลับมาเป็นการลับ
นั่นกลับทำให้กาเซี่ยงได้รับฟังเรื่องราวว่า ตันหลิมพลาดพลั้งถูกสังหารตายไปในงานเลี้ยงรับรองกลุ่มสุมาเต๊กโชทั้งสาม จึงกลับมารายงานผลเป็นการลับ ทำให้โจโฉทั้งเสียดายฝีมือของตันหลิม และทั้งยินดีที่รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสุมาอี้ไปด้วยในคราวเดียวกัน อย่างน้อยก็จะได้ระมัดระวังตัวได้ง่ายขึ้น
“สุมาอี้ บังทอง เป็นศิษย์ของสุมาเต๊กโช ปราชญ์อาวุโส เรื่องนี้เรากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนพวกพ้องมันยังมีมากน้อยเพียงไร น่าสงสัยยิ่งนัก และที่สำคัญ คือ พวกมันล้วนมีวิทยายุทธ์ ไม่ใช่บัณฑิตอ่อนแรงอย่างที่รับรู้กันเสียด้วย”
แน่นอน กาเซี่ยง นกกระตั้ว ก็ไม่ละเลยที่จะส่งข่าวสำคัญนี้ไปให้กับพี่น้องคนอื่นให้ ระมัดระวังขุมกำลังนี้ด้วย สุมาเต๊กโช สุมาอี้ และบังทอง ล้วนแต่ตัวละครสำคัญทั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นพวกจอมยุทธ์มีฝีมือไปได้
ห่างไกลออกไป คนเล่นพิณกับคนสนิททั้งสองกำลังพูดคุยอยู่กับซุนแจ้ง ผู้นำแห่งตระกูลซุน “บังเต๊กกง มันหายหัวไปที่ใดกันแน่ เราสั่งให้มันคอยประกบอ้วนเสี้ยว หวังช่วยเหลือให้มันรอดชีวิตกลับสู่เมืองกิจิ๋ว การศึกภาคเหนือระหว่างสกุลอ้วนกับสกุลโจจะได้ยืดเยื้อต่อไปสักพัก"
ซุนแจ้งก็จนปัญญา มิทราบข่าวคราวเช่นกัน ซินแสนักทำนายจึงได้โอกาสแสดงฝีมืออีกครั้งหนึ่ง เห็นร่างมันกระตุกวูบ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า นัยน์ตาขาวโพลน คล้ายถูกวิญญาณปีศาจเข้าสิงสู่ พลางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “มันเดินทางขึ้นเหนือ สะกดรอยตามหญิงสาวไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว”
พวกคนเล่นพิณตกตะลึง นึกไม่ถึงว่า บังเต๊กกงจะเหลวไหลถึงปานนี้ อายุสังขารก็สูงวัยแล้ว ยังจะทิ้งงานใหญ่ไปติดตามหญิงสาวอีกหรือ
“มันเป็นบาปรักแต่ชาติปางก่อน มิอาจไม่ชดใช้สะสาง” เป็นคำพูดทิ้งท้าย ก่อนวิญญาณจะจากไป ซินแสทิ้งร่างลงอย่างเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่คนเล่นพิณรีบสั่งการกับซุนแจ้ง “ต่อไป เราคงมิอาจวางใจต่อพฤติกรรมผิดเพี้ยนของมันได้อีก เจ้าควรจัดหามือรองไว้คอยดูแลหุบเขาฐานทัพของเราอีกสักคน อย่าลืมว่า มันเป็นเพียงเป้าล่อ มิอาจพึ่งพาได้จริงจังในเรื่องราวที่สำคัญ”
ซุนแจ้งพยักหน้ารับคำ กลับเชื่อฟังยอมรับคำสั่งของคนเล่นพิณถึงปานนี้ แสดงถึงฐานะอันสูงส่งที่มีต่อสำนักหุบเขาปีศาจแล้ว และไม่รู้ว่าทิศทางของขุมกำลังลับนี้ เป็นผู้ใดขับเคลื่อนกันแน่ ระหว่าง ซุนกวน ผู้นำหนุ่ม หรือ คนเล่นพิณอันลึกลับ
ณ กระท่อมรังนก นางแอ่นพักฟื้นอยู่หลายวัน จนบาดแผลการผ่าคลอดกลับเป็นปกติดีแล้ว จึงค่อยอำลานกฮูก เจ้าของที่พักพิง และเหยี่ยวดำที่ยังคงต้องรักษาตัวฟื้นฟูพลังยุทธ์ต่อไปในที่นั้น รวมทั้งตัดใจจากลาลูกน้อยเตียวเปา
พอดี อินทรีพี่ใหญ่ แวะมาเยี่ยมเยียนอาการของสมาชิกรุ่นน้อง จึงมีโอกาสกำชับความ “น้องเก้าจงวางใจเถิด เรื่องราวของผู้คนในยุคสมัยผิดเพี้ยนไปมากมาย การเชื่อมโยงอย่างลึกลับซับซ้อนก่อกวนให้เกิดเหตุนัยยะสำคัญ แม้แต่การตายของอิเกียด หมอเกียดเป๋ง และการคงอยู่ของกระท่อมรังนก ที่จริงก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
ดังนั้น ถึงแม้ว่าภารกิจของพวกเราสมควรต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เพียงแต่ยังต้องฉุดรั้งให้ไม่เกินเลย อย่างเช่น กรณีของเจ้านั้น ให้นกฮูก คอยดูแลทารกเตียวเปาไปก่อน จนเติบใหญ่มีจังหวะแล้ว ค่อยผลักดันให้มันกลับไปอยู่ข้างกายเจ้าในฐานะบุตรบุญธรรมก็ได้ แต่สำหรับกระท่อมรังนกแห่งนี้ สมควรยกเลิกไปเสีย”
กระท่อมรังนกถูกพัฒนากลายเป็นโรงเรียนการแพทย์แห่งแผ่นดิน ถ่ายทอดความรู้พื้นฐานให้กับผู้คนจำนวนมากมาย บรรดาหมอลูกศิษย์เริ่มมีผลงานช่วยเหลือรักษาทหารและราษฎรในยามสงครามเป็นที่ปรากฏ ส่วนตัวกระท่อมเองก็มีการต่อเติมเพิ่มพื้นที่ทำสวนสมุนไพร ใช้ค้นคว้าตัวยาเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก นับว่า ปณิธานของหมอเทพยดาเตียวตงจิงได้ถูกจัดทำสำเร็จ จนเกินความคาดหมายยิ่งนัก
หมอเทพฮัวโต๋ย่อมมีความผูกพันต่อสถาบันแพทย์ที่ตัวเองก่อตั้ง ขยับตัวคล้ายจะคัดค้านพี่ใหญ่ แต่แล้ว เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากภายนอก พวกอินทรีไม่สะดวกพบหน้าผู้คน จึงขยับหลบไปด้านใน ปล่อยให้นกฮูกรับหน้าอาคันตุกะผู้มาเยือน
เป็นหนึ่งในคนป่วยรอรับการรักษา นกฮูกจดจำได้ว่า ชายสูงวัยผู้นี้ที่เคยออกหน้าช่วยเหลือสู้รบกับกลุ่มนักฆ่าของอ้วนเสี้ยว เคียงคู่กันกับโจหยินเป็นแกนหลักสำคัญในคราวก่อน สมควรเป็นคนมีฝีมือแฝงเร้นชื่อเสียงผู้หนึ่ง
ฮ่วมอา ศิษย์คนที่สาม รับมือไม่ไหว ได้แต่กล่าวรายงาน “ท่านตงหยวน อดทนรอคอยไม่ไหว อ้างว่า รับรู้ข่าวการทดลองถ่ายเลือดฟื้นพลังได้ผลสำเร็จด้วยดีจากคนรับใช้ จึงต้องการได้รับการรักษาเช่นนั้นบ้างขอรับ”
“ท่านตงหยวน หรือว่า...” นกฮูกทวนชื่อ ในขณะที่ชายสูงวัยโบกมือส่ายหน้า “เอาล่ะ ข้ายอมบอกความจริงก็ได้ ข้าคือ ฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ที่เคยเป็นขุนพลในสังกัดของเล่าเจี้ยงแห่งเสฉวน อ้อนวอนท่านหมอ ช่วยข้าฟื้นฟูพลังด้วยเถิด”
ฮองตง ทนทุกข์ทรมานจากไข้ป่าเรื้อรัง บั่นทอนวรยุทธ์ไปหลายส่วนมานานหลายปี และไม่นานมานี้ เพิ่งถูกพิษร้ายทำลายซ้ำ ทำให้พลังฝึกปรือแทบสิ้นสูญ ยามนั้น รู้สึกร้อนใจ ไม่รู้แบกหน้าไปที่ใด จึงย้อนกลับมาที่กระท่อมรังนก หวังพบหมอเทพยดา ฮัวโต๋ แต่ก็ไม่อาจเข้าถึงหมอใหญ่สักครา
“ที่แท้ก็เป็นท่านฮองตงเอง ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือ น่าเลื่อมใส หากบอกความจริงตั้งแต่แรก เราคงให้ท่านเข้าพบนานแล้ว” หมอฮัวโต๋รีบกล่าวกลบเกลื่อน “รอให้ข้าเตรียมความพร้อมก่อน ค่อยตามท่านมารับการถ่ายเลือดฟื้นฟูพลังยุทธ์กัน”
ฮองตงกลับออกไปด้วยความยินดี ในขณะที่สี่ปักษาออกมาพูดคุยกันอีกครั้ง อินทรีสรุป “กำลังพูดถึงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ฮองตงเป็นเช่นนี้ จึงหายหน้าไปจากวงการ ดีที่กระท่อมรังนกของเจ้ากลับกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดตัวมันให้กลับมาได้เอง ช่างโชคดีนัก สถานการณ์สับสนยิ่งนัก อาจบางที ข้าอาจจะด่วนสรุปเกินไป”
ดังนั้น กระท่อมรังนกจึงมิได้ปิดตัวลง ทั้งๆที่อยู่นอกเหนือจากภารกิจดั้งเดิม อินทรี ผู้นำหน่วย ยอมรับโดยดีว่า เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ และพวกมันจำเป็นต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า
อ้วนซงรู้สึกตัวขึ้นบนพื้นกระดานในเรือโดยสารลำหนึ่ง เจ้าของเรือเป็นหนุ่มใหญ่ในชุดพ่อค้าเร่ร่อน ยืนอยู่พร้อมกับองครักษ์หนุ่มข้างกาย เห็นข้าวของติดตัวของตนถูกนำออกมาสำรวจอยู่เกลื่อนกลาดพื้นเรือก่อนแล้ว พร้อมทั้งป้ายประจำตัวสกุลอ้วนที่อยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม หนุ่มใหญ่ไต่ถาม “เจ้าคืออ้วนซงแห่งกิจิ๋วหรือ”
อ้วนซงหมดอาลัยต่อชีวิตแล้ว จึงยอมพยักหน้ารับคำ มิคาด หนุ่มใหญ่กลับสั่งการต่อคนเรือ “หันหัวเรือกลับ มุ่งหน้าออกทะเล อ้อมไปสู่เมืองกิจิ๋วแทน”
พ่อค้าลึกลับซึ่งอ้างตนว่า เป็นสหายรุ่นน้องของบิดา จึงดูแลรักษาอ้วนซงเป็นอย่างดี รวมทั้ง ยังถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์พิสดารอยู่ร่วมเดือน โดยเฉพาะเรื่องราวของดินแดนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออ้วนซงอย่างมากในอนาคต
ก่อนจากกัน พ่อค้าแซ่เตียวยังส่งมอบภาพวาดรูปทรงประหลาดหลายแผ่น และตำราเล่มบางให้เป็นของขวัญ อ้วนซงพลิกสำรวจ ถึงกับเป็นคัมภีร์เวทย์โอสถ ของวิเศษประจำพรรคฟ้าเหลืองที่ร่ำลือกันว่า หายสาบสูญไปพร้อมกับความล่มสลายของพรรค แต่พบเห็นบางหน้ากลับเว้าแหว่งคล้ายถูกฉีกทำลาย ถ้อยคำขาดหายไปแล้ว
พ่อค้าแซ่เตียวอ่านสีหน้าผิดหวังออก จึงอธิบายเพิ่มเติมให้ว่า “ที่จริง เวทย์โอสถมิใช่ตำราเวทย์มนต์ให้ท่องสวด หากแต่เวชโอสถที่เป็นการจัดทำแผ่นยาวิเศษเป็นรูปเล่มพกพาสะดวก ยามใช้งาน เพียงแค่ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆนำไปเผาไฟละลายน้ำ ก็ก่อเกิดเป็นตัวยารักษาโรคได้แล้ว ช่วงที่ผ่านมา จึงถูกผู้นำเตียวก๊กนำไปใช้แล้วบางส่วน”
ความลับของคัมภีร์เวทย์โอสถแห่งพรรคฟ้าเหลืองจึงเป็นต้นกำเนิดของพิธีกรรมการเผายันต์ทำน้ำมนต์ที่พวกนักพรตลัทธิเต๋านำไปเผยแพร่กันอย่างแพร่หลาย และที่จริง ก็คือผลผลิตสำคัญของหน่วยปักษาสวรรค์ที่กระเรียนส่งมอบให้กับเตียวก๊กนั่นเอง
อ้วนซงมองดูเรือโดยสารของพ่อค้าแซ่เตียวที่่แล่นจากไป แอบนึกในใจ “หรือว่า พ่อค้าแซ่เตียวก็คือคนของพรรคฟ้าเหลืองเช่นกัน”
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา