Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
15 มี.ค. 2021 เวลา 01:06 • นิยาย เรื่องสั้น
2.24. สงบศึกดินแดนเหนือ
สามนักรบต่างเผ่า เตาจี๋(อูหวน) - เทียนอู (เซียนเปย) - อุยเอี๋ยน (ฮั่น)
อีกสาเหตุหนึ่งที่โจโฉเลือกให้กองซุนอวดแห่งสกุลกองซุน น้องชายกองซุนจ้าน กลับขึ้นมามีอำนาจสร้างอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะเหนือมณฑลกิจิ๋ว ก็คือเขตมณฑลอิวจิ๋ว ดินแดนเก่าของกองซุนจ้านแห่งปักเป๋ง หรืออีกในหนึ่งคือ ดินแดนเหลียวตงที่กองซุนตู้บุกเบิกเริ่มต้นเอาไว้ในสมัยประสานชนเผ่าสยบโกกุเรียว
พอเกิดข่าวคราวยกย่องสกุลกองซุน กวาดล้างสกุลอ้วน จึงทำให้เมืองน้อยใหญ่ภายใต้อิทธิพลเดิมของกองซุนจ้านนึกย้อนถึงอดีต ยอมจำนนต่อฝ่ายโจโฉผ่านมาทางเส้นสายของสกุลกองซุนโดยแทบไม่ต้องเสียเรี่ยวแรงเลย
กองกำลังรัฐบาลภายใต้การนำของขุนพลห้าพยัคฆ์ จึงเพียงแยกย้ายกันออกไปจัดการเก็บกวาดตามมณฑลกิจิ๋ว เปงจิ๋ว และอิวจิ๋ว เพียงไม่กี่หัวเมือง ขุมกำลังดั้งเดิมของอ้วนเสี้ยว-กองซุนจ้านก็ล้วนทะยอยกันตบเท้าเข้าสู่การปกครองของฝ่ายรัฐบาลแทบหมดสิ้นแล้ว
อาณาจักรฮั่นจึงขยายเขตแดนครอบคลุมไปจนถึงแนวกำแพงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับชื่อเสียงของกองทัพโจโฉที่ถูกเรียกขานเป็นกองทัพพยัคฆ์เสือดาวไปอีกนามหนึ่ง บดบังความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของกองทัพมีชื่อในอดีต เช่น กองทัพพยัคฆราช กองทัพหมีทมิฬ หรือกองทัพม้าขาว ไปหมดสิ้น
หากแต่เชื้อไฟสงครามยังไม่หมดสิ้น อ้วนฮี อ้วนซง ตัวการสำคัญยังคงไม่รู้ว่ากบดานอยู่แห่งใด หากแต่ดินแดนนอกด่านเต็มไปด้วยชนเผ่าเร่ร่อนหลากหลายกลุ่ม การตามล่าคนร้ายเพียงสองคน อาจจะยากลำบากเสียแล้ว
…
ณ ดินแดนทะเลทรายและทุ่งหญ้ากว้างไกลนั้น ยามนี้ มีชนเผ่ายิ่งใหญ่แข็งแกร่งอยู่อีกสามแห่ง หากไม่นับรวมกลุ่มกองทัพภูตมรณะที่มีความสัมพันธ์อันดีกับกองซุนอวด นั่นคือ เผ่าซงหนู เผ่าเซียนเปย และเผ่าอูหวน
ตามประวัติศาสตร์แล้ว เผ่าซงหนู หรือนามเดิม ฮวานหนูนั้น มีพื้นฐานการรบบนหลังม้าที่แข็งแกร่ง กองกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยเลียดก๊ก จนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชนชาวฮั่นมานาน บางครั้ง ยังแสดงอำนาจกดดันจนฝ่ายฮั่นต้องยอมสยบเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุให้กษัตริย์จิ๋นซีต้องก่อสร้างแนวกำแพงใหญ่กั้นขวางชายแดน แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยเหลืออะไรได้มากนัก การกระทบกระทั่งยังคงเกิดขึ้นเนืองๆ
สถานการณ์การศึกระหว่างชนชาติฮั่นกับเผ่าซงหนู ยังคงยืดเยื้อไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเมื่อครั้งกษัตริย์ฮั่นบู๊เต้ประกาศศักดา สามารถถล่มเผ่าซงหนูอย่างย่อยยับที่ตำบลกัวต๋อ ริมแม่น้ำฮวงโห ซงหนูก็เสื่อมอิทธิพลลง บางส่วนแยกย้ายไปรุกรานผู้คนดินแดนไกลโพ้นทางทิศอื่นๆ และไม่ย้อนคืนกลับมาอีกเลย บางส่วนปักหลักถิ่นที่เดิม แต่ยินยอมลดบทบาทลง ทำให้ราชวงศ์ฮั่นรู้สึกยินดีในชัยชนะ สร้างรอยจารึกเฉลิมพระเกียรติไว้ที่เนินผาเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่
อิทธิพลของกองกำลังกลางทะเลทรายและทุ่งหญ้าจึงเปลี่ยนแปลงไป เผ่าเซียนเปยเติบโตกลายเป็นเผ่าอันดับสองที่แข็งแรงขึ้นมา และพึ่งพาการทูต แอบอิงอำนาจชาวฮั่น โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลขุนนางเก่า เช่น สกุลอ้วน สกุลกองซุน ทำให้ทะยานขึ้นทัดเทียมเผ่าซงหนูได้บ้าง โดยเฉพาะในยุคที่อ้วนเสี้ยวกำลังรุ่งเรือง และทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปย ได้อ้วนฮีเป็นลูกเขย วิวาห์กับนางเอียนซีผู้งดงาม
ในขณะที่เผ่าซงหนูของสองเฒ่าทะเลทราย อันได้แก่ หินผา เนินทราย เน้นการใช้กำลังฝีมือเข้าช่วงชิงและตัดสินปัญหา เผ่าเซียนเปยภายใต้การนำของสกุลทัวปากลับยืดหยุ่นในการรบมากกว่า ยอมพูดคุยเจรจามากกว่า ทำให้เผ่าเซียนเปยได้รับการยอมรับจากชนชาวฮั่นและชนเผ่าอื่นๆ ทะยานขึ้นมาย่ิงใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ก็ทำให้ขุนพลสกุลม่อหยงไม่ใคร่ชอบใจนักในวิธีการเชิงทูต จนถึงขั้นแยกทาง ตั้งตนเป็นอิสระ ไม่ยอมรับคำสั่งต่อกันมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว
ยังคงมีเผ่าอูหวน อันดับสามที่เป็นชนเผ่ารักความสันโดษ พัฒนาตัวเองขึ้นมาท่ามกลางการสู้รบดุเดือดในทะเลทราย บางกระแสกล่าวว่า เผ่านี้โดดเด่นขึ้นมาเป็นเพราะพวกสกุลกองซุนหนุนส่งผู้นำเป๊กตุนอย่างลับๆ เพื่อใช้ถ่วงดุลย์อำนาจกับเผ่าซงหนู เซียนเปย ซึ่งสนิทสนมกับพวกสกุลอ้วนจนออกนอกหน้าเกินเลยไป แต่หากนับกำลังพลแล้ว ยังห่างไกลกว่าสองชนเผ่าแรกมากนัก เพราะเพิ่งรวบรวมผู้คนขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อนได้ไม่นาน และไม่มุ่งเน้นการต่อสู้ปล้นชิงมากนัก หากมีทางเลือกอื่น
เมื่อทำความเข้าใจอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว โจโฉ และสองกุนซือหลัก กาเซี่ยง สุมาอี้ จึงเห็นพ้องต้องกัน ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู โดยเริ่มต้นจากการส่งเตียวเลี้ยว ซิหลง เตียวคับ สามขุนพลพยัคฆ์ ให้นำกองทัพพยัคฆ์เสือดาว บุกจู่โจมเผ่าอูหวน เผ่าใหญ่อันดับสามอย่างกระทันหัน แม้แต่ขุนนางนายทหารท้องถิ่นก็ไม่ทันล่วงรู้
…
เส้นทางการเข้าสู่เผ่าอูหวนนั้น ปกติเป็นแนวปราการธรรมชาติ มีทั้งโขดหินทะเลทราย และบ่อทรายดูด ขวางกั้นกระจายตัวโดยรอบ อีกทั้ง ยังมีช่วงเวลาเกิดพายุหมุนทะเลทรายพัดผ่าน หากมิใช่คนท้องถิ่นคุ้นเคยกับความเปลี่ยนแปลงละแวกนี้ ยากที่จะนำพากองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้าถึงได้ง่าย
แต่พอฝั่งรัฐบาลควานหาได้ตัวคนพื้นเมืองอย่างเตาจี๋ เทียนอูมาช่วยร่างแผนที่นำทาง จึงทำให้ผ่านอุปสรรคขวากหนามเหล่านี้ได้โดยง่าย เมื่อผนวกกับความโดดเด่นของกองทัพเกลียวคลื่นที่เป็นทหารเดินเท้ามีความคล่องตัวสูง จึงทำให้พวกเตียวเลี้ยวทั้งสามรุกจู่โจมได้รวดเร็วเกินความคาดหมายของผู้คนนอกด่าน
อันที่จริง เตาจี๋ไม่เพียงแต่เป็นคนเผ่าอูหวน แต่ยังเป็นทายาทของขุนพลในสังกัดอดีตผู้นำตงหวง ซึ่งถูกเป๊กตุนสังหารไปเมื่อตอนที่เกิดเหตุช่วงชิงอำนาจภายในเผ่า ทำให้เตาจี๋มีความแค้นต่อเป๊กตุนอยู่เป็นทุนเดิม และนี่อาจจะเป็นชะตากรรมที่ทำให้มันมีโอกาสล้างแค้นแทนบุพการีแล้ว
ศึกใหญ่ที่เนินเขาหมาป่าขาว ใจกลางของเผ่าอูหวน เกิดขึ้นอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม ฝ่ายฮั่นฆ่าฟันทุกคนที่ขวางหน้า ไม่ละเว้นแม้แต่คนชราหรือเด็กน้อย เป๊กตุน หัวหน้าเผ่าอูหวนประมาทเกินไป ไว้วางใจเส้นสายสัมพันธ์ที่มีอยู่เกินไป จึงไม่ทันตระเตรียมป้องกันกองทัพเช่นนี้ ได้แต่ชักนำผู้คนออกมาขัดขวางสู้รบเต็มกำลัง แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้เลย เตียวคับใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็ตัดหัวผู้นำสูงวัยได้แล้ว
สงครามการกวาดล้างเผ่าอูหวนจนแทบหมดสิ้นเผ่าพันธุ์ในเวลาอันสั้น เสมือนเป็นการแสดงแสนยานุภาพข่มขวัญชนเผ่านอกด่านทั้งหลาย ทั้งๆที่แต่ก่อน เผ่านี้ไม่ได้เคยยุ่งเกี่ยวกับการสงครามในแผ่นดินฮั่นมากนัก เมื่อเทียบกับเผ่าซงหนูเซียนเปย แต่โจโฉอ้างเหตุว่า เผ่าอูหวนให้ที่หลบซ่อนแก่อ้วนซง ขบถแผ่นดินที่ยังหลบหนีอยู่ จึงมีความผิดอย่างใหญ่หลวงไปด้วย
เตาจี๋ เทียนอู นายทหารชนเผ่าที่แปรพักตร์ช่วยคนฮั่น ย่อมรู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก โดยเฉพาะเตาจี๋ที่เป็นคนนำพาเหล่าทหารปีศาจมารุกรานเผ่าอูหวนของตนเองโดยตรง หนี้แค้นต่อเป๊กตุนจบสิ้น หากแต่ตัวเองกลับก่อให้เกิดบาปกรรมต่อตนเองมากมายหลายเท่านัก ที่จริง ถึงกับลงมือขัดขวางในสนามรบ แต่ถูกเทียนอูเพื่อนรักทำให้สลบไสล เพื่อให้พ้นจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญตรงหน้า
…
แรงกระเพื่อมของสมดุลย์ทางอำนาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในแถบชายแดนนอกด่าน แน่นอนว่า การกระทำเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อกองซุนอวด และสกุลกองซุนที่เคยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่เมื่อต้องเลือกข้างชั่งน้ำหนักแล้ว กองซุนอวดสูญเสียพันธมิตรไปหนึ่งกลุ่ม แต่ก็ได้ขึ้นปกครองมณฑลกิจิ๋วแทน จึงมิได้ว่ากล่าวกระไร
ที่จริงแล้ว กองทัพภูตมรณะที่ตนเองเป็นผู้นำทัพมานั้น เป็นขุมกำลังลับของเตียวเอี๋ยน อดีตโจรพรรคฟ้าเหลือง หากจะเรียกหาให้ถูกต้อง สมควรเรียกเป็นชุมโจรที่พวกนักสู้พเนจร นักรบไร้้สังกัดมารวมตัวกันเพื่อรับจ้างสู้รบ หรือรับงานนักฆ่าเป็นอาชีพ ความแข็งแกร่งในฝีมือจึงสูงส่ง หากแต่จำนวนคนอาจจะจำกัดเพียงไม่กี่พันคน เพื่อคงความคล่องตัวในการหลบซ่อนอำพรางกายในพื้นที่ทะเลทราย
คราก่อน กองซุนจ้านพ่ายแพ้ต่ออ้วนเสี้ยวจนตัวตาย กองซุนอวดพอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพนักฆ่ารับจ้าง จึงต่อรองขอนำคนสกุลกองซุนที่เหลือรอด ลักลอบเข้าสังกัดกับชุมโจรดังกล่าว
เตียวเอี๋ยนซึ่งติดพันอยู่กับบทบาทเจ้าเมืองเปงจิ๋วเหนือ ไม่สะดวกในการติดต่อกับชนเผ่านอกด่านบ่อยครั้งเกินไป จึงพาลยกตำแหน่งผู้นำกองกำลังให้กองซุนอวดดูแลจัดการได้อย่างเต็มที่ ทำให้กองทัพภูตมรณะเหมือนเสือติดปีก อาศัยรากฐานอิทธิพลของสกุลกองซุนที่ยังหลงเหลืออยู่ พัฒนากำลังพลจนน่าเกรงขามยิ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ชื่อเสียงยิ่งระบือไกลกว่าช่วงที่เตียวเอี๋ยนเคยดูแลมาก่อน
ความสัมพันธ์ลับระหว่างกองซุนอวดแห่งกิจิ๋ว เตียวเอี๋ยนแห่งเปงจิ๋ว เผ่าอูหวน และฐานที่มั่นของกองทัพภูตมรณะที่ กองซุนของ ลูกพี่ลูกน้อง เพิ่งรับหน้าที่สืบต่อ ยังไม่มีการเปิดเผยแพร่งพรายออกไป แต่สิ่งที่กองซุนอวดกำลังคิดต่อเติมอยู่ในใจ คือ การผนวกสามมณฑลทางเหนือ อาศัยกองกำลังทั้งแจ้งทั้งลับเหล่านี้ สร้างอิทธิพลทดแทนขุมกำลังอ้วนเสี้ยวเดิมก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวกันในภายหลัง
กองซุนอวดหวนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆภายใต้การนำของกองซุนจ้านพี่ชายที่เมืองปักเป๋ง ในยามนี้ เพียงขาดขุนพลคนสำคัญไปหนึ่งคน เป็นจูล่ง ขุนพลม้าขาวคนถัดมา ที่ตกไปอยู่ในสังกัดเล่าปี่แห่งชีจิ๋วอย่างน่าเสียดาย หากมีโอกาสเหมาะสม มันหวังใจจะส่งเทียบเชิญให้สมุนเก่ากลับคืนสู่ถิ่นเดิมให้จงได้
…
สถานการณ์สงครามชายแดนระหว่างชนชาวฮั่นกับชนเผ่าทะเลทรายยังไม่ทันจะจบสิ้นจางหาย ข่าวการเคลื่อนทัพเข้ามาของชนเผ่าโกกุเรียวกลับมาถึงก่อน ปกติ เส้นทางดังกล่าวจะมีเผ่าอูหวนขวางกั้น ป้องกันพื้นที่ แต่เมื่อเผ่าอูหวนสูญสิ้นอิทธิพลแล้ว จึงกลายเป็นทางโล่งจากดินแดนโกกุเรียวมุ่งสู่ชายแดนฮั่นโดยตรง
กองทัพหลายหมื่นของชนเผ่าโกกุเรียวเคยยกมาตั้งกดดันอยู่นอกด่านตามหนังสือเชื้อเชิญของสุมาอี้ สร้างความหวั่นไหวต่อกองทัพร้อยหมื่นของอ้วนเสี้ยวเมื่อการศึกคราก่อน กลับไม่เคยได้รับการตอบรับตอบแทนจากชาวฮั่นเลย ทั้งๆที่สถานการณ์เมืองกิจิ๋วก็เปลี่ยนมือไปแล้วหลายปี คงสร้างความไม่พอใจต่อท่านอ๋องหนุ่มซันซัง
การเคลื่อนทัพมาประชิดชายแดนรอบใหม่นี้ จึงเป็นการสงบนิ่งที่สร้างความกังวลใจต่อแผ่นดินราชวงศ์ฮั่น โจโฉรีบปรึกษาท่าทีเช่นนี้ต่อกุนซือทั้งหลาย หวังหาทางประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้ต้องเกิดศึกลุกลามไปถึงดินแดนคาบสมุทร กลายเป็นมหาสงครามระหว่างชาติพันธุ์ไปอีก
สุมาอี้ที่เป็นผู้เสนอความคิดนี้เป็นคนแรก จึงขันอาสาเป็นทูตไปเจรจาความให้ แต่แท้ที่จริงแล้ว สุมาอี้ก็อาศัยโอกาสนี้ในการกระชับความสัมพันธ์กับท่านอ๋องหัวหน้าเผ่าเอาไว้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย พยายามหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย เผื่อว่าจะได้เป็นพันธมิตรระยะยาวให้กับเครือข่ายสุมาได้ในอนาคต
...
ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือไกลออกไปจากดินแดนทะเลทราย และทุ่งหญ้านั้น แต่เดิมชื่อ อาณาจักรโชซอน เคยตกอยู่ในการปกครองของราชวงศ์ฮั่น สมัยพระเจ้าฮั่นบู๊เต้อันรุ่งเรือง หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป ราชวงศ์ฮั่นเกิดปัญหาภายในอย่างต่อเนื่อง ไม่เข้มแข็งเหมือนในอดีต
ชนเผ่าท้องถิ่นจึงเริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ ก่อตั้งเป็นอาณาจักรย่อยๆสามแห่ง คือ โกกุเรียว แพ็กเจ และซิลลา กลายเป็นสามก๊กแดนเหนือ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองมานานเป็นร้อยสองร้อยปีแล้ว โดยมีโกกุเรียวยึดครองดินแดนผืนใหญ่ที่สุด และตั้งขวางเป็นแนวยาวอยู่ระหว่างชายแดนจีนกับอาณาจักรทั้งสอง
ปกติ ชนเผ่าโกกุเรียวไม่เคยมาวุ่นวายแถวหน้าด่าน ทางหนึ่ง เพราะปัญหาการเมืองภายในสามอาณาจักรเอง และอีกทางหนึ่งคือกริ่งเกรงต่อกลุ่มนักรบชนเผ่าเร่ร่อน และขุนพลตระกูลอ้วนกับตระกูลกองซุน ที่ปักหลักป้องกันด่านทางเหนือเคียงคู่กันมาโดยตลอด หากแต่เวลาที่เนิ่นนาน ความคิดเดิมจึงเริ่มลืมเลือน เพราะตระกูลขุนนางนักรบกลับขัดแย้งชิงดีชิงเด่นกันเอง จนลดทอนความเข้มแข็งลงไป
จนถึงคราวที่อ้วนเสี้ยวกำจัดกองซุนจ้านไปครั้งนั้น กลับกลายเป็นการทำลายแรงต้านทานของสมรภูมิฟากนี้ ทำให้โกกุเรียวต้องการความชัดเจนในด้านการทูต เมื่อสุมาอี้ข้ามแดนมาขอเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลฮั่นกับโกกุเรียว จึงกลายเป็นการสร้างเชื่อมั่นให้กับชนเผ่านอกด่านมากยิ่งขึ้น
การเป็นสหายกับอาณาจักรที่พยายามรวบรวมดินแดนเก่ากลับคืน น่าจะดีกว่า การสมคบกันกับนครเกิดใหม่ที่กำลังกระหายสงคราม และอาจจะต้องการเพิ่มดินแดนออกไป นี่คือแนวคิดที่ราชครูแซ่สุมาให้ไว้
เนื่องจากดินแดนคาบสมุทรทั้งสามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนมานาน ขนบธรรมเนียม ศิลปะ ภาษา และรูปแบบการปกครองของดินแดนแถบนี้ จึงเป็นการถอดแบบดัดแปลงมาจาก แผ่นดินจีน โดยมีกษัตริย์เป็นประมุขเช่นเดียวกัน หากแต่ชาวจีนมักจะไม่ยอมรับ และลดชั้นประมุขให้เป็นเพียงท่านอ๋องให้ต่ำชั้นกว่าฮ่องเต้ของพวกตน หนึ่งขั้นเสมอมา แต่ครั้งนี้ ท่านอ๋องจะได้เป็นสหายกับคนที่มีอำนาจเทียบเท่ากับฮ่องเต้แล้ว
...
สุมาอี้ออกเดินทางไปพบกับท่านอ๋องโกกุเรียวนาม ซันซัง เพียงลำพัง เน้นย้ำให้เห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกันในการเป็นพันธมิตรกับแผ่นดินฮั่น ซึ่งจะทำให้โกกุเรียวไม่ต้องกังวลชายแดนฝั่งนี้ และสามารถทุ่มเทการศึกกับสองก๊กที่เหลือได้อย่างเต็มที่ ทำให้การเจรจาประสพความสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ท่านอ๋องเห็นด้วยที่จะสงบศึก ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรที่ดีกับราชวงศ์ฮั่น ที่มีเจ้าพระยาปราบอุดรโจโฉเป็นผู้บริหารแผ่นดิน และได้ขอเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับกองทัพทั้งสองฝ่าย ได้สังสรรค์กันที่ทุ่งหญ้าหน้าด่านนั้นเองตามธรรมเนียมของชนเผ่านอกด่านที่ชื่นชมธรรมชาติ และเสียงเพลงเป็นที่สุด เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจต่อกัน
ภาพของกองทัพขนาดใหญ่ตั้งประจันหน้ากัน แสดงให้เห็นแสนยานุภาพของทั้งสองฝ่าย กองทหารที่ห้าวหาญ ขุนพลที่เข้มแข็ง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่นำมาอวด ตัดกับสีสันของทุ่งหญ้าเขียวขจีและท้องฟ้าสวยงามของชายแดนด้านเหนือ
ด้านหน้ากระโจมแม่ทัพใหญ่ จัดวางอาหาร และ สุรามากมาย ขุนพลกุนซือของแต่ละฝ่าย นั่งประกบกันเป็นคู่ๆ โดยมี โจโฉ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฮั่น และท่านอ๋องซันซังแห่งโกกุเรียว นั่งเป็นประธานร่วมกัน นานมากแล้วที่ชนชั้นผู้นำของทั้งสองดินแดนไม่ได้มานั่งดื่มกินในบรรยากาศฉันท์มิตรเช่นนี้
...
ระหว่างงานเลี้ยงอันสนุกสนาน ทุกคนล้วนตั้งตารอคอยชมการแสดงวัฒนธรรมประจำเผ่าของดินแดนคาบสมุทรโกกุเรียว ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาถึงความสวยงาม พร้อมเพรียง และท่วงท่าแฝงความพิสดารน่าพิศวง แตกต่างออกไปจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชาวฮั่น เป็นการแสดงระบำกลองท้องถิ่นตามแบบฉบับของอาณาจักรโชซอนโบราณ
นางรำฝ่ายหญิงใส่ชุดสีสดใส ร่ายรำระบำกลองสะพายขนาดเล็ก ดูงดงาม อ่อนช้อย นักเต้นฝ่ายชายใส่ชุดนักรบรัดกุม ถือกลองสะพายขนาดใหญ่กว่า แต่เป็นหมวกที่มีพู่ยาวสะดุดตา เพียงหมุนคอเล็กน้อยก็กวาดพู่ยาวเป็นวงกว้าง ทั้งแข็งแรง ทั้งคึกคัก สร้างบรรยากาศงานเลี้ยงให้ครึกครื้นสนุกสนานยิ่งนัก
และแล้ว หนึ่งในนักแสดงชายกลับสะบัดมีดบินออกจากพู่หมวก พุ่งเป้าตรงไปยังโจโฉ ที่กำลังพูดคุยเพลิดเพลินอยู่กับท่านอ๋อง ไม่ทันได้ระวังตัว และสุดวิสัยที่ใครจะมาช่วยป้องกันไว้ได้ทัน เพราะพวกนักรบถูกจัดโต๊ะห่างออกไป ใกล้เคียงล้วนเป็นกุนซือไร้ฝีมือต่อสู้ ได้แต่เบิกตา ตื่นตระหนก
หากแต่เป็นนางรำคนหนึ่งในกลุ่ม เบี่ยงกายใช้ตัวออกขวางรับมีดบินไว้ จนล้มลงจมกองเลือดแทน องครักษ์เคาทูและขุนพลเตียวเลี้ยว รีบพุ่งเข้าจับกุมมือสังหารไว้
โจผี ที่นั่งอยู่ใกล้ๆบิดา โกรธจัด ชักกระบี่หมายสังหารในกระบวนท่าเดียว แต่ถูกโจโฉห้ามไว้ พอสังเกตชัดเจน ถึงกับเป็นคุณชายเมืองหลวง อ้วนฮีที่กำลังหลบหนีโทษขบถอยู่นั่นเอง
…
ย้อนกลับไป อ้วนฮี อ้วนซง หลบหนีออกจากเมืองกิจิ๋วอย่างฉุกละหุก ตอนแรก ตั้งใจจะซุ่มซ่อนตั้งหลักที่แคว้นอิวจิ๋ว รวบรวมกำลังพลต่อสู้อีกสักครั้ง แต่พอเกิดข่าวการกลับมาของคนสกุลกองซุน จนเป็นกระแสคืนถิ่นให้นายเก่าสกุลกองซุน ยากที่จะหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป
อ้วนฮี อ้วนซงจึงแยกย้ายกันหลบหนีอีกรอบตามความคิดเห็นส่วนตัว หวังรวบรวมพลกลับมาแก้ตัวกันใหม่ ตัวมันไปเกลี้ยกล่อมเผ่าเซียนเปย น้องชายไปชักชวนเผ่าอูหวน
อ้วนฮี อดีตคุณชายเมืองหลวง ใช้สิทธิความเป็นลูกเขยของหัวหน้าเผ่าเซียนเปย จึงเดินทางไปพักอาศัยกับภรรยา เจรจาความเมืองกับพ่อตาจนนัดแนะกันเป็นอย่างดี เพียงรอคอยให้ทูตไปเจรจากับพวกซงหนู หวังรวบรวมชนเผ่าเร่ร่อนนอกด่าน บุกชิงเมืองคืนกลับมาอีกครั้ง
แต่พอเกิดข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อูหวนอย่างเหี้ยมโหดขึ้น อ้วนฮีกลับรับรู้ถึงกระแสการเมืองที่พลิกผัน กองทัพรัฐบาลฮั่นลงมืออำมหิตเกินต้านทาน ชนเผ่าทุ่งหญ้าคงมิอาจช่วยเหลือตนเองได้อีก แม้แต่เผ่าเซียนเปยก็อยู่ต่อไม่ได้เสียแล้ว
มันเองไม่ยินยอมถูกจับตัวส่งคืนง่ายๆ จึงอาศัยความมืดหลบหนีจากที่พัก และสุดท้าย ยังมีข่าวลือเรื่องอ้วนซงถูกฆ่าตายในสงครามล้างเผ่าพันธุ์อูหวนแล้วด้วย จึงตัดสินใจ ลอบปะปนเข้ามากับกองทัพโกกุเรียว หวังแก้แค้นให้บิดาและครอบครัว แม้ว่าจะไม่รอดชีวิตหลังการลอบสังหารศัตรู ก็ยังพึงพอใจแล้ว
…
"เจ้าเคยเป็นดั่งพี่น้องกับพ่อข้าตั้งเนิ่นนาน แต่กลับฆ่าล้างตระกูลพวกเรา จิตใจเจ้า ทำด้วยอะไรกัน" อ้วนฮีโตพอจะรู้ความเคลื่อนไหวในครั้งเก่าก่อน แต่กลับไม่อาจเข้าถึงวิถีการเมือง เช่นเดียวกันกับอ้วนถำแล้ว นับว่า สองยอดคุณชายจากตระกูลอ้วน ใช้การไม่ได้จริงๆ
"จงรู้ไว้เถิดว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร ครั้งนี้ เส้นทางของตัวข้ากับพ่อเจ้ามาตัดกันเอง จึงเกิดเหตุลงเอยแบบนี้”
โจโฉจึงสั่งการให้โจผีเป็นผู้ดำเนินการนำอ้วนฮีไปประหารชีวิต และตรงเข้าไปดูอาการของนางรำที่ช่วยชีวิตตนไว้ กลับพบเห็นใบหน้าหญิงสาวที่คุ้นตา "ซัวบุ้นกี" คนที่ตนเองเคยตามหามาตลอดทั้งชีวิต กลับหนีภัยการเมืองมาตกระกำลำบากเป็นนางรำอยู่ถึงดินแดนโกกุเรียวนี่เอง จึงรีบสั่งการให้นำตัวไปรักษาบาดแผลทันที และกล่าวขอตัวหญิงผู้ช่วยชีวิตตนไว้จากท่านอ๋อง
สำหรับท่านอ๋องซันซังแล้ว ซัวบุ้นกีเป็นเพียงเชลยศึกพิเศษที่เพิ่งได้ตัวมาจากเผ่าซงหนูอีกทอดหนึ่ง มีความเป็นนักปราชญ์สายฮั่นที่มันชื่นชอบหลงใหลเท่านั้นเอง จึงถูกจัดให้มาอยู่ในกลุ่มนักแสดงเพื่อสร้างความรื่นรมย์บันเทิง ไม่ได้นับว่ามีความสำคัญกระไรต่อตนเองมากนัก นอกจากเป็นแค่ครูผู้ฝึกสอนศิลปวัฒนธรรมคนหนึ่ง
ในเมื่อมีคนร้ายลักลอบเข้ามาในงานเลี้ยงที่ตนจัดขึ้น ท่านอ๋องย่อมไม่อาจปฏิเสธ ความรับผิดชอบไปได้ จึงยอมยกนางรำให้ตามคำขอ อีกทั้งกล่าวคำขออภัย และรีบจบพิธีการงานเลี้ยงด้วยการทำพิธีหักเกาทัณฑ์ เป็นการตั้งสัตย์ปฏิญาณกับฟ้าดินว่า จะเป็นพันธมิตรต่อราชวงศ์ฮั่นตลอดไปชั่วลูกหลาน ซึ่งเป็นคำสาบานที่รุนแรง และแสดงให้เห็นความจริงใจต่อกันอย่างชัดเจน สร้างความพอใจให้กับโจโฉยิ่งนัก และหักเกาทัณฑ์ กล่าวสัตย์ปฏิญาณตอบเฉกเช่นกัน
ในทางกลับกัน ท่านอ๋องเองก็คลายความกังวลจากชายแดนด้านนี้เช่นกัน ย่อมมีเวลาไปจัดการกับแพ็กแจ ซิลลา หรือกลุ่มนักรบอย่างพวกซงหนู เซียนเปย ได้สบายใจมากขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างพอใจในเขตแดนของตน จึงเท่ากับได้ประโยชน์กลับไปทั้งคู่
แน่นอนที่ท่านอ๋องจะไม่ลืมไมตรีที่ได้รับในครั้งนี้ เป็นฝีมือสร้างสรรค์ของสุมาอี้ กุนซือผู้เปรื่องปราดของโจโฉโดยแท้ แปรเปลี่ยนจากอาวุธประหัตประหารกลายเป็นแพรพรรณอันสวยงาม
ภาพของสองผู้นำสองดินแดนยืนเคียงคู่กัน ต่างฝ่ายต่างหักลูกเกาทัณฑ์ เป็นสัญลักษณ์การสงบศึกอย่างเป็นทางการ กลายเป็นเรื่องที่เล่าขานถึงความองอาจห้าวหาญของผู้นำทั้งสอง
หากแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ราชวงศ์ฮั่นอันเกรียงไกร จะล่มสลายในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านั้นเอง และผู้ที่ทำให้สมดุลย์นี้เปลี่ยนไป ก็เป็นคนที่โจโฉไม่นึกฝันด้วยเช่นกัน
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 2 - ปักษีครองอุดร
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย