18 มี.ค. 2021 เวลา 01:15 • นิยาย เรื่องสั้น
2.27. ฆาตกรรมอำพรางศพ
เฒ่าเตง - อดีตสองแกนนำเผ่าอูหวน ตงหวง เป๊กตุน
ในขณะที่โจโฉผิดใจในการกระทำของผู้คน ทั้งฮ่องเต้หนุ่มน้อยและหญิงคนรัก แต่ไม่คิดไต่ถามเรื่องราว สุมาอี้กลับข้องใจไม่หาย จึงสอบถามจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จนทราบถึงพฤติกรรมของตันกุ๋นกับขงหยง ที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น ทำให้มันเริ่มไม่ไว้วางใจในตัวของตันกุ๋นบ้างแล้ว หรือว่ามันคิดจะเปลี่ยนข้างไปเข้าพวกกับขุมกำลังอื่นแล้ว
“อันตรายยิ่งนัก มันล่วงรู้เรื่องราวของฝ่ายเรามากมาย ขืนล่าช้าไป เกรงว่าจะเป็นภัยร้ายได้” สุมาอี้ทบทวนเรื่องราวจนสับสนใจ เกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อเนื่อง เพราะตันกุ๋นถือว่า ล่วงรู้ความลับของเครือข่ายสุมามากเกินไปจริงๆ
ดังนั้น มันจึงบอกกล่าวกับบ่าวไพร่ อ้างเหตุไปเยี่ยมญาติต่างเมืองที่ป่วยกระทันหัน แล้วรีบออกเดินทาง หมายจะนำความไปปรึกษากับสุมาเต๊กโชผู้เป็นบิดาโดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข
หากแต่เมื่อถึงสถานที่เป้าหมาย สำนักนักปราชญ์กลางเมืองน้อย ในยามค่ำคืน มันกลับพบแต่ร่างที่ไร้วิญญาณจมกองเลือดของสุมาเต๊กโช นอนตะแคงข้างเก้าอี้ ทอดกายอยู่กลางห้องหนังสือท่ามกลางความมืดมิด ไร้ร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด
“หรือว่าเป็นตันกุ๋น ลงมือแล้วจริงๆ” ยามภัยมาเยือนคนใกล้ตัว สุมาอี้จึงยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่นใจมากขึ้น ผิดจากปกติที่วางตัวสุขุมเยือกเย็นเสมอมา จนมือที่จุดไฟตะเกียงสั่นเทิ้ม
...
ที่จริงแล้ว ที่พักของสุมาเต๊กโชแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่ลึกลับอันใด ด้วยว่าเปลือกนอก สุมาเต๊กโชวางตนเป็นนักปราชญ์สูงวัยผู้เลื่องชื่อ จึงเปิดสำนักนักปราชญ์ไว้กลางเมืองอย่างจงใจ คล้ายกับสำนักวิชาการทั่วไปที่กำลังแพร่หลายในยุคสมัยนั้น จนกลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนสายเต๋าไปโดยปริยาย และมีบรรดาบัณฑิตผู้คงแก่เรียนผลัดเปลี่ยนผ่านทางมาพักเยี่ยมเยียน เสวนาแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่เนืองๆ
หากแต่สุมาเต๊กโชไม่ได้ประกาศรับศิษย์ไว้อย่างเปิดเผยให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั่วไป เพราะแผนการทายาทมังกรนั้นควรจะเป็นความลับสุดยอด และให้พำนักซ่อนกายอยู่ที่กระท่อมปลีกวิเวก คนละฟากฝั่งเมืองจากจุดนี้
พวกทายาทมังกรจึงเป็นเพียงบัณฑิตรุ่นใหม่วัยเยาว์ที่มีความสนิทสนมต่อเจ้าของสถานที่ และแวะเวียนมาแลกเปลี่ยนความรู้เหมือนกันกับคนอื่นๆเท่านั้น ไม่ได้มีศักดิ์ฐานะพิเศษให้ปรากฏแต่อย่างใด
เท่าที่ผ่านมา คงมีเพียงงานเลี้ยงเปื้อนโลหิตที่จัดภายในกองทัพทหารของอ้วนเสี้ยวเท่านั้น ที่พอจะเชื่อมโยงเปิดเผยความสัมพันธ์ของอาจารย์คันฉ่องวารีกับสองศิษย์เอก เป็นสุมาอี้กับบังทอง
และจากการที่ สุมาอี้ ตันฮก บังทอง จูกัดเหลียง ป้อเอี๋ยน เคยผลัดเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาคลุกคลีสุงสิงกับนักปราชญ์สายเต๋าตามวาระต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง จึงพอสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองตามสมควร โดยไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันให้ผิดสังเกต
เหล่าบัณฑิตสายเต๋าแสวงหาสัจธรรมความสงบที่พอมีชื่อเสียง อย่าง ซุยเป๋ง เบงคงอุย โจ๊ะกงหงวน ยีเอ๋ง เพียงรับรู้ถึงอัจฉริยะวัยหนุ่มสี่ห้าคนนี้ แต่มิได้ตระหนักรับทราบว่า คนทั้งห้าเป็นพี่น้องร่วมสำนักเดียวกัน และที่จริง ล้วนเป็นลูกศิษย์สายตรงของนักปราชญ์รุ่นใหญ่สุมาเต๊กโชแต่อย่างใด
หลังจากการตรวจสอบเพิ่มเติม บาดแผลเกิดจากการกระแทกด้วยกำลังภายในอย่างรุนแรง ในห้องหนังสือที่เป็นจุดเกิดเหตุนั้น ก็ยังคงเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด คนร้ายจึงน่าจะเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันดี หรือมีพลังฝีมือสุดยอด ถึงจะลอบทำร้ายผู้ที่มีฝีมือระดับสูงอย่างสุมาเต๊กโชได้ในเวลาอันสั้น
มันกวาดตาไปโดยรอบ จนสะดุดตาเข้ากับหย่อมเลือดที่ปลายนิ้วของสุมาเต๊กโช คล้ายกับภาพวาดของปีก แต่ยังไม่เรียบร้อย จึงดูไม่ออกว่าเป็นปีกของสัตว์ใด “ท่านพ่อวาดรูปปีกสัตว์ หรือว่าเป็น มังกรซ่อน หรือหงส์ผงาด”
ในบรรดาศิษย์ทายาทมังกรทั้งห้า มีเพียงมังกรซ่อนกับหงส์ผงาดที่อาจจะเป็นสัตว์มีปีก มังกรซ่อน หรือจูกัดเหลียงนั้น ถูกกำหนดให้ไปเป็นพวกกับเล่าปี่ ได้ยินว่า ช่วงนี้ เล่าปี่เพิ่งพ่ายศึกชีจิ๋ว หลบไปอยู่กับเล่าเปียว มันจึงกลับไปซ่อนตัวที่บ้านเดิม รอจังหวะเข้าพบกับเล่าปี่อยู่ ส่วนหงส์ผงาด บังทอง ถูกระบุให้ต้องไปเข้ากับซุนกวน ป่านนี้ ควรไปแฝงตัวกบดานอยู่ในแคว้นกังตั๋งแล้วเช่นกัน
ขณะที่ความคิดของสุมาอี้ยังกระเจิดกระเจิงอยู่นั้นเอง ชายสูงวัยอีกคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือนั้น เป็นปราชญ์ใหญ่สุมาเต๊กโช “ลูกอี้ เจ้ามาทันเวลาพอดี ดูสิว่า ข้าพบกับอะไรเข้า”
สุมาอี้ตกตะลึงกับสุมาเต๊กโชสองคน คนหนึ่งนอนตายอยู่ตรงหน้า และอีกคนกำลังนั่งลงอย่างใจเย็น ใบหน้ารูปร่างเครื่องแต่งกายมองดูเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน หากแต่ผู้มาใช้สุ้มเสียงถูกต้องคุ้นเคย และล่วงรู้ความสัมพันธ์ลับของพวกมันสองพ่อลูก จึงน่าจะเป็นตัวจริง
สุมาเต๊กโชยุดมือสุมาอี้มาให้ใกล้ตัว ชี้นิ้วไปยังตำแหน่งข้างแก้มของผู้ตาย พร้อมก้มลงนวดเบาๆ และดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้า เห็นเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วค่อยเล่าต่อ “มันคือคนของพรรคฟ้าเหลืองสอดแทรกเข้ามา ดีที่เรามีวิชาฝีมือเกินที่มันคาดเดาถึง จึงหลบรอดความตายมาได้ ลูกอี้ คงถึงเวลาที่เราต้องเดินเกมรุกทางฝ่ายเราให้มากยิ่งขึ้นแล้ว เจ้าจงไปดำเนินตามแผนการตามนี้เถอะ”
ว่าแล้ว สุมาเต๊กโชก็สั่งความให้สุมาอี้ไปจัดการแผนงานลับขั้นต่อไป และรับทราบความกังวลของสุมาอี้เกี่ยวกับท่าทีไม่พึงประสงค์ของตันกุ๋นไว้ด้วย
หลังจากที่สุมาอี้จากไปแล้ว สุมาเต๊กโชค่อยๆเดินไปยังซากศพของสุมาเต๊กโชอีกคนหนึ่งอย่างเชื่องช้า คล้ายลูกหนังถูกปล่อยลม หมดสิ้นเรี่ยวแรง แตกต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง พลางจ้องมองลวดลายปีกสัตว์โลหิตที่พื้นอีกครั้ง “อืม ดีนะที่เราไหวตัวทัน ป้ายความผิดให้กับพรรคฟ้าเหลืองไปได้ ไม่เช่นนั้น สุมาอี้คงหวาดระแวงเราเป็นแน่ แต่อย่างไร แผนการเราก็ต้องปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว”
... 
ย้อนกลับไปเมื่อยามสนธยาของวันนั้น สุมาเต๊กโชกำลังนั่งประเมินสถานการณ์แผ่นดินฮั่นบนโต๊ะหนังสือ เพื่อร่างแผนการส่งต่อให้สุมาอี้และพรรคพวกไปจัดการ เงาร่างชายชุดดำผู้หนึ่ง พลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า  พร้อมกวาดฝ่ามือเข้าใส่กลางหน้าอกของมันทันที
หากเป็นคนไร้วิทยายุทธ์ทั่วไป ฝ่ามือนั้นคงปลิดชีวิตคนได้แล้ว แต่สุมาเต๊กโชมิใช่ มันจึงขยับลอยตัวไปด้านหลังพร้อมทั้งเก้าอี้อีกหลายก้าว จนฝ่ามือนั้นไม่อาจสัมผัสถึงตัว ยังคงรักษาระยะห่างหนึ่งช่วงแขนไว้ได้ตลอด จนร่างของผู้บุกรุกหมดพลังดีดส่ง ร่วงลงยืนกับพื้น ยุติพลังการฆ่าฟันไปชั่ววูบหนึ่ง
สุมาเต๊กโชค่อยขยับตัว ปล่อยมีดสั้นที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมาถือไว้ หมายจะลอยตัวตอบโต้ แต่มือลึกลับอีกคู่หนึ่ง กลับโผล่ลงมาจากขื่อด้านบน กดลงบนไหล่ทั้งสองข้างตรึงมันไว้กับเก้าอี้อีกครั้ง และฝ่ามือที่สองของชายชุดดำคนแรกก็กระแทกเข้าใส่ทรวงอกของมันเต็มแรง แต่ปราชญ์ใหญ่ก็ยอมแลกชีวิตกันด้วยการแทงมีดสั้นสวนกลับออกไปได้หนึ่งครา
สุมาเต๊กโชรู้สึกตัวในทันทีว่ามันคงไม่รอดแล้ว จึงแสร้งเป็นล้มลงสิ้นใจโดยเก็บงำ พลังชีวิตสุดท้ายไว้เพื่อรับฟังข้อมูลรอบด้าน เผื่อว่าจะเกิดประโยชน์อันใดบ้าง
“เหยี่ยวดำ ฝีมือเจ้าดุดันร้ายกาจขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก คงเพราะได้รับประสบการณ์นานปีในยุคสมัยนี้กระมัง” ผู้มาทีหลังกล่าว
“ที่จริง พลังยุทธ์ของข้าเพิ่งฟื้นคืนมาได้เพียงหกเจ็ดส่วน มิอาจลงแรงต่อเนื่องยาวนานเหมือนยามปกติ หากไม่ได้พี่ใหญ่วางแผนการสำรองไว้ก่อน เรื่องราวคงยุ่งยากมากแล้ว ไม่นึกเลยว่า มันแก่ชราปานนี้ จะยังคงเก่งกาจปราดเปรียวยิ่งนัก” เหยี่ยวดำ หรือ ชายชุดดำคนแรกตอบ มีดสั้นยังคงปักอยู่ที่ท้องแขนมิดด้าม เรียกโลหิตได้เป็นทางยาว แทนที่จะปักเข้าที่กลางอกดั่งคาด นั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณนักฆ่าที่จะยอม “เสียน้อย แลกมาก” แล้ว
นับเป็นเวลาร่วมสองปีแล้วที่เหยี่ยวดำยังคงต้องได้รับการฟื้นฟูพลังยุทธ์อยู่กับหมอฮัวโต๋ ตัวยามากมายที่เคยสะสมมานานหลายปีถูกนำมาใช้จนแทบหมดสิ้นในคราวเดียว หากจะรอไปซื้อหาสืบเสาะเพิ่มเติม กริ่งเกรงว่า ผู้คนจะสูญสิ้นพลังฝีมือไปก่อน
นกฮูกถึงกับต้องยอมร่วมมือกับหัวขวาน จอมอัจฉริยะด้านการประดิษฐ์ จัดสร้างสวนสมุนไพรเมืองหนาวขึ้นเป็นการชั่วคราวทางแถบเทือกเขาด้านตะวันตก เพื่อเพาะพันธุ์ต้นโสมเร่งการเติบโตที่เป็นสายพันธุ์พิเศษ ตัวช่วยสำคัญทางการแพทย์จากอนาคต ขึ้นมาใช้ให้ทันกับการปรับเปลี่ยนอาการของเหยี่ยวดำ
และแน่นอน ผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากสวนสมุนไพรเฉพาะกิจดังกล่าวอีกคนหนึ่ง ก็คือ ฮองตง จ้าวเกาทัณฑ์ ผู้ที่ต้องรับการเยียวยารักษาอย่างพิเศษเฉกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เหยี่ยวดำยังคงมีพื้นฐานการฟื้นฟูพลังยุทธ์ที่ดีกว่า เพราะเคยได้ศึกษาเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินมาก่อน อันวิชาขั้นสุดยอดในตำนานกำลังภายในที่เคยเป็นเป้าหมายในการแย่งชิงแทบเป็นแทบตายเพื่อนำไปฝีกฝนของชาวยุทธภพยุคโบราณ แต่กลับเป็นเพียงความรู้พื้นฐานที่หาอ่านได้ง่ายดายยิ่งนักในคลังวิชาการเสมือนจริงของโลกอนาคต
ทางหนึ่ง เหยี่ยวดำได้รับตัวยาโสมฟื้นฟูภายใน อีกทางหนึ่ง ศึกษาตีความตามเคล็ดวิชาสุดยอด การฟื้นฟูร่างกายที่โดนพิษร้ายแทรกซึมอวัยวะภายในทั่วร่างกายจึงเป็นได้อย่างรวดเร็ว และสักวันหนึ่ง อาจจะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพียงแต่นกฮูกพบเห็นว่า ฮองตงอายุมาก ร่างกายเสื่อมโทรม มิอาจอาศัยเพียงตัวยาโสมฟื้นฟูสภาพร่างกาย จึงขอคัดลอกเคล็ดวิชาลับเพียงบางส่วนไปถ่ายทอดให้กับมันด้วย ขุนพลจ้าวเกาทัณฑ์จึงได้รับผลพลอยได้สองทาง ทั้งเคล็ดวิชาลมปราณ และพลังตัวยาโสมพิเศษ เพิ่มพูนพลังยุทธ์มากยิ่งไปกว่าเดิม เป็นเหตุทำให้มีอายุยืนยาว และร่างกายแข็งแรงเกินกว่าผู้คนทั่วไปในวัยเดียวกัน
“มันเป็นกระบวนท่าฝึกซ้อมที่เรากับนกกระเรียนตระเตรียมวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว ต้องถือว่าแม้ถูกสังหารตายไปแล้ว มันก็ยังมีผลงานความชอบอยู่ เอาเถอะ เดี๋ยวเจ้าจัดการกับบาดแผลนั้น และลบล้างร่องรอยการต่อสู้ออกไปก่อน ข้าจะใช้วิชาถ่ายทอดจิตกับมันก่อนที่กระแสจิตของมันจะสูญสลายไป” ว่าแล้ว มันจึงยื่นนิ้วมือกดลงบนใบหน้าของสุมาเต๊กโชผู้ตายด้วยท่าทางประหลาด พร้อมหลับตาลง
และแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ความคิด และประสบการณ์ของแต่ละฝ่ายราวกับเป็นรูปภาพในความฝันให้ทำความเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดของชีวิต
สิ่งที่สุมาเต๊กโชรับรู้คือ ผู้มาใหม่เป็นหัวหน้าหน่วยปักษาสวรรค์ ฉายานามว่า “นกอินทรี” พี่ใหญ่ของบรรดานักรบที่มาจากดินแดนอันแปลกประหลาด หลายสิ่งหลายอย่างที่มันเห็น มันรับรู้ แต่ดูพิสดารเกินไป ไม่อาจจะทำความเข้าใจได้
จนท้ายสุด มันกลับเห็นร่างของอ้วนเสี้ยวที่ถูกรุมสังหารในถ้ำใหญ่ คาดไม่ถึงว่า อ้วนเสี้ยว เตียวหุย กาเซี่ยง และหมอฮัวโต๋เหล่านี้ หรือแม้แต่ผู้วิเศษกระเรียน อาจารย์ของมันเองที่หายสาบสูญไปนานปี กลับเป็นคนในเครือข่ายเดียวกับพวกนี้
มิน่าเล่า ก่อนลาจากกัน ท่านอาจารย์ จึงซักซ้อมวิชาหลบหลีกด้วยเก้าอี้กับมัน จนติดเป็นความคุ้นเคย และวาดรูปนกไว้ก่อนสลายร่างจางหายไปในครั้งนั้น เป็นรูปนกกระเรียนนั่นเอง มือซ้ายของมันจึงเริ่มขยับเขยื้อนไปตามความคิดแล้ว
ทางฝ่ายนกอินทรีก็กำลังรับรู้เรื่องราวของสุมาเต๊กโชเช่นกัน เริ่มจากอดีตในวัยเยาว์ที่ดูพร่ามัวเลือนราง การเข้ามาเป็นศิษย์คนที่สามของนกกระเรียนตามแผนการที่วางไว้  การดำเนินแผนสร้างเครือข่ายสุมาและเหล่าทายาทมังกร การสร้างอิทธิพลลับในดินแดนนอกด่านทางเหนือ การแทรกซึมขุมกำลังพรรคฟ้าเหลือง การลอบกำจัดเตียวก๊กกับตั๋งโต๊ะ การแทรกแซงกลุ่มพิทักษ์ฮั่นกลางเมืองหลวง การทำลายพันธมิตรลิโป้กับอ้วนสุด ไปจนถึงการยึดกุมจุดอ่อนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และผลักดันโจโฉให้เป็นผู้รวบรวมแผ่นดินชั่วคราว เพื่อหวังผลกินรวบในบั้นปลาย
หลายเรื่องราว หลายมุมมอง หลายผู้คน ที่มันไม่อาจทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะความซับซ้อนยากจะคาดคิด แต่มันก็ถึงกับตะลึงในแผนการซับซ้อนของเครือข่ายสุมาไปพักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ของสุมาเต๊กโชที่กำลังใช้นิ้วมือเปื้อนเลือดตัวเอง ขีดเขียนเป็นรูปภาพอยู่
 
มันจึงรีบหยุดการติดต่อทางจิต และกระแทกฝ่ามือซ้ำเข้าที่เดิมอีกครั้ง เป็นการปลิดชีพของสุมาเต๊กโชโดยเด็ดขาด พลันเหยี่ยวดำกระซิบส่งความ “มีคนกำลังมา รีบซ่อนตัวก่อน” แล้วทั้งสองจึงพลิ้วกายไปด้านนอกห้องพักอีกทางหนึ่ง
แล้วสุมาอี้จึงก้าวเข้ามาพบเหตุการณ์ร่างไร้วิญญาณของสุมาเต๊กโชเข้าพอดี ร่องรอย ปีกสัตว์นั้น ที่จริงก็คือส่วนของปีกนกกระเรียนตามกระแสความคิดที่ถ่ายทอดให้กันระหว่างสุมาเต๊กโชกับพี่ใหญ่อินทรีนั่นเอง
หมายเหตุ วิชาถ่ายทอดจิต ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง STAR TREK: THE ORIGINAL ซึ่งชนเผ่าวัลแคนสามารถใช้นิ้วมือกดใบหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วสามารถรับรู้เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆของคนคนนั้น หรือแม้แต่แบ่งปันให้รับรู้กันได้ทั้งสองฝ่าย ผู้เขียนจึงนำมาเป็นวิธีที่ทหารอนาคตเหล่านี้ใช้ในการรับรู้ประสบการณ์ของเป้าหมายในอดีตเหล่านี้ และสวมรอยเป็นตัวละครเหล่านี้ได้อย่างแนบเนียน จนญาติสนิทมิตรสหายรอบข้างไม่อาจจับผิดได้
...
สุมาเต๊กโชตัวปลอม หรือนกอินทรี รีบสั่งความให้เหยี่ยวดำไปส่งข่าวถึงทุกคนในหน่วยงานที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆให้รับรู้ถึงการคงอยู่ของเครือข่ายสุมา และพรรคฟ้าเหลือง โดยเฉพาะเตียวหุยในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
มันนึกโชคดีที่ได้รับคำสั่งให้มาปลอมเป็นสุมาเต๊กโช ตัวละครเล็กๆที่ดูเหมือนไร้บทบาทสำคัญในพงศาวดาร แต่ที่จริง กลับเป็นหัวหน้าเครือข่ายใหญ่ ตัวประสานที่ทำให้รับรู้ขุมกำลังลึกลับทั้งสองกลุ่มของยอดคนสมัยโบราณเหล่านี้
แต่นกอินทรียังอดเสียดายไม่ได้ที่ความสามารถในการถ่ายทอดจิตของผู้อื่นยังอ่อนด้อยกว่ามันหลายส่วน จึงสามารถรับรู้ความคิดได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เทียบเท่ากับตัวมัน เพราะแต่ละคนก็ต้องแบ่งเวลาไปฝึกฝนในทักษะวิชาอื่นที่เป็นวิชาเฉพาะตัวด้วย มิฉะนั้น ร่องรอยเหล่านี้ สมควรได้รับทราบ และตระเตรียมป้องกันได้ตั้งแต่แรกที่นางแอ่นอ่านจิตสวมรอยแทนเตียวหุยไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
“หากน้องนางแอ่นมีโอกาสได้ฝึกฝนให้มากกว่านี้ ก็คงระมัดระวังจูล่งมากกว่านี้ ตั้งแต่แรกแล้ว” ว่าแล้ว มันก็นึกกังวลใจต่อสิ่งที่นกฮูก ฮัวโต๋กระซิบบอกไว้ก่อนแยกย้ายกันตั้งแต่วันแรกที่มันเดินทางมาถึง เป็นความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างนางแอ่นกับประมุขพรรคฟ้าเหลืองคนปัจจุบัน นั่นเอง
...
สุมาอี้เดินทางออกจากสำนักนักปราชญ์ มีความรู้สึกคล้ายไม่ถูกต้อง หากแต่เป็นสิ่งใด เรื่องใด กลับมิอาจบอกเล่าเข้าใจได้ อารมณ์บางส่วนคล้ายเกิดความสูญเสีย จิตสำนึกบางส่วนคล้ายเกิดความเอ่อล้น จนสับสนว้าวุ่นภายในใจ
พอดีกับเป็นช่วงเช้าตรู่วันใหม่ กลับพบเห็นร่องรอยของตันกุ๋นก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยมแถบชานเมืองโดยบังเอิญ ที่นี่คือเมืองน้อยซินเอี๋ย แม้ห่างจากเมืองฮูโต๋ไม่มากนัก แต่ตันกุ๋นในยามนี้เอง สมควรไปประจำการอยู่ที่เมืองใหม่ด้านเหนือของเมืองหลวงฮูโต๋ไปอีกหลายสิบลี้ เพื่อดูแลการก่อสร้างปราสาทเมืองใหม่ ตัวเองรู้สึกสนใจใคร่รู้ และยังคงระแวงท่าทีของฝ่ายตรงข้ามด้วย จึงแอบสะกดรอยติดตามไปห่างๆ
ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด ปลอมตัวอยู่ในคราบพ่อค้าเร่ร่อน ไม่อาจทำตัวลึกลับเกินไป จึงเดินทอดน่องปะปนไปกับผู้คนที่เดินทางตามท้องถนน แล้วค่อยมุ่งหน้าออกนอกเมืองขึ้นสู่เขาจวนหยกสัน วัดป่าน้อยที่สอง เหมือนคนไปทำบุญแวะชมทิวทัศน์ทั่วไป
เห็นตันกุ๋นวนเวียนวนเวียนทำกิจกรรมภายในวัดอยู่พักใหญ่ พอปลอดผู้คนรอบข้าง ค่อยเร้นกายไปด้านหลังวัด ซึ่งมีกระท่อมที่พักนักบวชเรียงรายอยู่หลายหลัง สุมาอี้คลาดสายตาไปชั่วครู่ ไม่อาจคาดเดาว่าตันกุ๋นหายเข้ากระท่อมไหน จึงได้แต่แอบสอดส่องไปทีละหลังๆ จนพบพานตัวได้ในที่สุด
ตันกุ๋นหันหลังให้กับตำแหน่งที่สุมาอี้แอบมอง พูดคุยสนทนาอยู่กับคนฝั่งตรงข้าม เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อยู่ในชุดหรูหราสวยงาม แสดงถึงฐานะที่สูงส่ง บทสนทนาดำเนินไปแล้วพักใหญ่ จึงมาถึงจุดสำคัญที่ใกล้จะจบสิ้นแยกย้ายแล้ว
“… ในเมื่อพวกเราตกลงใจร่วมมือกันฝ่ายรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ต้องพิรี้พิไรให้มากความหรอก พวกเราเพียงต้องการครอบครองส่วนแบ่งเป็นมณฑลเกงจิ๋วทั้งหมด ส่วนท่านมหาอุปราชจะผ่านทางไปรบกับใคร ที่ไหน แค่บอกกล่าวมาก็พอ พูดง่ายๆก็คือ เรายินยอมจัดการตาแก่แซ่เล่ากับลูกชายคนโตให้เอง เพียงขอให้ท่านจัดหาตัวยาที่บอกกล่าวเมื่อครู่มาให้ แล้วรอรับฟังข่าวดีได้เลย” หญิงสาวช่างเจรจากล่าวสรุป
“ตกลง ในเมื่อฮูหยินให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้แล้ว เราจะหาวิธีจัดส่งตัวยาชั้นดีที่ว่านั้นมาให้เอง ส่วนเรื่องส่วนแบ่งนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวล นายท่านย่อมอนุมัติเรื่องนี้ได้ไม่ยาก” ตันกุ๋นสรุปจบเช่นกัน พร้อมเดินออกจากกระท่อมที่พักไปก่อน
ชายหนุ่มพยักเพยิดต่อกับหญิงสาว “จะจัดการอย่างไรกับตาเฒ่าแซ่เตงดีล่ะ” สุมาอี้เหลือบเห็นร่างนักบวชสูงวัยที่ตัวสั่นเทา คุกเข่าอยู่กับพื้นมุมห้อง คงเป็นเจ้าของสถานที่ผู้โชคร้าย และเคยเป็นคนคุ้นเคยกันกับคนทั้งสองก่อนที่จะมาบวชอยู่ที่นี่
“คนตายจึงไม่อาจเผยแพร่ความลับ เจ้าน้องหน้าโง่ ต้องให้ข้าบอกทุกเรื่องหรือไง” หญิงสาวเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เพียงแค่ยืมใช้สถานที่มาพบปะผู้คน ถึงกับต้องปิดปากคนคุ้นเคยทิ้งเสียแล้ว “เฒ่าเตง ขออภัยด้วยที่ลูกเจ้าทั้งสามคงต้องเป็นกำพร้าเสียแล้วล่ะ น้องเรา ทำให้มันตายเหมือนเป็นโรคลมปัจจุบันเถิด ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงเด็กน้อยหัวร่อยั่วเย้ากันดังใกล้เข้ามา คงจะเป็นพี่น้องสกุลเตงที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่ ฝ่ายชายจึงแผ่พลังกระแทกชีพจรให้เฒ่าเตงตายโดยสงบ และหลบหนีกันไป
สุมาอี้ได้แต่ส่ายหน้า เป็นพยานบุคคลในเหตุการณ์น่าเศร้าสลดของครอบครัวสกุลเตง หนึ่งชีวิตของผู้พ่อหลุดลอย สามชีวิตของเด็กน้อยกลายเป็นกำพร้า อีกหนึ่งโศกนาฏกรรม เบื้องหลังสงครามการชิงอำนาจระหว่างโจโฉกับเล่าเปียว
เหล่าตัวการจากไปหมดสิ้น หากเพียงตันกุ๋นใส่ใจสังเกตใบหน้าของอดีตตาเฒ่าแซ่เตง เรื่องราวอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ เพราะในอดีต นักบวชสูงวัยที่ดูไร้พิษสงนี้ ก็คือ ผู้นำชนเผ่าอูหวน นามว่า ตงหวง ที่ร่ำลือกันว่า ผิดใจกับกลุ่มนักรบ จนถูกคู่หูเพื่อนสนิทเป๊กตุนยึดอำนาจ และตัวเองหายสาบสูญไป
ครั้งนั้น ตงหวงตกอับสูญสิ้นพลังยุทธ์ จึงปลอมตัวหลบหนีลงมาถึงเมืองน้อยซินเอี๋ย หวังเพาะบ่มทายาทให้กลับไปกอบกู้ศักดิ์ศรีคืน หากแต่วันเวลาไม่รอคอยใคร เผ่าอูหวนที่เคยรุ่งโรจน์ กลับถูกเตาจี๋ ทายาทของลูกน้องเก่า นำกองทัพพยัคฆ์เสือดาวถล่มล้างเผ่าพันธุ์อย่างเหี้ยมโหด ตัวเป๊กตุนผู้เป็นศัตรูชิงบัลลังก์ก็ถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน
มันจึงหมดสิ้นเป้าหมายความแค้น หวังเดินทางสู่ความสงบ จึงบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา พร้อมเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนให้เติบใหญ่ แต่แล้ว โชคชะตาพลิกผัน คนการเมืองถึงกับสังหารผู้คนเป็นผักปลา ทำให้ภาระหนี้แค้นก่อเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
พี่น้องสกุลเตงเข้ามาพบเห็นร่างบอบช้ำของบิดา รีบตรงเข้าแก้ไข หากเฒ่าเตงเป็นคนธรรมดาคงตายด้วยแรงกระแทกชีพจรไปแล้ว หากแต่ตงหวงเคยเรียนรู้วิทยายุทธ์มาก่อน จึงเก็บออมพลังชีวิตได้พอฝากคำพูดสั่งเสียกับลูกๆ
“ฆาตกรคือตันกุ๋นแห่งฮูโต๋ และชัวมอ ชัวเตี๋ยแห่งเกงจิ๋ว จงพึ่งพาขุมกำลังใหญ่ให้ช่วยเหลือสนับสนุนพวกเจ้า อดทน รอคอย เพื่อการล้างแค้น วิงวอนบรรพชนเผ่าอูหวน จงคุ้มครองพวกเจ้าด้วยเถิด” ตงหวงทิ้งท้ายด้วยความสำนึกผิดต่อชนเผ่า
สามลูกกำพร้าสกุลเตงร่ำไห้เสียใจ ความสุขประสาเด็กน้อยคงจบสิ้นไปพร้อมกับวิญญาณบุพการีที่หลุดลอย ต่างกล่าวคำสาบานต่อหน้าศพ สานต่อปณิธานสุดท้ายของบิดา “พึ่งพิงขุมกำลังใหญ่ อดทน รอคอย เพื่อการล้างแค้น”
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา