24 มี.ค. 2021 เวลา 23:01 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 4 - เก่ง
“สำหรับการฝึกซ้อมต่อไปนี้ เราจะขึ้นเขาไปเรียนรู้เทคนิคการวิ่งลงเขาในสภาพต่าง ๆ ขอให้ทุกคนจัดเตรียมเป้น้ำใส่น้ำอย่างน้อยหนึ่งลิตร เพราะทีมงานจะไม่ได้ไปกับเราด้วยนะคะ” โค้ชส้มยืนประกาศกลางสถานที่รับประทานอาหาร
“ต้องเอา Trekking Poles ไปด้วยรึเปล่าครับ” กวียกมือถาม
“คุณจะติดไม้โพลไปก็ได้ แต่ผมอยากให้ฝึกการควบคุมบังคับขาในการวิ่งลงเขาให้ได้ก่อน ไม้โพลจะเป็นตัวช่วยได้ดีในกรณีที่คุณรู้ว่าจะใช้มันไปอย่างไร เพื่ออะไร สิ่งที่จะทำให้คุณได้เปรียบในการวิ่งเทรลข้อนึงก็คือ คุณมีเทคนิคที่ดีในการวิ่งลงเขา โดยเฉพาะเขาที่มีทางลาดชันและไม่มีอะไรให้คุณเกาะเกี่ยว” โค้ชเปอร์เป็นผู้ตอบคำถามกวีแทนโค้ชส้ม
ฝนนั่งพิจารณาโค้ชเปอร์จากอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับกวี ใบหน้าเข้มเกรียมแดดของโค้ชดูคมสัน แขนและขาที่โผล่พ้นชุดกีฬาเรียวผอม เป็นความผอมที่ไร้ไขมันส่วนเกิน ส่งผลให้กล้ามเนื้อทุกมัดและเส้นเอ็นที่พาดผ่านกล้ามเนื้อเด่นชัดขึ้น
ความลีนผอมของนักวิ่งคือสิ่งจำเป็น น้ำหนักส่วนเกินที่ร่างกายต้องแบกจะเป็นภาระ หากมีแค่ภาพถ่าย โค้ชเปอร์ก็จะเป็นนักกีฬาหน้าตาใช้ได้คนหนึ่ง แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วจะพบว่า ความมีเสน่ห์ที่จับใจคนก็คือ เมื่อเขาได้พูดได้ถ่ายทอดในสิ่งที่รู้ลึกรู้จริงจากประสบการณ์ ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจและมีพลัง
พลันฝนก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ณ จุดที่ยืนรอชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน
“สวยจัง” ฝนเผลอครางออกมาเมื่อมองไปยังแผ่นฟ้าเบื้องหน้า แสงสีชมพูพาสเทลสลับกับเลื่อมสีส้มอ่อนเป็นริ้วพาดผ่าน เป็นแสงสวยสีอบอุ่นที่นำทางมาก่อนที่พระอาทิตย์จะเผยตัว เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่ช้าพระมารดาแห่งแสงจะมาถึง
“ชอบมั้ย” เสียงคนข้าง ๆ ถามขึ้น
ฝนหันไปตามเสียงนั้น โค้ชเปอร์มองตรงไปยังแผ่นฟ้าเช่นเดียวกันเธอ ใบหน้าด้านข้างของเขาถูกฉาบไล้ด้วยแสงอบอุ่นนั้น ทำให้หน้าคมเข้มละมุนละไมไปกว่าเคย สันจมูกและกรามด้านข้างที่คมสันก็ดูเหมือนจะอ่อนนุ่มขึ้น -หล่อแฮะ- เธอคิดในใจ
“สวยขนาดนี้โค้ชไม่ชอบเหรอคะ” เธอเอียงคอถาม
“เห็นบ่อย”
“แหมโค้ช ถ้าเป็นฝนนะ ต่อให้เห็นบ่อยทุกวันก็ยังชอบทุกวันนั่นแหละ เหมือนถูกหวยรางวัลเลขท้ายสองตัวทุกวันไงคะ”
“ทำไมต้องเลขท้าย” โค้ชขายาวยังคงพูดด้วยถ้อยคำสั้น ๆ เหมือนเคยเมื่ออยู่ลำพังกับเธอ
“ก็ยังไงล่ะ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่งไงคะโค้ช รางวัลเลขท้ายมันเหมือนกำลังใจ ให้เราได้มีแรงไปต่อสู้ฟาดฟันกับสารพัดปัญหาในชีวิตประจำวัน แล้วถ้าถูกทุกวัน มันก็เหมือนได้ชาร์จพลังทุกวัน ได้มีอาวุธที่คม ๆ ทุกวันไงคะ
2
การได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นแบบนั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดเปลี่ยนชีวิต แต่ให้พลัง ส่วนเราจะเอาพลังไปเปลี่ยนชีวิตรึเปล่าก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของคน ๆ นั้น อธิบายแบบนี้โค้ชเข้าใจมั้ยคะ” ฝนอธิบายยืดยาว
โค้ชเปอร์หันหน้ามามองด้วยสายตาที่แปลกไป มันมีทั้งความประหลาดใจ เข้าใจ และประทับใจอยู่ในนั้น ฝนเผลอมองคำพูดหลากหลายของโค้ชผ่านดวงตาคมเข้ม แล้วความหมายของดวงตาก็เปลี่ยนไป
เธอยิ้มรับทั้ง ๆ ที่ยังไม่แน่ใจในความหมายนั้น แต่สีดำมืดของดวงตาทั้งสองก็คล้ายร้องเรียกและดูดเธอเข้าไปให้เคว้งคว้าง แล้วเธอก็พบว่าในความมืดดำเคว้งคว้างสายตาก็สามารถส่งความอบอุ่นให้ได้เช่นกัน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกถูกผู้ชายกอดทางสายตา
1
ฝนและเปรียวจับมือกันแน่น เมื่อเห็นการสาธิตวิ่งลงเขาด้วยความรวดเร็วของโค้ชเปอร์ ทั้งสองยืนแอบอยู่ตรงกลางของเส้นทาง มีเพื่อน ๆ นักวิ่งยืนแอบข้างทางลดหลั่นกันไปตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทางของจุดสาธิต ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดผ่านเบา ๆ เมื่อโค้ชวิ่งผ่านหน้าลงไป
“เราจำเป็นต้องวิ่งเร็วขนาดนั้นเลยเหรอฝน” เปรียวกระซิบถาม
“ดูจากความชัน เราอาจจะไม่ต้องวิ่งนะเปรียว แต่มันจะกลิ้งลงมาอย่างเร็วน่ะสิ เผลอ ๆ เร็วกว่าโค้ชอีก” ฝนกระซิบตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด
เส้นทางสาธิตมีระยะประมาณเกือบร้อยเมตร กว้างไม่เกินวา ต้นไม้เล็กใหญ่ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปไม่เป็นระเบียบส่งผลให้ทางคดเคี้ยวไปมา พื้นดินมีทั้งช่วงที่ราบเรียบชัน ช่วงที่เต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่ และช่วงที่มีหินกรวดมากมาย นับว่าเป็นเส้นทางที่เหมาะแก่การทดลองเทคนิคของการวิ่งลงในแต่ละแบบ ถ้าไม่นับว่ามันชันเสียจนน่ากลัว ขนาดที่เธอยืนอยู่กลางเส้นทาง เมื่อมองขึ้นไปยังจุดเริ่มยังต้องแหงนคอตั้งบ่า
“การวิ่งลงเขาเป็นความท้าทายที่สุดของนักวิ่งเทรล ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ดี แต่ถ้าคุณฝึกฝนจนชำนาญมันจะเป็นอาวุธสำคัญของคุณ” โค้ชเปอร์พูดเสียงดังก้องไปทั้งป่า ในขณะที่เดินกลับขึ้นมาจากปลายทางเพื่อไปยังจุดเริ่มอีกครั้ง ทุกคนยืนฟังเก็บข้อมูลสำคัญด้วยความตั้งใจ
“แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงให้คุณหน้าคะมำลงไป ในตอนนั้นกล้ามเนื้อต้นขาที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะเป็นประโยชน์ คุณต้องสั่งให้มันชะลอความเร็ว ให้เอียงซ้าย เอียงขวา หรือพุ่งลงไปข้างหน้าได้ตามใจ ยิ่งคุณบังคับต้นขาได้ดีเท่าไหร่ การวิ่งลงเขาก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น” โค้ชอธิบายต่อ
“ผมจะสาธิตอีกครั้งด้วยความเร็วที่ช้าลงกว่าเดิม”
โค้ชไปถึงจุดเริ่มต้นด้านบนแล้ว และเมื่อพูดจบก็ดีดตัวเองลงมาตามทาง เท้าสองข้างสลับกันแตะไปแต่ละจุดอย่างงดงาม มันเป็นกันแตะสั้น ๆ แล้วไปต่อ ไม่ใช่เหยียบเต็มฝ่าเท้า แม้จะมีบางช่วงที่แตะไปโดนหินลอย ที่มักจะหลอกตานักวิ่งว่าเป็นหินก้อนใหญ่มั่นคง แต่แท้จริงคือหินที่วางลอย ๆ อยู่บนพื้นเมื่อเหยียบลงไปก็จะเคลื่อนตัวไหลลงล่างทันที นักวิ่งหน้าใหม่มักจะถูกหินลอยหลอกล่อให้ลื่นไถลไม่เป็นท่ามานักต่อนัก แต่สำหรับโค้ช การแตะสั้น ๆ ไปยังหินลอยไม่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวใด ๆ หินกลิ้งลงไปด้านล่าง โค้ชก็กระโดดไปต่อ
เปรียวทำเสียงลุ้นเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นการกระโดดจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งคล้ายไร้น้ำหนักของโค้ช เธอจับต้นแขนของฝนแน่นและเขย่าเบา ๆ คาดว่าเหตุการณ์หวาดเสียวน่าจะเกิดขึ้น
“เปรียวทำไม่ได้แน่ ๆ ตรงนั้นน่ะฝน ทางที่เป็นดินเรียบ ๆ ชัน ๆ ไม่มีอะไรให้เกาะเลย” เสียงที่หวาดหวั่นของเปรียวก็เริ่มทำฝนกลัวไปด้วย
“ความกลัวจะไม่ช่วยอะไรคุณ” โค้ชเปอร์พูดขณะที่เดินกลับขึ้นมาอีกครั้ง เสมือนว่าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในป่ายามนี้ ที่เหล่านักวิ่งดูจะหวาดหวั่นกับเส้นทางชันไปเสียทุกคน
“สิ่งสำคัญคือ คุณต้องสำรวจเส้นทางด้วยสายตาอย่างรวดเร็วทั้งระยะใกล้ และไกล มีอะไรกีดขวางบ้าง มีอะไรช่วยชะลอได้บ้าง มีอะไรที่อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ้าง สมองต้องคิดวางแผน แล้วมาร์คจุดที่เท้าจะวางในก้าวต่อ ๆ ไป”
“มีใครบอกได้บ้างว่า อะไรที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ อะไรที่จะลวงตาเรา” โค้ชหยุดถาม
“หินลอย” เสียงป้าปุ้มตอบมาจากด้านล่าง
“ใบไม้แห้ง” นัทเสริม
“กรวด” ปิ๊กส่งเสียงมาจากด้านบน
“คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า” พลอยตอบบ้าง “คนที่วิ่งอยู่ข้างหลัง” แพรวต่อทันทีพร้อมเสียงหัวเราะ
บรรยากาศเริ่มคลายความเคร่งเครียดลงเมื่อสิ้นคำตอบของแพรว พาให้โค้ชเองก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “มีอีกมั้ย?"
ทุกคนนิ่งนึกแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบใดออกมา
“ต้นไม้! หลายคนใช้ต้นไม้เป็นจุดพยุงตัว ชะลอตัว ใช้จับใช้ยึดใช้โหน แต่ต้นไม้นี่แหละที่หลอกตาเราได้มากที่สุด เมื่อคุณวิ่งมาด้วยความเร็ว คุณจะมองไม่เห็นรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น มีหนามรึเปล่า มีแมลงมีพิษหรือไม่ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือ มีงูหลับอย่างสบายพันรอบลำต้นรึเปล่า"
สิ้นเสียงของโค้ช ก็เกิดแรงขยับพร้อมกันทันที เกือบทุกคนที่ยืนพิงต้นไม้อยู่พลันกระเด้งตัวออกมาแล้วสำรวจรอบ ๆ ตัวเป็นการใหญ่
“ต่อไปเราทุกคนจะได้ทดลองบ้าง ใครจะเริ่มก่อน” โค้ชส้มตะโกนถามจากด้านบน
กวีและปิ๊กที่ยืนอยู่ข้างโค้ชส้ม เกี่ยงกันเล็กน้อยจนมาจบที่เป่ายิ้งฉุบ และกวีจะได้เริ่มก่อน โค้ชเปอร์สาธิตเป็นรอบสุดท้ายเพื่อลงไปรอยังปลายทาง กวีก้าวเข้าไปยืนในจุดเดิมของโค้ชเปอร์ ฝนมองไม่เห็นสายตาของกวี แต่รู้สึกถึงความหวาดหวั่นเล็กน้อยของเขา มือทั้งสองข้างของกวีถือไม้โพลและกำแน่น
ทุกคนเงียบและรอคอย ไม่มีใครส่งเสียงเร่งเร้าใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้กวีรวบรวมสมาธิและสติให้พร้อมด้วยตัวเขาเอง เขาสูดหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้งยาวและปล่อยออกมาอย่างแรง ดีดเท้าข้างขวาและพุ่งตัวลงมา แม้จะไม่เร็วมากแต่กวีก็ทำได้ดี เค้าก้าวแตะและไปต่ออย่างที่โค้ชสาธิต ไม้โพลจิ้มไปที่พื้นช่วยส่งตัวให้เขาไปต่ออย่างลื่นไหล
เมื่อกวีลงมาถึงกลางทางใกล้กับจุดที่ฝนยืนอยู่ ไม้โพลก็ปักไปที่หินลอย แล้วลื่นแฉลบออกข้างทางไปเกี่ยวเถาวัลย์ ปลายไม้ถูกพันติดแน่น แขนซ้ายของกวีเหมือนถูกใครกระชากอย่างแรง เขาส่งเสียงร้องตกใจ และเสียจังหวะการทรงตัวพร้อมจะลื่นไถลไปฟาดกับต้นไม้ใหญ่ ถ้าฝนไม่เห็นและคาดเดาเหตุการณ์ได้ก่อนและคว้าตัวของเขาไว้ทัน
กวีเบิกตาตกใจ หายใจหอบ แต่ก็ไม่ลืมขอบคุณฝนด้วยความระล่ำระลัก “พี่ฝน ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ”
“โอ๊ยยย ไม่อยากทำ ไม่อยากทำเลย” เปรียวที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใกล้ชิดไม่แพ้กันครางออกมาเบา ๆ
ฝนยืนอยู่ในจุดเริ่มต้นแล้วตอนนี้ เป็นจุดที่นักวิ่งทุกคนได้ทดลองเส้นทางไปหมดแล้ว แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ได้กลัวหรอก แต่เธอก็ผลัดและยื้อจนกลายเป็นคนสุดท้ายจนได้ เมื่อมองไปด้านล่าง เส้นทางที่ชันและคดเคี้ยวทำให้เธอมองปลายทางได้ไม่ถนัดเห็นเพียงขายาว ๆ ของโค้ชเปอร์ไกล ๆ ต้นไม้และบางพุ่มใบบังส่วนบนของเขาไว้
เธอสูดหายใจเข้าปอดเป็นครั้งที่ห้า ยกเท้าขวาขึ้นแล้วก็ปล่อยลงอยู่สามรอบ เธอรอคอยให้ความกล้าเดินทางมาหาเธอเสียที เพื่อนนักวิ่งทุกคนเงียบปล่อยให้เธอรวบรวมจิตใจ แต่คงจะนานเกินไป โค้ชส้มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงกระซิบบอก
“ไม่ต้องไปด้วยความเร็วหรอกฝน ค่อย ๆ ไป มันไม่น่ากลัวอย่างที่เห็นหรอก เราต้องเชื่อใจตัวเอง”
คำของโค้ชส้มช่วยดึงกำลังใจฝนได้มาก เธอหลับตาและเรียกความกล้าหาญมาอีกครั้ง แต่พอหลับตาก็กลับนึกไปถึงสภาพของเพื่อน ๆ ก่อนหน้า โดยเฉพาะเปรียวที่วิ่งไปกรีดร้องไป และในที่สุดก็ล้มก้นจ้ำเบ้าไถลลื่นจนตัวคลุกฝุ่น หรือแม้แต่ป้าปุ้มที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้หญิง ก็ยังเบรคไม่ทันในช่วงโค้งคดเคี้ยวแล้วกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนที่ผ่านการวิ่งลงเขาไปได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ฝนยังคงหลับตาและอยู่ในภวังค์ แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงกรีดก้อง
“ปรี๊ดดดดดดดดด!!!” เสียงนกหวีดดังสะท้อนป่ามาจากด้านล่าง อารามตกใจทำให้ฝนลืมตาโพลง และดีดตัวลงไปด้านล่างทันที ถึงตอนนั้นความกลัวก็แตกกระจายหายไปเป็นป่นธุลี
เธอจับจ้องมองเส้นทางตรงหน้าเพื่อทำเครื่องหมายในใจ เท้าแตะสลับไปในแต่ละจุดแล้วชักออกอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เท้าอีกข้างไปแตะยังจุดถัดไป เธอคาดเดากลุ่มหินลอยข้างหน้าแตะเพียงเบา ๆ แล้วดีดตัวเองเพื่อไปต่อ เธอเสียจังหวะเล็กน้อยเมื่อหินก้อนใหญ่นั้นลื่นไถลลงตามแรงแตะ ใจเธอวูบ แต่ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วมองหาจุดหมายใหม่
-อีกนิดเดียวฝน ครึ่งทางแล้ว- เธอบอกตัวเอง เมื่อวิ่งผ่านเปรียว
ทางข้างหน้ากว้างที่สุด ชันที่สุด และไม่มีแม้หินหรือต้นไม้ใด ๆ มันว่างโล่งจนเธอนึกไม่ออกว่าจะวิ่งลงอย่างไรดีไม่ให้หน้าคะมำ แล้วไฟในหัวก็จุดประกายปิ๊งวาบ ใช่แล้ว! ต้องวิ่งทแยงข้างตามที่โค้ชทำให้ดู
ตอนที่เธอเป็นเพียงผู้เฝ้าดู ไม่ว่าจะดูโค้ชหรือเพื่อนนักวิ่งคนอื่น ช่างแตกต่างเหลือเกินเมื่อได้มาวิ่งด้วยขาของตัวเอง สมองคล้ายจะลืมเลือนทุกอย่างไปชั่วขณะ บางครั้งรู้สึกว่างเปล่า แต่บางครั้งก็รู้สึกยุ่งเหยิงงุนงง
ฝนวิ่งลงทางชันด้วยความเร็วที่ลดลง เมื่อมาใกล้เธอจึงเห็นว่าทางที่นอกจากจะชันมาก ยังดูเรียบลื่นกว่าปกติ เพราะนักวิ่งก่อนหน้าที่ย่ำไถลไปแล้วนับสิบรอบ เธอวิ่งตะแคงข้างเป็นมุมทแยง ซอยเท้าถี่เพื่อลดความเร็ว ใช้ต้นขาเบรกช่วยเพื่อชะลอ แล้วสลับตะแคงอีกข้างวิ่งทแยงไปอีกมุมหนึ่ง เธอกลั้นใจเฮือกสุดท้ายดีดตัวไปต่อ เมื่อเห็นปลายทางรออยู่ข้างหน้า โค้ชยืนเท้าเอวด้วยท่าสบาย ปากยังคาบนกหวีด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมียิ้มบาง ๆ ส่งมาให้
“เก่ง!!”
ฝนหัวใจพองโตเมื่อได้รับคำชมที่หนักแน่นจากโค้ช ความภูมิใจและมั่นใจไหลหลั่งอาบทั่วร่าง เธอสามารถวิ่งลงเขาที่ชันที่สุดในชีวิตด้วยความเร็วที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะทำได้ แถมทำด้วยความความลื่นไหลและถึงจุดหมายอย่างไม่มีอะไรบุบสลายอีกด้วย
“โค้ชแกล้งเป่านกหวีด!! คนอื่นไม่เห็นโค้ชเป่า” เธอต่อว่าออกไป
โค้ชยักไหล่ไม่ตอบอะไร แต่เดินมุ่งหน้าขึ้นย้อนไปยังจุดเริ่มต้น คราวนี้เป่านกหวีดถี่ ๆ รัว ๆ เพื่อเรียกความสนใจจากนักวิ่งทุกคนก่อนจะประกาศก้องเสียงดัง
“ทุกคนกลับขึ้นไปฝึกอีก ผมจะให้ทำจนกว่าจะสามารถวิ่งไปยิ้มไปได้ หรือถ้าจะให้ดีวิ่งไปร้องเพลงไปก็ได้”
“โหยยยยยยย” เสียงระงมมาจากทั่วสารทิศ
“วิ่งไปร้องไห้ไปได้มั้ยโค้ช” เปรียวตอบเสียงอ่อนล้า ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน
เมื่อโค้ชส้มเดินนำเหล่านักวิ่งกลับมาถึงยังชั้นล่างของอาคาร ทุกคนก็ทิ้งตัวลงพื้นอย่างหมดแรง ทีมงานเข้าชาร์จพร้อมน้ำเย็น ผ้าเย็น และแตงโมที่ฝานเรียงเป็นชิ้น ๆ สีแดงฉ่ำ เมื่อมีเสียงเรียกหาโค้กและน้ำแข็ง มันก็ถูกยื่นให้ท้นทีเหมือนเหล่าทีมงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับเหล่านักวิ่งผู้โรยแรงไว้อยู่แล้ว
“พักเบรกสามชั่วโมงค่ะ รับประทานอาหารเย็นหนึ่งทุ่ม และสามทุ่มเราจะกลับเข้าไปในป่าใหม่อีกครั้ง ใครจะยืดเส้น เราจะมีมุมยืดเส้นด้านนู้น ทีมงานเตรียมยานวด เสื่อโยคะ โฟมโรลไว้พร้อม จะยืดเองหรือจะให้ทีมสตาฟช่วยก็ได้หมด ส่วนใครจะอาบน้ำก็ตามสะดวก ทางฝั่งนู้นริมชายป่าอีกด้านจะมีทางไปยังลำธาร น้ำใสไหลเย็น จะนอนแช่ก็ได้ เมื่อวานมีคนสร้างเขื่อนทำจากุซชี่ไว้พร้อม” จบคำของโค้ชส้ม ก็มีเสียงวี้ดวิ่วตอบรับ
ฝนมองดูตัวเอง ทั้งแขนและขามือไม้ มีคราบเหงื่อที่ผสมกันเรียบร้อยกับฝุ่นดินจับเป็นรอยสกปรกกะดำกะด่าง ถึงไม่ส่องกระจกก็พอจะเดาได้ว่า หน้าตาเธอสภาพคงแย่ไม่แพ้กัน เธอปลดเป้น้ำออกจากหลังที่บัดนี้เบาโหวงเพราะไม่เหลือน้ำอยู่ด้านในแล้ว กลับขึ้นไปด้านบนที่พักเพื่อหยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก เธอวิ่งอย่างรวดเร็วไปห้องน้ำแต่ก็พบว่าไม่เร็วพอเพราะมีคิวยืนรออยู่สามสี่คน
เมื่อมาถึงลานใต้อาคาร ผู้คนก็หายไปเกินครึ่ง เธอมองไปทางฝั่งทางออกริมป่า เห็นกลุ่มคนกำลังเดินลับสายตา เปรียวและนัทก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“ไปมั้ย” เสียงคุ้นหูดังอยู่ด้านหลัง ฝนหันขวับไปทันที ก็พบดวงหน้าสะอาดแจ่มใส เสื้อผ้าเนื้อตัวมีเพียงคราบฝุ่นเล็กน้อยเท่านั้น โลกไม่ยุติธรรมกับเธอเลย ทำไมต้องให้เธอมายืนตัวมอมต่อหน้าเขาแบบนี้
-ทำไมชอบถามอะไรสั้น ๆ ใครจะไปรู้เนี่ยว่าไปไหน- เธอได้แต่คิดในใจ เพราะรู้ว่า "ไปมั้ย" ของโค้ชก็คือ ไปลำธารมั้ย
“ไปค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วก้าวเท้าเดินเคียงคู่ไปกับเขา ทั้งสองคนเดินกันไปอย่างช้า ๆ ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอต้องชินกับมันให้ได้เมื่ออยู่กับโค้ช คงต้องเป็นเธอสินะที่หาทางทำลายความเงียบด้วยการหาหัวข้อมาสนทนา ความเจื้อยแจ้วของเธอเท่านั้นที่จะกู้สถานการณ์อันอึดอัดประหลาดนี้ แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร
1
“คิดได้รึยัง?” แต่กลับเป็นโค้ชเองที่ทำลายความเงียบด้วยคำถาม
“คะ?!” ฝนตกตะลึง นี่โค้ชมีความสามารถอ่านใจเราได้รึไงเนี่ย
“คิดได้รึยังว่า มาวิ่งทำไม”
“อ๋ออออ” ฝนลากเสียงยาวกลบความโล่งใจ “ฝนก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันว่าง ๆ อ่ะค่ะโค้ช”
“ตลอดวันสองวันมานี่ที่ทำกิจกรรม อะไรที่ทำให้คุณหายกลัวล่ะ อะไรที่ทำให้คุณเอาชนะความเหนื่อยแล้วกัดฟันทำมันต่อ”
1
ฝนก้าวเท้าไปช้า ๆ ตามจังหวะก้าวของโค้ช เธอรู้สึกว่าเขาก้าวเดินช้ากว่าปกติ เหมือนการเดินทอดน่องสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ เธอเองเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้น บรรยากาศอึดอัดค่อย ๆ คลายลง
“อืมม ถ้าให้ฝนเดาใจตัวเองนะ ก็น่าจะเป็นความรู้สึกอยากได้รับการยอมรับจากตัวเองมั้งคะโค้ช”
“ปกติคุณไม่ค่อยยอมรับนับถือตัวเองหรอกเหรอ” โค้ชเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“ฝนอาจจะเสพติดก็ได้ค่ะ ฝนอยากได้แล้วก็อยากได้อีก ฝนชอบความสำเร็จ ถ้ามันยากมันก็ท้าทายดี แล้วม้นก็ทำให้ฝนมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ยอมรับนับถือตัวเองได้ เมื่อก่อนฝนไม่ได้มั่นใจในตัวเองขนาดนี้ แต่การวิ่ง การซ้อม การปลุกตัวเองให้ตื่นตอนเช้าเพื่อไปวิ่งในตอนที่คนอื่นยังนอนสบายบนเตียง มันให้อะไรกับฝนเยอะ แล้วเรื่องยาก ๆ อ่ะโค้ช พอเราทำบ่อยก็ไม่ค่อยยากแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่เวลาเหนื่อยสุด ๆ บางทีฝนก็ไม่ไปเอาชนะมันหรอกนะ ฝนก็แค่หยุดอ่ะ … อธิบายยาวเลย โค้ชเบื่อฟังแล้ว” เธอหัวเราะเก้อ ๆ
“ไม่เบื่อ” โค้ชตอบด้วยเสียงอ่อนโยนจนเธอแปลกใจ เมื่อเหลือบดูก็เห็นเขามองไปยังแนวป่าตรงหน้า
“โค้ชล่ะคะ วิ่งเพราะอะไร”
“คุณไม่รู้เหรอ?”
“ก็พอรู้ค่ะ โค้ชวิ่งเพราะอกหัก” ฝนทำเสียงอ่อนแกมล้อ
“เรื่องนั้นนานมากแล้วนะ” โค้ชอมยิ้มส่งสายตาไปไกลเหมือนระลึกความหลัง
“ถามจริง ๆ นะคะโค้ช อะไรทำให้โค้ชวิ่งข้ามวันข้ามคืน ข้ามเขาเป็นลูก ๆ ได้เกือบสองร้อยกิโลเมตร โค้ชคิดอะไรบ้างคะในตอนที่เหนื่อยสุด ๆ แบบนั้น ตอนที่แบตในร่างกายใกล้จะหมด โค้ชทำยังไงให้มีแรงไปต่อคะ ฝนได้ดูคลิป มีตอนนึงที่โค้ชนั่งกอดเข่าร้องไห้ด้วย แต่สุดท้ายโค้ชก็ไปต่อจนจบ โค้ชคิดอะไรอยู่คะ”
ฝนหันมาถามด้วยเสียงจริงจัง นึกไปถึงงานวิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้าน ที่โค้ชเพิ่งคว้ารางวัลกลับมา
โค้ชนิ่งไปนานเหมือนค้นหาคำตอบที่ถูกใจไม่ได้สักที แต่ในที่สุดก็หันมาอมยิ้มส่งสายตาพราว
“ไว้รู้จักกันมากกว่านี้แล้วจะบอก”
เสียงน้ำจากลำธาร และเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ดังแว่วอยู่ไม่ไกลข้างหน้า
“อยากรู้จักกันมากกว่านี้เหรอคะ?” คำถามที่ฝนเองก็ไม่รู้ตัวว่ามันหลุดจากปากออกไปได้ยังไง เลือดฉีดแล่นขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว เธอจ้องเป๋งไปที่โค้ชเพื่อรอคอยคำตอบ ไหวระริกของดวงตาที่แสดงความตกใจแว่บนึงของโค้ช ทำให้เธอใจเสีย
“ได้มั้ย?!” แต่คำตอบที่เป็นคำถามกลับของเขา ก็ทำให้ผีเสื้อในท้องเธอบินว่อน ใจหวิวอ่อนแรง มือไม้เก้งก้างเกะกะเหมือนไม่ใช่มือของเธอเอง เธอไม่ได้ให้คำตอบออกไปเป็นคำพูด แต่ส่งทุกอย่างออกไปตามสายตาทุกความรู้สึก ซึ่งเธอรู้ว่าโค้ชเข้าใจ
❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา