Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อยากทำไป-มด
•
ติดตาม
25 มี.ค. 2021 เวลา 23:01 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 5 - ความมืดที่ไม่มืด
“โธ่ อีฝน อีมโนgirl อีมนุษย์โรแมนติก” เสียงเจนแล่นมาตามสาย เมื่อฝนเล่าทุกอย่างให้ฟัง
ครั้งนี้เธอสำรวจลาดเลาเรียบร้อย ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง จุดที่เธอยืนพูดโทรศัพท์อยู่คือลานกลางแจ้งกว้างโล่งที่ห่างออกมาจากผู้คน จะไม่มีใครโผล่มาในตอนท้ายได้ทั้งนั้น จะไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นแน่นอน
“มึงด่ากูทำไมเนี่ยเจน”
“ที่มึงเล่ามากูยังไม่เห็นว่าโค้ชเค้าจะพูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวกับมึงเลยนะ”
“มันมีโมเม้นท์จ้องตากันหลายช็อตอยู่นะมึง แล้วยังที่เค้าถามว่า -ได้มั้ย- อีกล่ะ” ฝนแย้งเสียงอ่อย
1
“กูไม่นับนะ ไอ้จ้องตาอะไรกันน่ะ ไม่ไว้ใจความมโนของมึง ส่วนที่เค้าถามมึงว่าได้มั้ย ก็เพราะมึงถามเค้าว่า อยากรู้จักมากขึ้นรึเปล่า ไม่ใช่รึไง!? …. เค้าไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนกันนะครับ เค้าหมายถึงอยากทำความรู้จักเพิ่มค่ะมึ้ง! อีฝน หยุดมโนค่ะเพื่อน!!” เจนให้โอวาทยาวเหยียด
เจนเป็นเพื่อนสนิทเธอมาเกินสิบปี ผ่านเรื่องราวเจนจัดในเรื่องความรักมามากกว่าเธอ หลายครั้งที่คำพูดของเจนก็ดึงสติไม่ให้เธอถลำลงไปในห้วงแห่งรักหมดทั้งตัวและหัวใจ
1
“แต่เค้าต้องชอบกูมั่งแหละใช่มั้ยเจน”
“ก็คงงั้น แล้วมึงล่ะ” เจนยิงคำถามที่ฝนเองแม้รู้คำตอบแต่ก็ยังสับสน เพราะมันมีคำถามต่อจากนั้นเรียงมาอีกมามาย
“ก็ชอบ … แต่แล้วยังไงต่ออ่ะเจน เค้าอยู่นี่ กูอยู่นู่น เค้าเป็นนักวิ่งมีชื่อเสียง กูเป็นใครไม่รู้ ชีวิตเหมือนเป็นเส้นขนานกัน” ฝนแผ่ความกังวลออกมาให้เพื่อนรู้
“หยุดดดด!! ออกมาจากมโนแลนด์ก่อนนะมึง เค้าอยากทำความรู้จักค่ะ ไม่ได้ขอแต่งงาน มึงก็ทำความรู้จักเค้าไปด้วย เรื่องจะเป็นยังไงต่อเดี๋ยวมึงก็รู้เอง”
1
1
เจนทำให้เธอสบายใจได้เสมอ
หนึ่งทุ่มตรงทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่จุดรับประทานอาหาร กลิ่นหอมของข้าวกรุ่นไปทั่วบริเวณ ผัดผักรวมร้อนควันฉุยเหมือนเพิ่งปรุงเสร็จหมาด ๆ มัสมั่นน่องไก่มีน้ำสีแดงส้มที่แตกมันออกมาจากกะทิลอยยั่วเย้า ไข่ลูกเขยสีเกรียมกรอบวางเรียงอยู่ในถาดถูกเคลือบด้วยน้ำสีน้ำผึ้งข้น ผักชีซอยเขียวสดที่กระจายอยู่ด้านบนและพริกแห้งทอดกรอบสีแดงเข้มส่งให้ไข่ลูกเขยกลายเป็นภาพศิลปะงดงาม
4
1
ฝน เปรียว นัท ตักอาหารใส่จานแล้วพากันไปนั่งตำแหน่งเดิม เปรียวโบกมือเรียกโค้ชส้มให้มาร่วมวงกัน
“มาต่อเลยพี่ส้ม” ยังไม่ทันที่โค้ชส้มจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เปรียวก็ยิงประโยคที่ทุกคนรอคอย
“ต่อเรื่องอะไรเปรียว” โค้ชสาววัยใกล้สี่สิบอมยิ้ม
“แน่ะพี่ส้ม แกล้งทำเป็นไม่รู้ ก็คราวที่แล้วพี่ส้มทิ้งปริศนาไว้ว่าโค้ชเปอร์มีแฟนไม่ได้ ไงคะ” เปรียวทำเสียงเง้างอด
“อ๋อออออ” โค้ชส้มลากเสียงยาว แต่ก็ยังไม่ยอมคลายปริศนาที่คั่งค้าง
“ลีลา” เปรียวส่งค้อนให้โค้ชส้มวงเล็ก ๆ
แม้จะเพิ่งผ่านไปได้เพียงสองวัน แต่กิจกรรมต่าง ๆ ก็ทำให้ทุกคนก็รู้สึกเป็นกันเองทั้งกับเพื่อนนักวิ่งด้วยกันและกับโค้ช โดยเฉพาะโค้ชส้มที่สวมบท Good Cop ใจดีตั้งแต่แรก
“ก็พวกเธอดูโค้ชเปอร์วัน ๆ พูดแต่เรื่องวิ่ง ชีวิตมีแต่ซ้อมวิ่ง หมดจากซ้อมวิ่งก็ลงแข่ง หรือไม่ก็สอน อยู่แต่ในป่าในเขานั่นแหละ จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน หรือต่อให้มีแฟนจะเอาเวลาที่ไหนไปเทคแคร์เค้า ว่ามะ” โค้ชส้มพูดจบก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่
2
“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้พี่ส้ม คนเราถ้ามีใครพิเศษในใจเดี๋ยวเค้าก็หาเวลาให้เองแหละ” เปรียวแก้ตัวให้แทนโค้ชหนุ่ม
“อ่ะงั้นพี่เสริมคุณสมบัติพิเศษให้อีกคือ พูดน้อย พูดสั้น ทำอะไรชักช้า กว่าผู้หญิงจะรู้ว่าถูกจีบก็นู่นแต่งงานมีลูกไปแล้ว”
1
“เออ คงไม่ทันใจคนยุคนี้หรอกเนอะ” เปรียวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ชะงักนิ่ง
“ยังนะ ยังไม่หมด โซเชียลมีเดียไม่แตะ อีเมลไม่ใช้ มีโทรศัพท์อยู่เครื่องนึงเป็นแบบโบราณที่มีแต่ตัวเลขอ่ะ แกว่าพกไปวิ่งไม่กินแบตดี อยู่ได้หลายวันไม่ต้องชาร์จ แล้วอย่างนี้จะจีบผู้หญิงสมัยนี้ยังไง จริงมะ” โค้ชส้มพยักพเยิด เปรียวตอบรับด้วยตาโตขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะเรื่องที่พี่ส้มบอก แต่เป็นเพราะคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลังพี่ส้มนั่นไง
“ไม่จริง!!” เสียงหนักของโค้ชที่ตอบมาด้านหลัง ทำให้ทั้งเปรียวและฝนนั่งไม่ติดที่ แต่โค้ชส้มก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน หันหน้าไปทางด้านหลังแล้วพูดต่อ
“อ้าว มาก็ดีมีอะไรจะแก้ตัวมั้ยล่ะ ที่ส้มพูดไปน่ะจริงทั้งนั้น”
“พอเถอะ มาตามให้ไปดูอุปกรณ์ทางนู้นหน่อย” พูดเสร็จโค้ชขายาวก็เดินจากไป
“ก็จริงของพี่ส้มเนอะ แบบนี้โค้ชเปอร์มีแฟนไม่ได้หรอก” เปรียวรำพึง
“เห็นมะ” โค้ชส้มยักคิ้วก่อนจะลุกวิ่งตามโค้ชเปอร์ไป
ทีมงานลากบอร์ดล้อเลื่อนที่มีแผนที่ขนาดใหญ่มาตั้งไว้ตรงกลาง โค้ชส้มและโค้ชเปอร์เดินไปยืนขนาบอยู่คนละฝั่งของบอร์ด
“อีกไม่กี่นาที เราจะออกไปวิ่งเทรลกลางคืนกันค่ะ พี่เชื่อว่าเกินครึ่งในที่นี้ไม่เคยวิ่งเทรลกลางคืนมาก่อน และบางคนก็กลัวการวิ่งคนเดียวในที่มืด” โค้ชส้มเปิดประเด็น
“ดังนั้นอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องมีคือไฟฉายคาดหัว” โค้ชเปอร์เสริมพร้อมชูอุปกรณ์ในมือ
“เส้นทางที่เราจะวิ่ง ก็เป็นเส้นทางที่เราได้ผ่านมาแล้วทั้งวันในช่วงเช้าและบ่าย พี่จะให้บัดดี้วิ่งด้วยกัน โดยจะปล่อยไปทีล่ะคู่ แล้วจับเวลา คู่ไหนใช้เวลาน้อยสุดก็ได้คะแนนเต็มไป” คำว่าให้บัดดี้วิ่งด้วยกันของโค้ชส้ม ทำให้ทุกคนโล่งใจไปตาม ๆ กัน
แต่แล้วโค้ชเปอร์ก็เสริมต่อด้วยประโยคดับฝันของทุกคน
“จุดปล่อยตัวจะมีสองจุด คือจุดนี้และจุดนี้” โค้ชเปอร์เคาะไปยังแผนที่สองจุดห่างกัน
"บัดดี้สองคนจะแยกกันวิ่งเดี่ยว แล้วมาเจอกันที่จุดนี้" มือใหญ่เคาะกระดานไปยังจุดตรงกลางของแผนที่
“จากนั้นถึงจะวิ่งลงมายังจุดหมายปลายทางด้วยกัน ซึ่งจุดที่จะมาพบกัน เป็นจุดที่วันนี้เราซ้อมวิ่งขึ้นลงกันมาแล้วหลายรอบ ถึงแม้จะเป็นทางที่ยาก แต่ผมคิดว่าทุกคนคุ้นเคยเส้นทางแล้ว จึงเหมาะที่จะทดสอบครั้งสุดท้ายในความมืด” สิ้นเสียงโค้ชเปอร์ ก็ตามด้วยเสียงฮือฮา พึมพำแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความกังวล
“เรามีโอกาสหลงทางได้มั้ยคะพี่ส้ม” เปรียวยกมือถามเสียงหวั่น
“พี่และทีมติดเชือกสะท้อนแสงไว้ตลอดเส้นทางทุก ๆ ยี่สิบเมตร ไม่มีทางหลงแน่นอน” โค้ชส้มให้ความมั่นใจ
“นอกจากไฟฉายคาดหัว สิ่งที่ควรติดตัวไปคือนกหวีด ซึ่งโดยปกติที่เป้น้ำของพวกคุณจะมีนกหวีดติดมาให้อยู่แล้ว ใครไม่เคยรู้มาก่อน ก็ให้สำรวจเป้ของตนเอง ถ้าไม่มีมาขอยืมที่ทีมงานได้ เป้น้ำใส่น้ำไปแค่ครึ่งลิตรก็น่าจะพอ เพราะจะมีทีมงานรออยู่ที่จุดนี้ และจุดนี้” โค้ชเปอร์ลากนิ้วเป็นวงกลมไปที่จุดสองจุดสีส้มในแผนที่
“เมื่อทุกคนพร้อมแล้วให้บัดดี้ส่งตัวแทนมาจับฉลาก เพื่อหาลำดับในการปล่อยตัว” โค้ชส้มชูกล่องกระดาษใบเล็กพอดีมือขึ้นด้านบน
เนื่องจากโค้ชพี่ส้มเป็นบัดดี้ของเธอ และยังเป็นคนถือกล่องฉลาก ฝนจึงตัดสินใจไม่ลุกขึ้นไป และรอผลสุดท้ายที่เหลือ เปรียวและนัทที่เป็นบัดดี้กันได้ลำดับที่ห้า ส่วนเธอและโค้ชส้มได้ลำดับที่เก้า จากทั้งหมดสิบคู่
“ระยะทางทั้งหมด 6 กิโลเมตร ช่วงแรกที่วิ่งคนเดียวประมาณ 2 กิโลเมตร คำนวณง่าย ๆ เลยนะฮะ จากชาร์ทความชันมันจะมีทั้งช่วงขึ้นเขาเล็ก ๆ ประมาณสามร้อยเมตร แล้วจากนั้นจะเป็นทางราบอีกกิโลกว่า ๆ แล้วถึงจะมีเนินนึงประมาณสองร้อยเมตรทั้งหมดนี่ผมว่า ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงสี่สิบห้านาทีนะฮะ แล้วก็จะถึงจุดนัดพบ”
นัทผู้ซึ่งทั้งเปรียวและฝนยกให้เป็นผู้รู้ที่สุดในกลุ่ม กางแผนที่ใบเล็กที่ได้รับมาอธิบายให้ทั้งสองคนสบายใจก่อนที่จะต้องแยกย้ายกัน
“สี่สิบห้านาทีเลยเหรอ” เปรียวหันมามองหน้าฝนปากเบะ
“ไม่น่ากลัวเท่าไหร่หรอกเปรียว ไฟฉายคาดหัวรุ่นของเปรียวน่ะส่องสว่างไปทั้งป่า ไม่เหมือนวิ่งในความมืดหรอก” ฝนส่งเสียงปลอบใจปนหัวเราะ และตบไหล่เปรียวเบา ๆ
“เปรียวกลัววิ่งคนเดียว ไม่ได้กลัวมืด แต่กลัวที่มันจะเงียบน่ะ"
“เอางี้สิฮะ วิ่งไปด้วยร้องเพลงไปด้วย จะได้ไม่เงียบ” นัทออกความเห็นแล้วกลั้นขำ
“ตลกเหรอนัท” เปรียวค้อนขวับ เสียงเขียว
จุดปล่อยตัวของฝั่งฝนคือชายเขาอีกด้านนึงที่ได้เคยวิ่งผ่านมาแล้วเมื่อช่วงเช้า แต่ในยามสามทุ่มคืนนี้ความมืดสงัดทำให้ทุกอย่างไม่คุ้นตา กลุ่มต้นไม้และภูเขาตรงหน้าดูยิ่งใหญ่และลึกลับเป็นเงาตะคุ่ม นักวิ่งทั้งสิบคนยืนวอร์มร่างกายและยืดเหยียดเกาะกลุ่มไม่ห่างกัน ทีมงานสามคนพูดคุยให้กำลังใจ
ทีมงานคนหนึ่งกดปิดโทรศัพท์หลังจากคุยกับปลายสายเสร็จแล้ว แจ้งว่าอีกฝั่งก็พร้อมเช่นกัน จะปล่อยตัวในอีกห้านาทีข้างหน้า และจะปล่อยคนถัด ๆ ไปในทุก ๆ สองนาที
ฝนและเปรียวได้ฟังก็ใจชื้น หันมายิ้มให้กัน นั่นแปลว่าทั้งข้างหน้าและข้างหลังเราจะมีเพื่อนวิ่งอยู่ไม่ไกลออกไป เราก็ไม่ได้เดียวดายสักเท่าไหร่นักหรอก
“เปรียววิ่งช้า ๆ สิ เดี๋ยวคิวถัดไปก็ตามทัน จะได้ไม่กลัว” ฝนกระซิบ
“เปรียวน่ะวิ่งช้าอยู่แล้วฝน แต่คิวถัดไปคือป้าปุ้ม แกตามทันแน่นอน แล้วก็จะเลยหนีไปน่ะสิ ทีมป้าแกมีสิทธิ์ลุ้นผู้ชนะอยู่ด้วยล่ะ” เปรียวตอบเสียงอ่อย
“อืมม พูดแบบนี้ฝนหนาวเลย เพราะคิวต่อจากฝนคือพี่ราม แกแซงฝนแน่ ๆ แล้วพี่รามคือสุดท้ายแล้วอ่ะเปรียว” ฝนโอดครวญบ้าง
เปรียวออกวิ่งไปแล้วรวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย อีกไม่กี่วินาทีก็ถึงคิวของฝน ไฟวอบ ๆ แวม ๆ ลอดออกมาจากบนเนินเขาเป็นช่วง ๆ แล้วก็ลับตาไป เธอหันไปยิ้มให้พี่ราม แกยกนิ้วโป้งให้ ฝนขยับไฟบนหัวให้เงยขึ้นระดับสูงสุด เพื่อส่องให้เห็นระยะกว้าง ก่อนจะออกวิ่งเมื่อหนึ่งในทีมงานขานชื่อเธอและเวลาเริ่ม
เมื่อเข้ามาในเขตป่า ไฟฉายที่หัวของเธอกระทบกับเชือกที่ผูกไว้ตามทางสะท้อนกลับเป็นแสงนีออน -อ๋ออออ- เธอลากเสียงยาวในใจ เชือกสะท้อนแสงที่พี่ส้มบอกไว้นั่นเอง ติดเยอะแบบไม่ต้องกลัวหลงจริง ๆ
การวิ่งขึ้นเนินในระยะต้นของเส้นทางเป็นไปได้ด้วยดี เธอซอยเท้าถี่ ๆ เพื่อไม่ให้เหนื่อยเกินไปตามคำสอนของโค้ช หากเหนื่อยมาก ๆ ก็เปลี่ยนเป็นการเดินแบบ Power walk แทนที่จะหยุดนิ่ง ใช่แล้ว ตามคำสอนของโค้ชเปอร์คนเดิมเช่นเดิม
1
3
ยังไม่ทันถึงยอดเนิน เธอก็ได้ยินเสียงวิ่งตามข้างหลัง พอหันไปก็เจอกับแสงไฟจ้าแยงตาจนต้องรีบหลบ
“พี่รามสับขึ้นมาเลยเหรอ” ฝนร้องทักชายหนุ่มนักวิ่งวัยสี่สิบผู้ซึ่งรักการปั่นจักรยาน แต่ตอนนี้หันมารักการวิ่งเทรลเพิ่มอีกอย่าง
“พี่รีบขึ้นมา…เป็นเพื่อน…น้องฝนไง” เขาหยุดค้อมตัวเอามือจับต้นขาทั้งสองข้าง ตอบไปหอบไป
“โหย ใจดีจัง ฝนให้วิ่งเป็นเพื่อนต่อไปได้อีกนิดหน่อยนะ แล้วพี่ไปต่อเลยไม่ต้องเกรงใจ” ฝนยิ้มแล้วเริ่มออกวิ่งนำ
เธอรู้แก่ใจดีว่า พี่รามไม่ได้รีบวิ่งขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนเธอ แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นต่างกัน พี่รามมีขาที่แข็งแรงจากการปั่นจักรยานอย่างจริงจัง การวิ่งแม้จะใช้กล้ามเนื้อส่วนที่ต่างจากการปั่น แต่เรื่องนี้ก็ฝึกกันได้ไม่นานสำหรับผู้มีพื้นฐานมาดีแล้วโดยเฉพาะจากกีฬาที่ใช้ขาเป็นหลักเหมือนกัน เป้าหมายของพี่รามคือการลงแข่งไตรกีฬา
1
ทางราบในระยะทางกิโลกว่า ๆ ไม่ยากสำหรับฝน เส้นทางที่กว้างพอสำหรับวิ่งสองสามคน พื้นดินเรียบอัดแน่น ไม่มีสิ่งกีดขวางอะไรให้ต้องระวังมากนัก ซึ่งทำให้ไม่ต่างจากการวิ่งปกติทั่วไป เธอรู้ว่าพี่รามวิ่งในความเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อจะวิ่งเป็นเพื่อนเธอ เพราะในขณะที่เขาวิ่งไปชวนคุยไปไม่มีหยุด แต่เธอกลับไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้มากกว่าสามสี่คำ ในที่สุดเธอก็บอกว่า
“ไปค่ะ พี่รามไปเลย" เธอพูดได้แค่นี้
“แน่ใจนะน้องฝน พี่วิ่งไปจนถึงจุดนัดพบกับโค้ชส้มได้เลยนะ เดี๋ยวพี่ค่อยไปทำเวลาตรงนั้นก็ได้” เขาตอบยาวเหยียดไร้เสียงหอบทั้งที่ยังควงขาไม่หยุด
“ไปเถอะพี่ ไป” เธอยังคงพูดได้ไม่เกินสี่คำถ้าขายังควงไม่หยุดอย่างนี้ล่ะก็ ไม่สามารถอธิบายเหตุผลใด ๆ เพิ่มเติม
พี่รามไปแล้ว เพียงไม่นานก็ไม่เห็นแม้แต่แสงไฟรำไรจากไฟฉายติดหัวของเขา ความเงียบเข้าปกคลุมทันที ฝนได้ยินเสียงเท้าของตัวเองย่ำเป็นจังหวะ ความสงัดทำให้เสียงดังก้องเกินความจริงไปมาก เธอได้ยินเสียงน้ำในเป้กระฉอกชัดเจน ได้ยินเสียงความคิดในหัวชัดเจน
แม้จะไม่กลัวความมืด แต่ก็ไม่ชินกับความมืดที่มาพร้อมกับความเงียบที่ต้องอยู่เพียงลำพัง เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อจะไปถึงจุดนัดพบให้เร็วขึ้น ถึงตอนนั้นก็มีเพื่อนวิ่งแล้ว
เธอยกนาฬิกาขึ้นเช็คระยะ เพราะคิดว่าน่าจะมาได้ไกลเกินหนึ่งกิโลเมตรแล้ว แต่ก็ต้องแปลกใจว่าเพิ่งผ่านไปเพียงหกร้อยเมตร ในความมืดทุกอย่างดำเนินไปช้ากว่าใจของเธอจนน่าโมโห
ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด ไฟก็ส่องสว่างเห็นทางชัดในรัศมีปลอดภัย เอ๊ะ เงาตะคุ่มตรงนั้นคืออะไร อ๊ะ นั่นเสียงอะไรร้องประหลาด อุ๊ย ทำไมพุ่มไม้ตรงนั้นไหว ๆ ฝนทำใจให้เข้มแข็งไว้ ไ่ม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด เธอย้ำเสียงดังในใจ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตัวเองอีกตัวร้องขึ้นว่า โอ๊ย ไม่น่ากลัวอะไร อย่ามาทำเก่ง นั่นน่ะเสียงหมาหอนไกล ๆ ได้ยินมั้ย หมาหอนจะมีอะไร๊
หยุด!!! หยุด!!! เธอทะเลาะกับตัวเองในหัววุ่นวาย แต่เท้าก็ยังคงหมุนควงในความเร็วคงที่
นึกถึงคำของนัทที่ล้อเปรียวว่าให้วิ่งไปร้องเพลงไป ฝนหมดหนทางจริง ๆ ก็ฮัมเพลงที่นึกออกได้เดี๋ยวนั้นเพื่อขจัดเสียงต่าง ๆ ในหัวทำให้เธอจิตใจปั่นป่วน
“หึ่ม ฮึม หึ่ม ฮึม ฮึ๊ม ฮึม พวกเราเหล่ามาชุ๊มนุม ต่างกุมใจรักสมัครสมานนน” จากที่ฮึมเบา ๆ เธอก็เปล่งเสียงออกมาเป็นเพลงให้ดังขึ้น แล้วพบว่ามันช่วยให้เสียงในหัวหายไป ร้องไปวิ่งไปจนมาถึงจุดขึ้นเนินสุดท้าย เธอหยุดดูดน้ำจากเป้ แล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด ซอยเท้าถี่ ๆ พาตัวเองขึ้นเนินไปตามแสงสะท้อนของเชือกอย่างระมัดระวัง
เมื่อโผล่พ้นเนินมาแล้วก็เห็นแสงไฟหลายดวงวอมแวมอยู่ข้างหน้า เสียงโค้ชส้มร้องเรียก “วู้ววววว ทางนี้ฝน”
ทีมงานสองคนวิ่งเข้ามาช่วยปลดเป้หลังของเธอแล้วนำไปเติมน้ำให้ ฝนเดินยิ้มร่าไปหาโค้ชส้ม ชูแขนสองข้างสูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ สองสามที
“เป็นไงกลัวมั้ย” โค้ชส้มถาม
“กลัวสิพี่ นี่ฝนวิ่งไปร้องเพลงไปตลอดทางเลย ไม่งั้นฟุ้งซ่าน" ฝนตอบพลางหัวเราะให้ตัวเอง
ทีมงานส่งเป้ให้เธอ เมื่อติดสลักด้านหน้าของเป้เข้ากับหน้าอกเรียบร้อยก็เอ่ย
“ไปพี่ส้ม ฝนพร้อมแล้ว”
“ฝนไปกับโค้ชเปอร์นะ เดี๋ยวพี่จะช่วยทีมขนของลงไปทางนี้” พูดเสร็จโค้ชส้มกับทีมงานก็พากันขนของเดินจากไปอีกทาง
โค้ชเปอร์ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เธอไม่ได้สังเกต เพราะเข้าใจว่ามีแต่ทีมงาน เขาเปิดสวิทช์ไฟฉายที่หัวจนส่องสว่าง พยักหน้าเรียก แล้ววิ่งนำไปยังจุดที่ต้องวิ่งลงเขา จุดที่วันนี้เราทุกคนซ้อมวิ่งขึ้นลงจนจำต้นไม้ได้ทุกต้น แต่นั่นมันตอนกลางวันที่มองอะไรเห็นชัดไปหมด ในตอนนี้แม้จะมีไฟที่หัว แต่ก็สว่างได้ในรัศมีที่ไกลไม่เกินสามสี่ก้าว
“ผมลงไปก่อน คุณตามไปเมื่อผมเรียก” ว่าแล้วโค้ชก็ดีดตัวเองลงไปอย่างรวดเร็ว เธออ้าปากค้าง คำว่า “อ้าวววว” ติดอยู่ที่ปาก -ทำไมทิ้งกันแล้วล่ะ-
ครู่เดียวเธอก็ได้ยินเสียงเรียกอันเป็นสัญญาณว่าให้เธอไปได้ ซึ่งเธอก็พบว่าเขาลงไปรออยู่ไม่ไกลเพื่อส่องไฟให้เห็นทางชัดขึ้นต่างหาก โค้ชเปอร์วิ่งไปรอเธอในทุก ๆ สิบยี่สิบเมตรเพื่อคอยส่องไฟแล้วไปต่อ ทำแบบนี้จนกระทั่งถึงปลายทาง การลงเขาที่ชันและคดเคี้ยว ทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางต่าง ๆ จึงเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ไม่แพ้เมื่อตอนบ่าย
1
“ขอบคุณค่ะโค้ช” เธอเอ่ยปาก เริ่มออกวิ่ง
“เวลาวิ่งเทรลกลางคืน หลายครั้งก็ต้องช่วยเหลือกันแบบนี้” เขาตอบและวิ่งเคียงข้างไปกับเธอ
“ทางราบนี้อีก … กี่กิโลคะโค้ช” เธอพยายามรวบรวมคำให้เป็นประโยค
“วิ่งสบาย ๆ แบบนี้อีกสองกิโล ขึ้นเนินอีกสองครั้ง ลงอีกสองครั้ง ก็ถึงละ” โค้ชตอบสบาย ๆ
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงสลับเท้าเป็นจังหวะดังก้องเพราะความเงียบสงัด แต่น่าจะไม่ดังเท่าเสียงเต้นของหัวใจเธอ แต่พอนึกถึงคำของโค้ชส้มที่บอกว่า โค้ชเปอร์พูดน้อย พูดสั้น พูดไม่เก่งแล้วยิ่งทำให้เธอท้อใจ โค้ชส้มอาจจะผิดก็ได้นะ ตอนที่เดินไปลำธารนั่นไง โอ๊ย แต่กว่าจะพูดได้ ส่วนใหญ่เอะอะก็มองตา แล้วเนี่ยมืดแบบนี้จะมองตากันเห็นมั้ยยยย ฝนเริ่มคุยกับตัวเองอีกแล้ว
“คุณรู้มั้ยผมได้ยินเสียงคุณที่คิดวุ่นวายดังออกมาเลย” โค้ชเปอร์ทำลายความเงียบ ฝนหยุดกึก ใช่แล้ว!! โค้ชเปอร์อ่านใจคนได้จริง ๆ
“โค้ช ได้ยินจริง ๆ เหรอคะ” ฝนถามออกไปด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ได้ยินเป็นเสียงหรอก แต่มันรู้สึกได้ไง ความเงียบก็แบบนี้ มันทำให้เรารับคลื่นกระแสความคิดได้ง่าย” โค้ชหยุดอธิบาย
“โอ๊ย โล่งอก ไม่งั้นฝนอายแย่” ฝนหัวเราะแล้วออกวิ่งอีกครั้ง
“มีอะไรให้อาย”
“เยอะค่ะ” เธออมยิ้มในความมืด
“คุณอยากชนะมั้ย” โค้ชถามอีกครั้งหลังจากวิ่งไปเงียบ ๆ สักพัก
“คะ? ชนะอะไร?”
“รางวัลจากการเล่นเกมไง อยากชนะมั้ย”
“โธ่โค้ช … ทำเหมือน … คะแนนฝน … เยอะงั้นแหละ” เธอวิ่งไปพูดไปหอบไป
“งั้นหยุดเดินกันก่อนนะ” โค้ชชะลอจังหวะวิ่งจนกลายเป็นเดินในที่สุด
ทั้งสองเดินเคียงกันไปในความสลัว ความเงียบยังคงทำงานของมันเพราะไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา คราวนี้ฝนไม่ปล่อยให้ในหัวของเธอทุ่มเถียงกัน แต่พยายามตั้งสติส่งใจไปอยู่ที่เท้าสองข้างเท่านั้น น่าแปลกที่คราวนี้เหมือนเธอจะได้รับรู้กระแสความคิดของคนข้าง ๆ ที่คล้ายกับคลื่นทะเลยามคลั่ง เธอตกใจจนร้องออกมา
“ฝนได้ยินแล้ว” พลันหันหน้าไปมองคนข้าง ๆ เขาเองก็หันมาหาเธอ แสงไฟสองดวงสาดแสงจ้าเข้าหากันทำให้แสบตาจนต่างฝ่ายต่างหลบ โค้ชปิดไฟที่คาดหัวของเขา แล้วเอื้อมมือมาปิดของเธอ
“มันจะมองไม่เห็นเอานะคะโค้ช” เธอแย้งเสียงอ่อย
“แล้วคุณจะแปลกใจว่า ความมืดจริง ๆ แล้วไม่มืดหรอก” ฝนเชื่อว่าโค้ชพูดจริงทั้งที่เธอยังมองอะไรไม่เห็นในตอนนี้ แล้วสักพักเมื่อสายตาปรับรับกับความมืดได้ ทุกอย่างจึงค่อย ๆ ชัดขึ้น
“จริงด้วย!!”
เธอส่งเสียงดีใจที่ค้นพบว่าในความมืด มันไม่มืดจริง ๆ
เมื่อหันไปมองคนข้าง ๆ ก็เห็นเขามองมาอยู่แล้ว คราวนี้เธอเห็นแววตาเขาเปล่งประกายชัด -เอาล่ะ ทีนี้ก็เล่นเกมจ้องตาแบบที่โค้ชถนัดได้แล้วสินะ- เธอแอบล้อเลียนเขาในใจ
“เมื่อกี๊คุณบอกว่าได้ยินแล้ว คุณได้ยินอะไร” โค้ชถามพร้อมกับเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“ฝนได้ยินเสียงความคิดโค้ชไงคะ” ฝนก้าวเท้าตามเดินเคียงไป
“มันเป็นยังไง”
“มัน …. เหมือนคลื่นในทะเลตอนมีพายุค่ะ มันไม่เรียบ ฝนก็อธิบายไม่ถูก"
“อืมมม” ส่งเสียงออกมาเบา ๆ แล้วโค้ชก็เงียบไป
“โค้ชคิดอะไรอยู่ล่ะคะตอนนั้น”
“คุณล่ะ” โค้ชตอบด้วยคำถามอีกแล้ว
จะตอบยังไงดี ฝนอยากจะบอกออกไปทั้งหมดที่เธอคิด แต่ก็เรียบเรียงไม่ถูก กลัวว่าถ้าบอกแบบนี้ จะเป็นแบบนั้น บอกแบบนั้นจะไม่งาม ควรจะเริ่มแบบไหนดีนะ
“ผมคิดเหมือนคุณ" เสียงอ่อนนุ่มของโค้ชทำให้เธอใจหวิว
2
2
คิดเหมือนกันเลยเหรอ จริงเหรอ ใช่จริง ๆ นะ ฝนหัวใจพองโต ทั้งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังระรัวเหมือนจะระเบิด ไม่ได้สิ!! เสียงในหัวอีกตัวร้องขึ้น เดี๋ยวก็โดนเจนด่าว่าเป็นมโนgirl อีกหรอก คิดเหมือนกันคืออะไร เหมือนจริงรึเปล่าก็ไม่รู้
1
“ที่คุณได้ยิน ก็เหมือนกับที่ผมได้ยิน … ทะเลที่กำลังคลั่ง”
โค้ชขยายความโดยที่เธอไม่ได้เอ่ยถาม
“เอ่อ …. ฝนก็ไม่ชำนาญ ที่ได้ยินมันแว่บเข้ามาในหัวเอง ไม่ได้เป็นคำพูดแต่เป็นกระแสความคิด มันไม่ค่อยชัดหรอกค่ะโค้ช” เธอแย้งเบา ๆ
“แล้วอย่างนี้ชัดพอมั้ย” คนตัวสูงพูดจบก็คว้ามือเธอเข้าไปแตะที่หน้าอกข้างซ้าย เธอสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่ไม่ปกติ มันเต้นดังระรัวเหมือนจะระเบิด
2
2
ฝนส่ายหน้าทั้ง ๆ ที่ใจหวิวจนจะปลิวขาด เธออยากให้เขาพูดมันออกมามากกว่า
1
“แบบนี้น่าจะชัดนะ”
3
โค้ชส่งสายตาร้อยความหมายลึกซึ้ง แล้วดึงเธอเข้าไปกอด มือข้างนึงกดหัวเธอเข้าไปที่หน้าอกอย่างนุ่มนวล ส่วนมืออีกข้างก็โอบกระชับที่แผ่นหลังอ่อนโยน
2
1
ฝนรู้สึกคล้ายหล่นลงไปในหลุมอากาศที่ไร้แรงโน้มถ่วง เธอลอยคว้างเหมือนลูกโป่งที่อัดแก๊ซแน่น ร่างกายคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนเธอต้องยกแขนสองข้างยึดตัวของเค้าไว้ ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ
เธอหลับตาพริ้ม เก็บอารมณ์หวานที่หล่นเรี่ยราดรอบตัวจนครบ พึมพำเสียงอู้อี้กับหน้าอกแน่นของคนตัวสูง
2
“พี่ส้มผิดไปแล้วค่ะ”
2
บันทึก
18
48
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
นิยาย - พบกันที่เส้นชัย
18
48
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย