บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือที่หลาย ๆ ท่านคุ้นกันในชื่อ บัตรทอง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฝน หลายรัฐบาล ถูกเปลี่ยนชื่อโครงการ ถูกยกเลิกแล้วนำกลับมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ จนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นนโยบายที่ครองใจประชาชนได้อยู่ตลอด
แต่ทว่า เบื้องหลังนโยบายที่สวยหรูนี้ มีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนไว้ใต้พรม หลายท่านอาจจะพอเห็นข่าวทำนองนี้ผ่านตาไปบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา วันนี้เราจะมาเจาะลึกลงไปถึงรากถึงโคนว่า ใครกันบ้างที่ได้ประโยชน์ แล้วใครกันคือฝ่ายที่เสียประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งร่อง
เป้าหมายที่คาด:
ประชาชน: การเข้าถึงการรักษาที่สะดวกที่สุดและประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุดอย่างถ้วนหน้า
คลินิกหน่วยปฐมภูมิ: โอกาสทางรายได้ที่มากขึ้นจากการเป็นปราการด่านแรกที่ผู้คนจะมาใช้บริการ
โรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน: มีประสิทธิภาพและการดูแลผู้ป่วยต่อจำนวนบุคลากรที่ดีขึ้น เพราะมีคลินิกหน่วยปฐมภูมิช่วยแบ่งเบาจำนวนคนไข้ที่เจ็บป่วยในเบื้องต้นไปให้
สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข : นโยบายเข้าเป้า สร้างผลงานที่ดี ได้คะแนนนิยมจากฝั่งประชาชน
ความเป็นจริง:
ประชาชน: การเข้าถึงคลินิกหน่วยปฐมภูมิยากลำบากเพราะข้อมูลจากทาง สปสช. และเขตให้บริการไม่อัปเดต บางคลินิกปิดไปแล้ว บางคลินิกเดินทางเข้าถึงไม่สะดวก
คลินิกหน่วยปฐมภูมิ: โกงกันเป็นพัลวัน โกงจนสามารถปิดที่เก่าหนี แล้วนำเงินที่ได้จากการเบิกไปเปิดเป็นคลินิกชื่อใหม่ได้
โรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน: ขาดทุนย่อยยับหลายล้านจากการขาดเงินสนับสนุนจาก สสทช.
สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข: โดนสวดทั้งขึ้นทั้งร่องในข้อหาวางระเบียบขั้นตอนด้านการเงินที่ไม่รัดกุม มีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตได้
https://mgronline.com/crime/detail/9630000070940
ลำดับความความเดือดร้อนแบบฉบับงูกินหาง
1 คลินิกอบอุ่นหน่วยปฐมภูมิหลายแห่ง เจ้าเล่ห์ ทำการสวมสิทธิ์ผู้ที่ขึ้นทะเบียนกับสถานพยาบาลของตน แอบอ้างชื่อว่ามาตรวจรักษาจริงหรือปลอมแปลงแก้ไขข้อมูลทางกายภาพของผู้ป่วยเพื่อให้เข้าเกณฑ์การตรวจคัดกรอง และนำเลขบัตรประชาชนเข้าไปกรอกในระบบเพื่อนำไปเบิกจ่ายกับ สปสช.
2. สปสช. อนุมัติเงินจ่ายให้กับคลินิกเหล่านั้นตามเอกสารเบิกงบโดยขาดการตรวจสอบที่ละเอียด
3. โรงพยาบาลคู่สัญญาที่รับผู้ป่วยมาเริ่มขาดทุนเพราะการจัดสรรปันงบจากสปสช. ขาดหลักธรรมาภิบาล
4. สปสช. เริ่มมองเห็นปัญหา เร่งตรวจสอบและทำการทวงเงินที่ถูกโกงหลายสิบล้านไปจากคลินิกหน่วยปฐมภูมิที่ทุจริต
5. คลินิกหน่วยปฐมภูมิที่ทุจริต หัวหมออีกครั้ง ถอดฉลากเหล้าเดิม ล้างเนื้อแล้วตัวแล้วแปะฉลากใหม่ หลายที่ทำการปิดคลินิกเดิมแล้วหนีไปตั้งคลินิกใหม่ ปรับโครงสร้างใหม่ให้ตามตรวตเช็คยากขึ้น ซึ่งทางนิตินัยก็สามารถอ้างได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาที่คลินิกเดิมทำไว้ เพราะคนละชื่อกัน จึงไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนั้นคืน
6. โรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มเห็นท่าไม่ดี แบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว แถมยังขาดความชัดเจนจากทาง สปสช. เรื่องเงินสนับสนุน จึงเริ่มขอยกเลิกสัญญา
7. ประชาชนเริ่มเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้าจากการยกเลิกคู่สัญญาของโรงพยาบาล รวมถึงขาดข้อมูลที่อัปเดตว่าคลินิกหน่วยปฐมภูมิไหนที่ยังเปิดอยู่ และสามารถไปรักษาได้
8. สปสช. เซ็นสัญญากับคลินิกเอกชนใหม่หลายแห่งเข้าร่วมบริการบัตรทอง ทดแทนคลินิกเดิมที่โดนยกเลิกคู่สัญญา หรือปิดตัวหนีลงไป
9. กลับไปอ่านข้อ 1
https://www.moneyguru.co.th/lifestyle/articles/วิธีการย้ายสิทธิเปลี่ยนหน่วยบริการสำหรับบัตรทอง
สำหรับเรื่องนี้ ทางสปสช. ก็ไม่ได้นิ่งดูดายซะทีเดียว ออกมาตรการป้องกันทุจริตในแบบ“สวมสิทธิ” เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกนั่นก็คือ เปลี่ยนการจัดสรรงบจ่ายเงินแบบเหมาจ่าย คือจ่ายให้หน่วยบริการโดยตรง มาเป็นการจ่ายแบบตามผลงาน
การจ่ายแบบตามผลงานก็คือ จะมีการพิสูจน์ตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตังค์ หากเลือกที่จะรับสิทธิบริการใดก็จะได้รับคิวอาร์โค้ด พร้อมแจ้งหน่วยให้บริการที่ใกล้ที่สุด จากนั้นนำคิวอาร์โค้ดนี้ไปยื่นรับบริการได้เลย คลินิกให้บริการก็จะบันทึกไว้ และข้อมูลนี้ก็จะส่งตรงมาที่สปสช. ก็จะสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
นี่จะใช่มาตรการปิดตายการทุจริตที่เข้าเป้าไหม บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
