2 เม.ย. 2021 เวลา 21:59 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 13 - ขอโทษ
“คุณดรีมขี่จักรยานคล่องเหมือนกันนะครับ” เจ๋งส่งสายตาให้หญิงสาวนักวิ่งด้วยความชื่นชมจริงใจ ในขณะที่กำลังส่งจักรยานคืนให้กับทางร้านให้เช่าจักรยาน เพราะเส้นทางที่เป็นดินผสมทรายในบางช่วงก็ไม่ง่ายสำหรับการปั่นจักรยาน แม้จะเป็นรุ่นที่มีล้อใหญ่พิเศษเพื่อเส้นทางแบบนี้โดยเฉพาะก็ตาม เขาคิดว่าสำหรับนักวิ่ง เส้นทางแบบนี้ให้วิ่งน่าจะสบายกว่า
“อาชีพเก่าดรีม ทำให้ต้องหัดทุกอย่างเลยค่ะ แต่ก็เป็นเหมือนเป็ดนะคะคุณเจ๋ง ทำนู่นได้นิด ทำนี่ได้หน่อย แต่ไม่เก่งสักอย่าง" ดรีมถ่อมตัวด้วยเสียงหัวเราะน่ารัก
“โอ๊ะ ขี่จักรยานแบบนี้ไม่ถือว่าได้นิดหน่อยหรอกครับ ดูท่าทางทะมัดทะแมงมาก เอ หรือว่าจะข้ามไปสายไตรกีฬาครับเนี่ย”
“ดรีมก็มอง ๆ อยู่ค่ะ แต่ติดตรงที่ว่ายน้ำดรีมไม่คล่องเลย”
“ผมคิดว่า ถ้าคุณดรีมตั้งใจจะทำอะไรจริง ๆ ก็คงฝึกฝนจนเก่งได้แน่ ๆ ครับ”
“โอ้โห อย่ามองว่าดรีมเป็นคนเอาจริงเอาจังอะไรแบบนั้นเลยค่ะ” เธอยิ้มเก้อ ๆ เมื่อได้ยินประโยคที่ยกย่องเกินจริงไปมากสำหรับเธอ
ทั้งสองคนคืนจักรยานเรียบร้อยและ กำลังเดินมุ่งหน้าไปนั่งรอโค้ชส้มและคณะที่จุดนั่งพักใกล้ที่ทำการฯ พลางนั่งคุยกันแลกเปลี่ยนเรื่องทั่ว ๆ ไปกันอย่างสบาย ๆ
“ผมมองอย่างนั้นแหละครับ อย่างน้อย ๆ นั่นก็คือจุดหลักที่ทางพวกเราเลือกคุณดรีมให้มาเป็นพรีเซนเตอร์”
“ขอบคุณค่ะ ดรีมจะตั้งใจและไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ” เธอยิ้มสดใส
“แล้วคุณเจ๋งล่ะคะ เล่นกีฬาเป็นประจำเหมือนกันใช่มั้ยคะ” ดรีมถามขึ้นบ้าง
“ไม่เชิงครับ เรียกว่าออกกำลังกายประจำมากกว่า ส่วนใหญ่ผมอยู่ในยิมซะมาก ไม่ค่อยได้ออกกลางแจ้งเท่าไหร่”
“ถึงว่า”
“ดูสำอางใช่มั้ยครับ” เจ๋งดักคอ หญิงสาวจึงหัวเราะเก้อ
“ดรีมเลิกตัดสินคนจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอกแล้วค่ะ” น้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้เจ๋งหันมามองแปลกใจ
1
“พูดแบบนี้แสดงว่าเมื่อก่อนเคย”
“ก็เป็นตามธรรมดาค่ะ การที่เราอยู่ในวงการที่เปลือกคือทุกสิ่งทุกอย่าง การคบหากันแบบฉาบฉวย เราก็ตัดสินกันและกันอย่างเร็ว ๆ ด้วยเปลือกนี่แหละค่ะ แล้วก็หลงเชื่อเอาจริงเอาจังว่าเปลือกนั้นเป็นตัวตนของคนนั้นจริง ๆ แต่ที่แย่ที่สุดก็คือ เราดันไปเชื่อว่าเปลือกของเราเป็นตัวเราด้วยนี่สิคะ”
2
“ผมว่าก็เป็นกันทุกวงการนะครับ อย่างสายงานธุรกิจ เราก็มองกันภายนอกนี่แหละครับมันดูกันง่ายดี อย่างผมถ้าไปติดต่อลูกค้ารายใหญ่ ๆ เค้าก็ตัดสินกันที่ว่าผมขับรถอะไร ใส่นาฬิกา เสื้อสูท รองเท้าแบรนด์ไหนเหมือนกันครับ ในการพบปะกันเชิงธุรกิจ ก็ต้องทำให้เค้าเชื่อมั่นว่าเราสามารถช่วยทำให้สินค้าหรือบริการเค้าโดดเด่นเหนือคู่แข่งได้ ซึ่งจะมีอะไรทำได้ในแว่บแรกนอกจากเปลือกที่หุ้มเราล่ะครับ”
น้ำเสียงอธิบายง่าย ๆ โดยไม่ได้ยกตนว่ารู้มากกว่า หรือกำลังสอนสั่งของเขา ทำให้เธอรู้สึกสบายใจที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยต่อไป
“ที่คุณเจ๋งพูดมา ดรีมก็เข้าใจได้นะคะ แต่สำหรับวงการมายา ความฉาบฉวยมันเหมือนจะอยู่คงทนถาวรเหลือเกินค่ะ มันไม่ใช่แค่แว่บแรก แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยได้เห็นตัวตนจริง ๆ ของใครต่อใครเลยค่ะ” น้ำเสียงเหม่อคล้ายกำลังมองภาพความหลังในอากาศ
“เจ็บมาเยอะสินะครับ” เจ๋งพยักหน้าเชิงเข้าใจ
“มากเลยล่ะค่ะ” เธอยิ้มด้วยปาก แต่ดวงตาเคลือบด้วยความหม่น
“เห็นคุณดรีมให้สัมภาษณ์ตลอดว่าพอมาวิ่งแล้วช่วยทำให้ชีวิตกลับมามีความหมายอีกครั้ง ผมก็พอจะเดาได้ว่าก่อนหน้านั้นคงเจอมาหนักมากแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ลาออกจากวงการนางแบบ" เจ๋งส่งคำถามผ่านทางสายตาหลังพูดจบ
“ไม่เชิงว่าลาออกหรอกค่ะ แต่มันกลับมาไม่ไหว” เธอยิ้มเศร้าพร้อมส่ายหัวน้อย ๆ
เจ๋งไม่รู้สาเหตุว่าอะไรทำให้เธอกลับเข้าวงการไม่ได้ เพราะข่าวเก่า ๆ ที่เขาหามาก่อนที่จะได้ร่วมงานกัน มีแค่ว่าเธออำลาวงการ และข่าวซุบซิบเล็กน้อยว่าเธอผิดใจกับเพื่อนในกลุ่มนางแบบ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลัก เขากำลังชั่งใจว่าควรจะสอบถามดีหรือไม่ เธอก็โพล่งขึ้นมาเหมือนอัดอั้นตันใจ
“ดรีมท้องน่ะค่ะ” เจ๋งต้องบังคับให้ตัวเองทำหน้าปกติ เพื่อรักษาภาพความเป็นมืออาชีพเอาไว้ แต่ข้อมูลนี้ทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย
1
“แค่มีลูกก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่นะครับ นางแบบที่มีลูกก็เยอะไป”
“ปัญหาไม่ใช่แค่ท้องค่ะ แต่คือทำไมถึงท้อง และหลังจากคลอดต่างหากค่ะคุณเจ๋ง" รอยหม่นเศร้ายังไม่หายไปจากดวงตาเธอ
“คุณดรีมครับ ถ้าสบายใจที่จะเล่าก็เล่าได้ ผมพร้อมรับฟังและเรื่องนี้จะไม่หลุดไปที่ไหน” เจ๋งรู้สึกถึงความอัดอั้นที่เอ่อล้นมาจากตัวเธอ ไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูแข็งแรง แข็งแกร่งและสดใส ยิ้มทีทำให้บรรยากาศสว่างไสวไปหมด จะมีความเศร้าที่ซ่อนลึกอยู่ในแววตามากมายเช่นนี้ หากเขาจะช่วยคลายมันได้ด้วยการรับฟัง เขาก็ยินดี
ดรีมไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ ๆ เธอถึงคิดอยากจะเล่าเรื่องส่วนตัวที่เก็บไว้ลึกที่สุดในซอกของหัวใจให้กับผู้ชายคนนี้ฟัง แต่เธอรู้ว่าเขาจะปกป้องชื่อเสียงของเธอไม่ให้มัวหมองแน่นอน เพราะเธอคือตัวแทนของสินค้าที่เขาดูแลอยู่ นอกจากนั้นยังเป็นน้ำเสียงที่บ่งบอกความจริงใจ แววตาที่เปิดเผย และการสนทนาที่ลึกซึ้งและไม่กลวงไม่โหล เรื่องราวของเธอที่ไม่ค่อยได้เปิดเผยต่อใครเท่าไรนัก จึงออกมาจากปากเธออีกครั้ง พร้อมน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอ
“วู้ วู้ ฝนทางนี้ จอดก่อนมั้ยคะโค้ชเปอร์” เสียงคุณหวีที่นั่งพักเหนื่อยอยู่กับขวัญ ตะโกนเรียกเมื่อเห็นฝนวิ่งตามโค้ชเปอร์ลงมา
โค้ชขายาวหยุดใกล้กับสองสาวที่นั่งพักอยู่ และหันไปยิ้มให้กับฝนที่กำลังตามลงมาติด ๆ
“วิ่งลงเขาคล่องขึ้นนะ” เสียงชมเชยอ่อนโยน
“ครูดีค่ะ” ฝนยิ้มหวานประจบ
คุณหวีกระแอมเบา ๆ เรียกความสนใจจากคนทั้งสอง
“โอ๊ะ ยังไม่ได้แนะนำให้โค้ชรู้จักเพื่อนฝนเลยค่ะ นี่กมนกานต์เพื่อนสนิทของฝนเองค่ะ”
“เจอตัวจริงซะทีครับ ได้ยินแต่ฝนพูดถึง จะให้ผมเรียกว่าคุณกานต์ หรือคุณหวีครับ” โค้ชเปอร์ถามยิ้ม ๆ
“เรียกกานต์ดีกว่าค่ะ ฝนนินทาเยอะมั้ยคะ” คุณหวีหันไปยิ้มกับฝน
“ไม่ได้นินทาเลยครับ มีแต่ชื่นชม เห็นว่าอยากนัดให้ผมได้เจอกับคุณกานต์ จะได้ให้ช่วยวางแผนการลงทุน แล้วก็จัดการอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ”
“โอ้ ยินดีค่ะ ไว้เรานัดเจอกันที่กรุงเทพนะคะ ตอนนี้จะปล่อยให้โค้ชกับฝนวิ่งต่อล่ะค่ะ เดี๋ยวจะกลับขึ้นมามืดค่ำไม่ทันได้กินหมูกระทะ”
“หืมมมม หมูกระทะเลยเหรอ บนภูกระดึงเนี่ยนะ” ขวัญหทัยที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ โพล่งขึ้น
“อ้าว ขวัญไม่ได้ยินล่ะสิ เย็นนี้มีหมูกระทะจ้ะ เรารีบไปกันเถอะ เผลอ ๆ จะถึงพร้อม ๆ กับพวกนักวิ่งที่วิ่งกันสองรอบนั่นแหละเราสองคน” เธอบ่นพึมพำเมื่อนึกเปรียบเทียบระยะเวลาในการขึ้นเขาของพวกเธอกับเหล่านักวิ่ง
ฝนและโค้ชเปอร์ วิ่งลงมาถึงด้านล่างของทางขึ้นภูกระดึง ลงเวลาและหยิบใบเวลาติดมือกลับไปด้วยเพราะเป็นคู่สุดท้าย เพื่อนำขึ้นไปประกาศผลให้กับเหล่าสมาชิก
“พักก่อนมั้ยฝน”
“ขอพักนิดนึงค่ะพี่เปอร์ วิ่งลงมายาว ๆ ติด ๆ กันแบบนี้ปวดเข่าเหมือนกันนะคะ” เธอพูดพลางยืดเส้นที่ขาด้วยท่าต่าง ๆ
“มา พี่ช่วย" เขานั่งลงช่วยจับขาของเธอทั้งสองข้าง ทั้งกด นวดและดึงไปตามแนวเส้นเพื่อให้กล้ามเนื้อที่ทำงานติดต่อกันได้ผ่อนคลาย คนมือใหญ่ทำหน้าที่ไปอย่างตั้งใจ สักพักจึงรู้สึกถึงความเงียบรอบ ๆ ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเธอมองจ้องมาด้วยแววตารักใคร่อ่อนโยน เขาสบตานั้นบอกความรู้สึกที่ตรงกันกลับไป
“พี่ขอโทษ" ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น
“ขอโทษเรื่องอะไรคะ” เธอเอียงหน้าแววตาสงสัย
“หึงงี่เง่า” เสียงพึมพำในลำคอ ฝนหัวเราะกิ๊ก
1
“น่ารักดีค่ะพี่เปอร์ แต่อย่ามากไปกว่านี้นะคะ เอาพอเป็นสีสัน ฝนว่าการหึงหวงกันบ้างก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีตัวตนมีคุณค่า แต่ถ้ามากไปมันก็เหมือนไม่เชื่อใจกัน แล้วก็เหมือนดูถูกตัวเอง”
“ดูถูกตัวเอง?” แม้ปากจะถาม แต่คนตัวสูงยังคงช่วยจับขายืดเส้นให้กับคนตัวเล็กอยู่ไม่หยุด
“ก็ดูถูกตัวเอง กลัวว่าสิ่งที่เคยทำให้อีกฝ่ายนึงชอบอาจจะไม่ดีพอแล้ว” ฝนอธิบาย
“พี่ไม่ถึงขั้นนั้น พี่เชื่อใจฝน พี่ยังมั่นใจในตัวเอง พี่แค่…” เขาพยายามนึกคำที่เหมาะสม
“แค่ อะไรคะ”
“อิจฉามั้ง”
“อิจฉาอะไรกันคะ”
“อิจฉาอดีตที่เค้าเคยมีกับฝน อิจฉาที่เค้าเรียกฝนในชื่อที่ไม่มีใครเรียก อิจฉาที่เค้ายังอยู่ใกล้ชิดแสดงความห่วงใย ดูแลฝนได้ แต่พี่ทำไม่ได้ ทำต่อหน้าใครไม่ได้" โค้ชหนุ่มเรียบเรียงอธิบายสิ่งที่ใจคิด
“เปิดเผยเลยมั้ยคะ”
เธอถามเสียงจริงจัง โดยไม่สนใจความอิจฉาที่เขาร่ายยาว เธอรู้ว่าอารมณ์พวกนั้นมาแล้วเดี๋ยวก็ไป ยิ่งถ้าความสัมพันธ์ของสองคนรุดหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะกลบลบอดีตพวกนั้นไปเร็วเท่านั้น ความอิจฉาในช่วงแรกมักจะเกิดจากที่คนสองคนที่ยังรู้จักกันไม่มากพอ
“อย่าเลย เดี๋ยวจะฝนจะเสียงาน ตอนนี้สติพี่ดีละ ไม่งี่เง่าแล้ว” เขายิ้มเก้อ ๆ
“งั้นฝนไม่ต้องถูกทำโทษแล้วใช่มั้ยคะ” ฝนส่งสายตาระยิบแวววาว
เขาลุกขึ้นยืน ส่งมือให้คนที่นั่งอยู่ เมื่อสองมือกุมกันแน่นกระชับ เขาออกแรงเพื่อดึงเธอขึ้น มองตอบด้วยสายตาวิบวับอ่อนหวานซ่อนเร้น ตอบเสียงเบา “ฝนทำโทษพี่ได้”
1
ทุกคนยืนรวมกลุ่มกันที่สนามหญ้าใกล้ลานที่ลูกหาบวางสัมภาระ เพื่อรับข้อมูลก่อนที่จะแยกย้ายนำสัมภาระเข้าเต็นท์หรือบ้านพัก ก่อนที่จะมาพบกันอีกครั้งที่ร้านหมูกระทะในเวลาทุ่มตรง
“กานต์กับฝนไปพักบ้านด้วยกันมั้ย ขวัญให้โค้ชส้มจองบ้านหลังใหญ่ไว้ให้ มีสองห้อง ห้องนึงพี่เจ๋งกับกอล์ฟ อีกห้องขวัญนอนกับคุณดรีม ในห้องก็ยังเหลืออีกสองเตียง มีห้องน้ำแล้วก็เครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ”
ขวัญหทัยเอ่ยชวน เธอรู้ว่าการเดินขึ้นภูกระดึงครั้งแรกนี้จะต้องสาหัสสำหรับพนักงานออฟฟิศที่ไม่ชินกับการระหกระเหินกลางป่าเขา ถ้าให้ต้องมานอนเต็นท์อีก เธอแย่แน่นอน
คุณหวีมองหน้าเพื่อนรัก ด้วยความสนิทสนมและรู้ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเอ่ยเธอก็รู้ว่าควรตอบความปรารถนาดีของขวัญหทัยอย่างไร
“กานต์ไปนอนด้วย โอ๊ย แค่ได้ยินว่ามีเครื่องทำน้ำอุ่นก็ไปแล้วขวัญ” เธอทำเสียงตื่นเต้น
“แกนอนเต็นท์คนเดียวได้ใช่มั้ย นอนใกล้กับเพื่อน ๆ นักวิ่งน่ะดีแล้ว พรุ่งนี้เช้าเค้านัดกันตีสี่แกจะได้ไม่ต้องตื่นมาทำเสียงดังให้ฉันรำคาญ” แม้คุณหวีจะพูดออกมาแบบนั้น แต่สายตาที่ส่งมาเป็นนัยล้อเลียน ทำให้ฝนรู้ว่าเพื่อนเธอกำลังจัดฉากบางอย่างให้ จึงแอบหยิกเอวเร็ว ๆ หนึ่งที แล้วฝากฝังกับขวัญหทัย
“งั้นฝนฝากเพื่อนด้วยนะขวัญ”
“สบายมาก เดินขึ้นเขามาด้วยกันจนสนิทกันแล้วล่ะ” ขวัญตอบมาอย่างอารมณ์ดี แล้วพยักหน้าชวนคุณหวีให้มุ่งหน้าไปทางบ้านพัก ส่วนฝนก็เดินไปทางลานกางเต็นท์ที่สมาชิกคนอื่น ๆ ยืนรวมพลอยู่
หมูกระทะบนยอดภูสูง ในฤดูที่อากาศเย็นเยียบตั้งแต่พระอาทิตย์ลับแนวเขาไป สร้างความสุขสันต์ให้กับทั้งนักวิ่งและนักเดิน โชคดีที่พี่ส้มได้แจ้งเจ้าของร้านไว้ล่วงหน้าถึงจำนวนสมาชิก ทั้งกิจกรรมที่ทำ ทางร้านจึงมีของมาเติมได้ตลอดเวลาไม่พร่องให้กับผู้หิวโหยที่ใช้แรงมากกว่าคนปกติถึงสองเท่า ซึ่งนั่นก็หมายถึงกินมากกว่าเป็นสองเท่าเช่นกัน เสียงหัวเราะพูดคุยดังระงมไปทั้งสองร้านหมูกระทะ
แม้ฝนและโค้ชเปอร์จะไม่ได้นั่งด้วยกัน แต่ก็สื่อสารผ่านทางสายตาให้กันตลอด ไม่ว่าเขาจะเดินไปพูดคุยกับกลุ่มนักวิ่งทางไหน สุดท้ายก็ไม่พ้นเหลือบแลมาที่คนตัวเล็กที่นั่งหน้าแป้นโดดเด่นในสายตาเขาเสมอ และทุกครั้งไปก็จะเจอสายตาหวานละมุนตอบกลับทำให้ใจเขาอิ่มอุ่น
“อ่ะ ฉันเห็นละ ว่าแกกะโค้ชคุยกันยังไง” คุณหวีหันมากระซิบ
“อือ ฮึ” ฝนตอบรับเบา ๆ
“ตาหวานเชื่อมกันแบบนี้ เผด็จศึกเลยมั้ยคืนนี้” เสียงยั่วเย้าของคุณหวี ทำให้ฝนหลุดขำกิ๊กหันไปตีเผียะที่ต้นแขน
“นิยายแกเนี่ยไม่ดูสถานที่เลยนะ นอนเต็นท์กันเนี่ยนะคุณหวี"
“อ้าว ในนิยายฉันจะเขียนบรรยายว่าพื้นมันแข็งโป๊กแถมลาดเอียงละยังมีหินตะปุ่มตะป่ำไปทำไม ก็เน้นไปตอนที่โรมรันพันตูไปเลยสิ” คุณหวีกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคัก ทำให้ฝนหัวเราะตาม
“สาว ๆ หัวเราะอะไรกันคะ”
ฝนและคุณหวีหันขวับมาพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มอยู่ข้างหลัง
“อ้าวพี่เจ๋ง มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” คุณหวีทักออกไป
“เรนนี่ คุณแม่โทรมา” เจ๋งยื่นโทรศัพท์ให้ เธอขมวดคิ้ว แม่ใคร? แต่เมื่อชะโงกหน้าไปเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเธอก็รีบคว้าโทรศัพท์มากดรับสายทันที
“แม่จ๋า รอแป๊บนะเดี๋ยวฝนหาที่เงียบ ๆ ก่อน" ฝนลุกเดินออกมาจากร้านหมูกระทะ เลี่ยงออกมาจากเสียงอึกกระทึก
“ฮัลโหล แม่โทรเข้าเครื่องพี่เจ๋งทำไมเนี่ย” เธอถามไปด้วยความสงสัย
“ก็แม่โทรเครื่องฝนไม่ติด” เสียงปลายสายตอบกลับมา
“ไม่ใช่แม่ ฝนหมายถึงว่า แม่รู้ได้ไงว่าต้องโทรหาที่เครื่องพี่เจ๋ง” เสียงที่ถามยังไม่ผ่อนคลาย นึกฉุนขึ้นมาว่าเจตนิพัทธ์เจ้ากี้เจ้าการอะไรอีกรึเปล่า
“อ้าว ลืมไปแล้วล่ะสิ ก็ฝนบอกแม่เองว่าจะขึ้นไปทำงานบนภูกระดึง แล้วเจ๋งก็ไปด้วย”
“อ๋ออออ โอเคค่ะ แล้วไป นึกว่าพี่เจ๋งมาวุ่นวายอะไรกับแม่”
“ถ้าฝนไม่ชอบ ครั้งต่อไปแม่ไม่โทรเข้าเครื่องเจ๋งก็ได้นะ แม่นึกถึงเมื่อสมัยก่อนที่ทำงานด้วยกันแม่โทรหาฝนไม่ได้ ก็โทรหาเจ๋งนี่แหละ ลืมไปว่าฝนยังโกรธเค้าอยู่” แม่ส่งเสียงขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไรแม่ ที่จริงฝนก็ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว แต่ไม่ได้จี๋จ๋าเหมือนเคย ก็ทำงานด้วยกันไปตามหน้าที่”
ฝนคุยจิปาถะกับแม่อยู่ไม่นานก็วางสายไป พอหันกลับมาก็เห็นเจ้าของโทรศัพท์ยืนยิ้มกริ่มรออยู่
“ดีใจที่ได้ยินว่าเรนนี่ไม่โกรธพี่แล้ว”
“ไม่ใช่ไม่โกรธอย่างเดียวค่ะ ไม่รู้สึกอะไรด้วยแล้ว” กำแพงที่มองไม่เห็นหล่นลงตรงหน้าระหว่างเขาและเธอทันที
“ยังไม่ต้องรู้สึกอะไรก็ได้ แค่ไม่โกรธพี่ก็ดีใจมากแล้ว” เขาพูดเสียงอ่อนโยนจริงใจ
“พี่เจ๋ง เอาให้เคลียร์ไปเลยนะ ฝนหายโกรธพี่ ให้อภัยไปหมดแล้ว ฝนโตขึ้นได้ก็เพราะพี่ ถ้าไม่เจ็บจากพี่ฝนก็อาจจะไม่ได้เรียนรู้วิธีรักตัวเอง ฝนอยากขอบคุณพี่นะ แต่ไม่ดีกว่า เพราะหักลบกับที่พี่ทำแย่ ๆ กับฝนแล้วก็หายกัน” เสียงอธิบายเข้ม ๆ ของฝนทำให้ความหวังที่คล้ายจะมีอยู่ สลายหายไปในทันที
เธอเห็นแววสลดวูบในตาเขาชัดเจน แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าผ่านไปเป็นปีแล้วเขามารื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ ทำไมกัน
“พี่ขอโอกาสได้มั้ย ครั้งนี้พี่สัญญามันจะดีกว่าเดิม พี่จะไม่ทำผิดซ้ำอีก” น้ำเสียงอ้อนวอนที่มาพร้อมกับสายตาของคนพ่ายแพ้ ทำให้เธอใจอ่อนลดความกระด้างของเสียงลง
“ฝนไม่มีโอกาสอะไรให้พี่แล้วล่ะ”
“แต่ไม่โกรธแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงมีความหวังขึ้น ฝนพยักหน้ารับกำลังจะพูดต่อ เขาก็แทรกว่า
“แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เดี๋ยวพี่จะพิสูจน์ให้เห็นเอง” ฝนถอนหายใจระอา การสนทนาครั้งนี้เหมือนวนอยู่ในอ่าง ถ้าเธอต้องการความสงบสุขในชีวิต ก็ควรจะ …
“ไม่ต้องพิสูจน์หรอกครับ …. หัวใจคุณฝนไม่ว่างแล้ว”
2
เสียงเข้มที่คุ้นหูก็ดังขึ้นผ่ากลางวงสนทนา เธออ้าปากค้าง แต่ก็ยังไม่เท่ากับเจตนิพัทธ์ ที่ยืนตัวแข็งนิ่งไปเหมือนต้องคำสาป สมองประมวลทุกอย่าง แต่สายตาก็สับสนหาคำตอบไม่ได้ ขณะที่ชายหนุ่มโค้ชนักวิ่งเดินผ่านหน้าเขาจูงมือหญิงสาวเดินหายลับไปทางราวป่าที่มืดสนิทเสียแล้ว
1
❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา