9 เม.ย. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 19 - หลงผิด
“คุณเจ๋งอย่าเพิ่งเลือกรุ่นนั้นเลยค่ะ ความเร็วยังไม่ถึงใส่รองเท้าแบบนั้นอาจจะบาดเจ็บได้” ดรีมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาจับรองเท้าวิ่งรุ่นยอดฮิตที่นักวิ่งอีลิทระดับโลกใส่ลงแข่งเกือบทุกคน
เธอออกมาเป็นเพื่อนช่วยเขาเลือกรองเท้า เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มเอาจริงเอาจังในการวิ่ง มีทั้งความสม่ำเสมอและวินัยให้เห็นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอจึงเอ่ยว่าน่าจะหารองเท้าวิ่งที่เหมาะสมกับเขาสักคู่นึง เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะในการวิ่ง เมื่อเขาเอ่ยปากขอให้เธอมาช่วยดูให้หน่อย ทั้งคู่จึงมายืนอยู่ในร้านที่มีรูปเธอขยายใหญ่ติดอยู่ด้านใน
“มันจะบาดเจ็บได้ยังไงครับ” เขาเอารองเท้ามาวางไว้บนฝ่ามือเพื่อชั่งน้ำหนัก
“นึกภาพว่าคุณเจ๋งเป็นเด็กประถมที่เพิ่งหัดขี่จักรยานคล่อง แล้วมีคนโยนกุญแจรถเฟอรารี่ให้ คุณไม่รู้อีโหน่อีเหน่คว้ากุญแจสตาร์ทรถเหยียบคันเร่ง ผลจะเป็นยังไงดีคะ” เธอเอียงคอถามยิ้ม ๆ
“โอเค ผมเพิ่งขี่จักรยานคล่องนี่เอง เข้าใจแล้วครับ” เขายิ้มรับวางรองเท้ารุ่นฮิตวางลงที่เดิม
“ไม่ใช่แค่เพิ่งขี่จักรยานคล่องค่ะ แต่ไม่รู้วิธีขับรถยนต์ด้วย” เธอสำทับ
“มันมีผลต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ดรีมยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ น่ะค่ะ แต่เรื่องจะทำให้บาดเจ็บนั้นเกิดขึ้นได้แน่นอน นักวิ่งระดับโลกมีการลงเท้า วางเท้า ถีบตัว ควงขา ต่างจากนักวิ่งธรรมดามาก รองเท้าก็ถูกคิดค้นมาให้พวกเขาทำเวลาได้ดี กล้ามเนื้อของเราถูกใช้งานต่างกับพวกเขาค่ะ พอเรามาใช้รองเท้าที่ไม่ได้คิดมาเพื่อเรา ก็อาจจะไปโดนกล้ามเนื้อที่เราไม่เคยใช้มาก่อนทำให้บาดเจ็บเดี๋ยวนั้นเลย หรือบาดเจ็บสะสมได้ค่ะ” ดรีมอธิบายด้วยเสียงเรียบรื่นน่าฟัง
“ผมคุยเรื่องวิ่งกับคุณดรีมทีไร รู้สึกตัวเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ ทุกที" เขามองสบตาเธอด้วยความชื่นชม
“คุณเจ๋งมีปัญหากับผู้หญิงที่เก่งกว่าเหรอคะ” เธอยิ้มถามแววตาหยอกล้อ
1
“ถ้าผมมีปัญหาจะขยันถาม ขยันชวนคุยแบบนี้เหรอครับ” เขาส่งสายตามีความหมายกลับไป
“โธ่ คุณเจ๋ง ดรีมบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งขายขนมจีบกับดรีม” เธอหัวเราะ เดินไปหยิบรองเท้าคู่ที่เห็นว่าเหมาะสมมายื่นให้
“โธ่ คุณดรีม ผมบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งปิดโอกาสกับผม” เขาพูดเลียนแบบเธอตาเป็นประกาย
“ดรีมว่ามันยังเร็วไปที่คุณเจ๋งจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ น่าจะลองอยู่คนเดียวไปยาว ๆ ก่อน” เธอพูดเรื่อย ๆ ขณะเดินมองหารองเท้ารุ่นอื่นมาให้เขาทดลอง
“นี่ผมก็อยู่คนเดียวมาจะสองปีแล้วนะครับ” เขาทำเสียงโอดโอย ก้มลงผู้เชือกรองเท้า
“นั่นแน่ จับได้ละ” เธอยกนิ้วชี้ส่ายตรงหน้าเขา ก้มลงมามองเหมือนเด็กที่ค้นหาขุมทรัพย์เจอ
“ที่แท้อยากมีใครใหม่เพราะเหงา ไม่ใช่เพราะถูกใจ” น้ำเสียงหยอกล้อ
เจ๋งเงยหน้าขึ้นมาสบตาประกายซุกซนของหญิงสาวตรงหน้าพอดี ก็เหมือนถูกแรงดึงดูดอะไรสักอย่างดึงให้เขาตกลงไป หัวใจเต้นผิดจังหวะ วูบหวิวคล้ายตกหล่ม
พิจารณาความสดชื่นสดใสที่ส่องประกายเสมอจากคนร่างสูงโปร่ง ก็บอกตัวเองได้ว่ายิ่งรู้จักยิ่งชอบ ไม่ได้ชอบที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ชอบในความมุ่งมั่นในทุกอย่างที่เธอทำ ชอบในวิธีคิดวิธีมองโลก ชอบความสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ชิดใกล้ ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงคว้านิ้วชี้ที่ส่ายอยู่ข้างหน้า ส่งความในใจทั้งหมดไปทางสายตา พึมพำออกมา
“เพราะถูกใจมากต่างหากครับ”
ดรีมไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ถูกคว้านิ้วชี้เข้าไปอยู่ในมือเขา ทั้งประโยคที่บอกความในใจนั้น แล้วยังสายตาเว้าวอนขอโอกาสผสมปนเปไปกับความรู้สึกหลากหลายที่เขาส่งมา หัวใจเธอไหวสั่น หัวใจที่นิ่งสงบมาแรมปีก็กลับมาเต้นระรัวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าว มันคงจะขับสีแดงสะท้อนความในใจออกไป
“เอ่อ …” ยังไม่ทันที่เธอจะกล่าวคำ ก็ได้ยินเสียงพนักงานกระแอมอยู่ใกล้ ๆ พร้อมยื่นกล่องรองเท้าที่ตรงเบอร์มาให้ลอง
ทั้งคู่ผละห่างออกจากกัน เธอเลี่ยงเดินมาดูรองเท้า พยายามคุมหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ ส่วนเขาก็รับกล่องรองเท้ามาถือไว้ อมยิ้มให้กับบรรยากาศประหลาดเมื่อครู่
เจ๋งจอดรถที่หน้าคอนโดของดรีม ช่วยถือสัมภาระไปส่งเธอบนห้องตามปกติ ทุกครั้งก็จะลากลับเมื่อวางทุกอย่างลงบนโต๊ะรับประทานอาหาร แต่วันนี้กลับยืนกอดอกหลังพิงเก้าอี้ตัวสูงข้างเคาน์เตอร์ครัว มองคนร่างเพรียวสูงที่เดินไปรูดม่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ มองไปไกลเห็นตึกสูงและวิวแม่น้ำเจ้าพระยา เธอหันมาเห็นเขายังอยู่ก็เอียงคอยิ้มมุมปาก ไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็ยืนส่งความเงียบเข้าหากันจากคนละมุมห้อง
ในที่สุดเธอก็ฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “คุณเจตนิพัทธ์”
เจ๋งทำตาโตเมื่อได้ยินเสียงเรียบเย็น จึงยิ้มปะเหลาะ “ครับ!! เรียกชื่อเต็มกันแบบนี้ผมโดนแน่ใช่มั้ยเนี่ย"
ดรีมถอนหายใจยาว อมยิ้ม เดินไปหย่อนตัวลงที่โซฟายาวสีเขียวอมฟ้าข้างหน้าต่างกระจก เจ๋งเดินจะไปนั่งลงข้าง ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเธอชี้นิ้วไปที่อาร์มแชร์สีเดียวกันที่อยู่ตรงข้าม เขายกมือยอมจำนน ถอยกลับมานั่งตามบัญชา
“ดรีมไม่เคยถามเรื่องอดีตส่วนตัวของคุณยกเว้นว่าคุณจะเล่าเอง แต่วันนี้จะขอทราบบางเรื่องได้มั้ยคะ”
“ทุกเรื่องก็ได้ครับ” เจ๋งตอบเสียงหนักแน่น แต่ก็ยังแย้มยิ้มอย่างเคย
“คุณคิดยังไงถึงได้คบซ้อนสองคนในตอนนั้น” ดรีมถามถึงรักสามเศร้าในอดีตของเขา
“ผมไม่ได้คิด” เขาตอบเสียงเรียบ
ดรีมขมวดคิ้ว ถามดุ “ไม่ได้คิด!?”
“ใช่ครับ เพราะไม่ได้คิดเลยปล่อยให้เกิดเรื่องราวแบบนั้นขึ้น ทุกอย่างมันมาทีละนิดละน้อย ไม่ใช่ว่าผมวางแผนจะจับปลาสองมือตั้งแต่แรก ความรู้สึกกับทั้งสองคนมันเกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ทีแรกผมก็บอกกับตัวเองว่าดูไปก่อน ค่อย ๆ เลือกคนที่เหมาะสมที่สุด เข้ากับเราได้มากที่สุด แต่ก็นั่นแหละครับ หัวใจมนุษย์มันไม่ได้เป็นทาสของเจ้าของมัน
ผมก็หลงรักทั้งสองคนเท่า ๆ กันจนในที่สุดก็ตัดสินใจไม่เลือก มันเป็นเวย์ของคนอ่อนแอ ไม่กล้าทำใครเจ็บทั้งนั้น แล้วก็ไม่กล้าทำตัวเองเจ็บด้วย ก็เลยปล่อยใจถลำไปกับทั้งคู่ จนเกินเลยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกัน" เจ๋งหลับตานึกถึงเรื่องราวที่ซับซ้อนแล้วก็ทอดถอนใจ
“ดรีมไม่ได้ต้องการซ้ำเติมหรือขุดอดีตมาว่ากล่าวกันนะคะ แค่อยากทราบรายละเอียดเท่านั้นเอง”
“ผมได้บทเรียนแล้วครับ” เขามองหน้าเธอด้วยแววตาสำนึกผิด “ถ้าเผื่อคุณดรีมอยากทราบ”
“น้องอีกคนเป็นยังไงบ้างคะ” เธอถาม
เขานิ่งอึ้งไป รู้ตัวดีว่ากำลังจะเล่าเรื่องสำคัญในชีวิตที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้มาก่อน แต่ในเมื่อคิดอยากจะเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงตรงหน้า การเปิดเผยทุกอย่างให้เธอรับรู้น่าจะยุติธรรมที่สุด
“หลังจากที่เรื่องราวเปิดเผยขึ้น เรนนี่ประกาศกลางที่ประชุมว่าจะไม่ขอร่วมงานกับผมอีก ด่าสาดเสียเทเสีย หุ้นส่วนสั่งให้ผมพักงานสองเดือน ฤดีลาออกเงียบ ๆ หนีหายไป ผมก็พยายามตามหาจนไปพบเธอที่บ้านต่างจังหวัดหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ผมไปไม่ทัน เธอเพิ่งจะ เอ่อ…” เขาถอนหายใจยาว นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เธอเพิ่งจะไปเอาเด็กออก ผมไม่ทราบเลยว่าเธอท้อง”
ความเงียบปกคลุมห้องเล็กนั้นอยู่ชั่วขณะ เครื่องปรับอากาศส่งเสียงเบา ๆ
“ฤดีให้เหตุผลว่าไม่พร้อมจะเป็นแม่ อนาคตเธอยังอีกไกล ผมเองก็พยายามชดเชยแก้ไขความผิด จะรับผิดชอบชีวิตเธอต่อจากนี้ทุกอย่าง จะไม่กลับไปคบกับเรนนี่อีก จะมีเธอคนเดียว สามเดือนแรกทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดี ผมกลับไปทำงานตามเดิม ส่วนฤดีผมก็ฝากเข้าทำงานกับบริษัทเพื่อน ๆ ให้ กับเรนนี่ก็เลี่ยงที่จะเจอ แต่สุดท้ายฤดีก็ขอเลิกกับผม บอกว่าทุกครั้งที่เห็นหน้าผม เธอนึกถึงแต่ลูก เธอบอกว่าทำใจให้รักผมเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว” เจ๋งจบเรื่องด้วยประกายตาเศร้าสร้อย
“คุณยังรักทั้งคู่อยู่รึเปล่าคะ” เธอถามด้วยยิ้มปลอบประโลม
“เรียกว่ายังมีความรู้สึกดี ๆ ที่นึกถึงมากกว่าครับ กับฤดีผมก็ยังคอยถามข่าวคราวผ่านเพื่อนอยู่เสมอ ทราบว่าเธอมีรักใหม่ไปแล้ว ก้าวหน้าในอาชีพการงานดี ส่วนเรนนี่ก็อย่างที่คุณทราบ”
“เท่าที่ดรีมทราบก็คือ คุณยังพยายามส่งเสริมให้คุณฝนกับโค้ชห่างกันนะคะ” เธอเอ่ยยิ้ม ๆ
“โธ่ ใช่แบบนั้นที่ไหนครับ ตั้งแต่คุณดรีมสั่งสอนให้ผมมีน้ำใจนักกีฬา ผมก็ยอมแพ้โยนผ้าขาวแล้ว แต่เรื่องนี้ผมคิดคำนึงถึงประโยชน์ของเรนนี่เค้าต่างหาก" เจ๋งรีบอธิบายเกรงคนตรงหน้าเข้าใจผิด
เดือนที่แล้วทางสิงคโปร์ที่ร่วมทุนกับสตาร์สปอร์ตแจ้งผ่านวงศกรมาว่า อยากจะเซ็นสัญญาจ้างให้ทีมของบริษัทไปรับงานใหญ่ที่สิงคโปร์ เจ๋งเห็นว่าเป็นหนทางก้าวหน้าในอาชีพของฝน หรืออย่างน้อยก็เป็น Reference ที่ดีมากในอนาคต
จึงเรียกฝนเข้ามาแจ้งรายละเอียด ว่าจะต้องไปประจำการที่สิงคโปร์เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เธอขอเวลาคิดหนึ่งเดือน เขาก็ได้แต่ภาวนาว่าเธอจะให้โอกาสตัวเองได้ก้าวหน้าในอาชีพการงาน
“แม่…ฝนจะเลือกอะไรดี” เนื่องจากเรื่องนี้เป็นทางแยกสำคัญของชีวิต ฝนจึงมุ่งตรงกลับบ้านไปนอนหนุนตักแม่ เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยละเอียด เธออยากรู้ว่าแม่จะเลือกทางไหน
แม่ลูบหัวเธอเบา ๆ ตอบปนหัวเราะว่า “น่าสนุกทั้งสองทางเลือกเลยเนอะฝน แม่ก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน”
“อ้าวแม่จ๋า ช่วยฝนคิดหน่อย” ฝนโวยวาย เมื่อไม่ได้คำตอบจากแม่
“ฝนคุยกับพี่โค้ชเค้ารึยังลูก” แม่ผู้ตั้งสรรพนามการเรียกคนรักของเธอได้แหวกที่สุด -พี่โค้ช-
“ฝนไม่อยากให้พี่เค้าลำบากใจ แล้วฝนก็กลัวว่าถ้าพี่เค้าให้ฝนไปกับเค้าล่ะ หรือถ้าพี่เค้าไม่ให้ฝนไปกับเค้าล่ะ ฝนอยากตัดสินใจด้วยตัวเองก่อน” ตอบแม่เสียงอ่อย
“แล้วเกิร์ลแก๊งล่ะว่ายังไง” แม่รู้ว่าฝนสนิทสนมกับเพื่อนทั้งสามคนที่สุด และเธอน่าจะผ่านการปรึกษากับผองเพื่อนเรียบร้อยแล้ว
“คุณหวีให้เลือกงาน บอกว่าแค่ปีเดียวผู้ชายรอได้แต่งานดี ๆ ไม่ได้ลอยมาบ่อย ๆ ส่วนน้องดาวให้เลือกผู้ชายบอกว่า อยู่ฝรั่งเศสก็ทำคอนเท้นท์เริ่ด ๆ หรือหาประสบการณ์เจ๋ง ๆ ได้ไม่แพ้สิงคโปร์ ส่วนเจนก็ตามเคยถ้าเสียงแตกมันจะไม่ฟันธงข้างใดข้างหนึ่ง แต่ก็เห็นด้วยกับทั้งคุณหวีและน้องดาว” ฝนนึกถึงเพื่อนทั้งสามด้วยความอบอุ่นใจ
“ถ้างั้นแม่เอาตามเจนก็แล้วกัน” แม่เลือกทางปลอดภัยแล้วหัวเราะลั่น
ฝนลุกขึ้นนั่งมองหน้าแม่เง้างอด เธอกอดรัดแม่แน่น ๆ แล้วเขย่าตัวเหมือนเด็กงอแง
“แม่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ช่วยฝนคิดก่อน นะ ๆ ๆ ๆ ๆ"
แม่นั่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงเรียบ ๆ
“ชีวิตแม่เสียดายสองอย่าง คือไม่ได้เลือกคนรักดี ๆ ในชีวิต และไม่ได้เลือกงานที่ชอบ” ถอนหายใจ
“ตอนนี้ฝนได้พบคนรักที่ฝนพึงใจที่สุด และจะได้ทำงานที่สนุกท้าทายที่สุด มันคงวิเศษมากถ้าเราไม่ต้องเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ถ้าแม่ย้อนกลับไปอายุ 28 อีกครั้ง แม่คงเลือกใช้ชีวิตของตัวเองก่อน ถ้าฝนตามพี่โค้ชเค้าไป ฝนก็จะไปใช้ชีวิตในเงาของเค้า แล้วฝนก็อาจจะนั่งตั้งคำถามกับศักดิ์ศรีของตัวเองขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง
1
ชีวิตการงานของลูกเพิ่งเริ่มต้น พลังของลูกยังล้นและรอให้ลูกปล่อยมันออกมาให้โลกเห็น แม่เชื่อว่าคนที่ผ่านโลกมาอย่างพี่โค้ช จะเข้าใจถ้าลูกเลือกทางนี้"
แม่กอดและจูบแก้มฝนด้วยความรักเต็มล้นใจ
“แต่ถ้าลูกเลือกอีกทางแม่ก็พร้อมสนับสนุน อย่างน้องดาวว่า ไปฝรั่งเศสลูกอาจจะมีไอเดียที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้เช่นกันซึ่งอันนี้แม่บอกไม่ได้ เพราะไม่ได้ยืนในจุดของฝน แม่เลือกโดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน แต่หนูรู้ตัวหนูเองที่สุดนะลูกว่ามีศักยภาพทำอะไรที่ไหนได้มากกว่ากัน”
“ฝนอาจจะคิดว่าแม่ไม่ได้พูดถึงคนรักเลย ทั้งสองทางเลือกมุ่งไปแต่เรื่องอาชีพการงาน สำหรับแม่ระยะเวลาแค่หนึ่งปีมันไม่น่าจะเป็นปัญหาที่เราจะต้องมาเลือกกันเลย"
“แม่หมายความว่า ห่างกันหนึ่งปี หรืออยู่ด้วยกันหนึ่งปีก็ไม่ใช่ปัญหาเหรอคะ” ฝนถามแม่แต่สายตาทอดยาวไปไกล
“ถ้าลูกคิดว่านี่คือคนที่ลูกอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต 1 ปีมันก็แค่เสี้ยวเดียวเอง”
“แต่หนึ่งปีมันก็อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งกับฝนและกับพี่เค้า” ฝนพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจ
“ถ้าเปราะบางขนาดนั้น มันยังจะเป็นความรักที่ฝนต้องการอยู่หรือจ๊ะ” แม่กอดฝนแล้วโยกตัวเบา ๆ
1
ฝนจอดรถที่หน้าบริษัท นั่งรวมพลังใจอยู่ครู่หนึ่งก็เดินลงจากรถเพื่อเข้าไปให้คำตอบกับพี่เจ๋ง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางไหน
“ฝนไม่ไปสิงคโปร์นะ” เธอเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุม ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครมา เพราะเธอนัดหมายกับพี่เจ๋งไว้ก่อนการประชุมครึ่งชั่วโมง
“อ้าว ทำไมงั้นล่ะเรนนี่" เจ๋งอุทานขึ้นอย่างคาดไม่ถึง งานนี้คนในทีมต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปทำงานที่ท้าทายขึ้น กับบริษัทข้ามชาติ ถือว่าก้าวขึ้นไปอีกขั้นของอาชีพก็ว่าได้
“พี่เปอร์จะไปเก็บตัวที่ฝรั่งเศสปีนึงเหมือนกัน ฝนจะไปกับเค้า”
เจ๋งนิ่งไปอึดใจ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ รู้มาก่อนอยู่แล้วว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความรักมากกว่าหน้าที่การงาน แต่ไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าที่ชอบงานที่ท้าทายอยู่เสมอ จะปฏิเสธโอกาสดีงามที่นาน ๆ จะลอยมาตรงหน้าไปอย่างไม่ไยดีแบบนี้
“เรนนี่จะไปทำอะไร” เขาถามเสียงแห้ง
“ฝนก็ยังทำงานให้ที่บริษัทได้อยู่นะคะ แค่ไม่ได้อยู่กับทีมที่จะไปสิงคโปร์ ปกติฝนก็ไม่ต้องเข้าออฟฟิศอยู่แล้ว”
“แต่งานนี้เรนนี่จะได้ทั้งประสบการณ์ทำงานกับทีมต่างชาติ แล้วก็ได้ Reference อีกนะ” เขาพยายามชี้ทางสว่าง
แต่เธอกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส “ฝนเฉย ๆ ”
“เรนนี่จะหลงหัวปักหัวปำกับผู้ชายที่ใกล้จะหมดพลังแล้วทิ้งโอกาสในชีวิตไม่ได้นะ” เขาแย้งเสียงดัง
“ฝนไม่ได้หลง แล้วพี่เปอร์ก็ไม่ใชผู้ชายที่ใกล้จะหมดพลัง” เธอขึ้นเสียงกลับ ไม่คิดว่าการมาให้คำตอบของเธอจะกลายเป็นการปะทะอารมณ์ไปได้
“คนนั้นน่ะจะสี่สิบ แต่เรนนี่เพิ่งยี่สิบกว่าเท่านั้น ชีวิตยังอีกตั้งไกลให้โอกาสตัวเองบ้างซี่" เจ๋งขึ้นเสียงดังกว่าเดิม
“พี่จะมาก้าวก่ายการตัดสินใจฝนทำไม” ฝนขึ้นเสียงกลับด้วยความดังไม่แพ้กัน
“ก็เรนนี่กำลังหลงผิดไงล่ะ”
“ผิดตรงไหน”
“เอาชีวิตไปแขวนไว้กับคนที่ไม่มีอนาคตไม่ผิดได้ยังไง”
“โอ๊ย คำก็ไม่มีอนาคต สองคำก็ไม่มีอนาคต พี่เจ๋งบ้ารึว่าอิจฉาจนประสาทกลับ ที่เค้าไปเนี่ยก็คืออนาคต ถ้าพี่เปอร์โหลยโท่ยอย่างพี่ว่าจริง ๆ ทางฝรั่งเศสจะเรียกตัวมารึไง” เธอแจกแจงเสียงดังลั่น
“แล้วอนาคตของตัวเองล่ะคิดบ้างซี่” เจ๋งเดินมาจับไหล่เธอเขย่า
“คนรักกันเค้าก็วางอนาคตร่วมกันน่ะซี่” เธอพยายามสะบัดตัวหลุด โต้ตอบด้วยอารมณ์แรง
“ถ้าผู้ชายคนนั้นวางอนาคตโดยบังคับให้เรนนี่ไปด้วย ก็เห็นแก่ตัวสุด ๆ ล่ะ” เจ๋งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
“ฝนไม่แคร์ และพี่ก็ไม่ต้องมายุ่ง” เธอสะบัดตัวจนหลุดถลาไปที่ประตู เบื่อหน่ายกับการปะทะคารมที่หาจุดสรุปไม่ได้เต็มทน เอื้อมมือจับลูกบิด พี่เจ๋งถลันตัวตามมายื้อยุด
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าเพิ่งไป”
“ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”
พลันประตูห้องประชุมก็เปิดขึ้น ชายหญิงคู่หนึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
ฝ่ายชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มแววตาดุ “คุยกันก่อนก็ดี”
ฝ่ายหญิงมองตรงไปยังผู้ชายที่อยู่ในห้อง แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป
เจ๋งตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่คาดคิดว่าพรีเซนเตอร์หลักที่นัดประชุมจะมาก่อนเวลาเล็กน้อย เมื่อรู้สึกตัวเขาก็เบี่ยงตัวออกจากสองคนตรงหน้าวิ่งตามฝ่ายหญิงที่เดินจากไปพลางร้องเรียก “คุณดรีมรอผมก่อนครับ”
ฝนยืนสบตาฝ่ายชายที่ยืนนิ่งขวางประตูด้วยสายตาละห้อย หลุดเสียงรำพึงเบาอ่อนแรง “พี่เปอร์"
❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา