2 เม.ย. 2021 เวลา 01:28 • นิยาย เรื่องสั้น
3.2. ปกปิดฐานะเดิม
สุมาอี้ ผู้นำเครือข่ายสุมา - เตียวชุนฮัว ดอกไม้ริมทาง - โจผี พี่ใหญ่สกุลโจ
ทายาทมังกรคนแรก สุมาอี้ เต่าจำศึล พี่ใหญ่ในวัยใกล้สามสิบปี ได้แทรกซึมอยู่ในฝ่ายโจโฉในจังหวะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่โจโฉต้องตัดสินชะตากรรมกับอ้วนเสี้ยว และได้สร้างผลงานมากมายในศึกปราบภาคเหนือ จนล่าสุด อยู่ในฐานะอาจารย์ของโจผี ใกล้เคียงกันกับ ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด
สุมาอี้จงใจสร้างจุดด่างในประวัติ ทั้งๆที่ผู้คนจำนวนหนึ่งล่วงรู้ว่า ปราชญ์ใหญ่สุมาเต๊กโชเคยเปิดตัวมันกับบังทองในฐานะบุตรชายกับลูกศิษย์ให้กับอ้วนเสี้ยว แต่มันกลับอ้างอิงในยามสวามิภักดิ์ว่าเป็นลูกชายของสุมาฮอง สหายเก่าของโจโก๋ อดีตเจ้าเมืองลกเอี๋ยง ผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ และมีนิสัยชายรักชายอย่างเปิดเผย
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ได้รับการถกเถียงอยู่ก่อนแล้วระหว่างสุมาเต๊กโชพ่อลูกตั้งแต่แรก หากแม้นสุมาอี้ใช้ตัวตนที่แท้จริงในช่วงสงครามชิงแผ่นดินกับอ้วนเสี้ยว อาจทำให้คนอย่างโจโฉระแวงแคลงใจว่าเป็นไส้ศึกจารชนได้ง่าย จึงแสร้งทำให้มีจุดด่างพร้อยให้ปรากฏก่อน แล้วภายหลังเมื่อสถานะทางการเมืองมั่นคงดีแล้ว ค่อยยินยอมสารภาพความจริง และเรื่องการปกปิดพลังฝีมือ ก็เพื่อจะได้มุ่งมั่นใช้สติปัญญาเพื่อเป็นที่ปรึกษาข้างกาย มิได้ต้องการแย่งชิงตำแหน่งทหารแต่อย่างใด
สุมาอี้ได้อาศัยจังหวะที่หมดสิ้นตำแหน่งการทหารอย่างมีเงื่อนงำ คุกเข่ารับผิดพร้อมอธิบายเรื่องราวให้ทราบเป็นการส่วนตัว โจโฉเมื่อรับฟังคำสารภาพแล้วนั้น ถึงกับยอมรับคำแก้ต่างได้ตามที่คาดหมาย และเปิดเผยความในใจที่มีความระแวงแคลงใจจริงดั่งที่คิดทุกประการ ดังนั้น นายบ่าวคู่นี้จึงเกิดความผูกพันยิ่งขึ้นในฐานะที่เป็นคนที่ชมชอบคาดเดาจิตใจผู้คนเฉกเช่นกัน แต่ก็ยังมิได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งสุมาอี้กลับคืนมาเช่นเดิม
ในช่วงเวลานี้ สุมาอี้ก็ได้เข้าออกในจวนของโจผีบ่อยครั้งในฐานะอาจารย์-ลูกศิษย์ ทั้งๆที่วัยแท้จริงแตกต่างกันเพียงแปดปี แต่รูปโฉมของสุมาอี้ดูสูงวัยกว่าความเป็นจริง เพราะมีผมขาวแซมประปราย จึงพอดูกลมกลืนกันได้บ้าง
แต่ด้วยความเป็นคนสายเต๋า ไม่เคร่งครัดขนบธรรมเนียม จึงคบหากันคล้ายมิตรสหายรู้ใจในระดับหนึ่ง และยังได้โจผีเป็นพ่อสื่อ ชักนำให้พบรักต่างวัยกับเพื่อนสาวคนสนิทของโจผี ที่ชื่อ เตียวชุนฮัว จนได้แต่งงานกันไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ดูเปลือกนอก เหมือนโจผีตอบแทนคุณที่สุมาอี้ช่วยให้ได้แต่งงานกับนางเอียนซี แต่ที่จริงแล้ว เป็นโจผีที่ต้องการสลัดคนรักเก่าทิ้งอย่างแนบเนียน เพื่อเปิดทางให้นางเอียนซีขึ้นเป็นเมียหลวง กระชับความสัมพันธ์กับชนเผ่าเซียนเปยให้แน่นแฟ้น ทั้งๆที่รู้ว่า เตียวชุนฮัวตั้งครรภ์กับตนแล้ว แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าไร้อำนาจค้ำจุน จึงเป็นได้แค่ดอกไม้ริมทางที่ไม่ได้คู่ควรกับตัวมันตั้งแต่แรก
ฝ่ายสุมาอี้ที่เข้าใจในความสัมพันธ์ลับนั้นอยู่ก่อนแล้ว จึงช่วยสงเคราะห์รับสมอ้างไปตามสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อครบกำหนดคลอด สุมาอี้ จึงได้ลูกชายคนแรกจากนางเตียวชุนฮัว ตั้งชื่อว่า สุมาสู และเวลาถัดมา โจผี ก็ได้ลูกชายคนแรกจากนางเอียนซี ตั้งชื่อว่า โจยอย
ลูกของโจผีกับนางเตียวชุนฮัว ใช้แซ่สุมา ส่วนลูกของอ้วนฮีกับนางเอียนมี่ ที่ติดท้องมาอย่างลับๆ กลับมาใช้แซ่โจแทน น่าขันต่อชะตาคนยิ่งนัก
สามปีต่อมา สุมาอี้ยังได้ทายาทคนที่สองที่ชื่อ สุมาเจียว เพิ่มมาอีกคน แต่นางเตียวชุนฮัว หลังจากการคลอดครั้งที่สองนี้ คล้ายกับมีปัญหาสุขภาพ ร่างกายอ่อนแอ ถึงกับเป็นอัมพาตกระทันหัน ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง รับรู้เรื่องราวทั้งปวง แต่ไม่อาจสื่อสารใดๆ นอกจากกรอกสายตาไปมา
ชีวิตวัยเด็กทั้งสามคน โจยอย สุมาสู สุมาเจียว จึงเติบโตเป็นเพื่อนเล่นสนิทสนมกันในจวนของโจผี ภายใต้การดูแลของนางเอียนซี และเป็นสาเหตุให้นางเอียนซีใช้เป็นข้ออ้างหลบเลี่ยงโจผีที่ในใจยังคงเกลียดชังอยู่ตลอดมา
ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาไม่ได้สวยงามดั่งที่ใครคาดคิด คนทั้งสองมักจะทะเลาะเบาะแว้ง และลงมือทำร้ายกันบ่อยครั้ง แต่นางเอียนซียังยอมรักษาหน้าให้กับโจผีเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าธารกำนัลตามคำตักเตือนของทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปย ผู้เป็นบิดาที่ยังวนเวียนทำหน้าที่นายทหารพิเศษอยู่ในดินแดนฮั่น
แต่นอกเหนือจากสามีที่มีเหตุแค้นเคืองต่อกันแล้ว นางยินยอมเป็นสะใภัที่ดีของสกุลโจจนเป็นที่รักใคร่ และยังเป็นโจสิดน้อยที่นางสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง เพราะเป็นเด็กซุกซน แต่ชมชอบในการแต่งโคลงกลอน และวาดภาพเฉกเช่นกัน
ยังดีที่โจสิดยังเยาว์วัย อายุเพียงหกเจ็ดปีเท่านั้น มาขลุกอยู่กับนางเอียนซีในวัยยี่สิบต้นๆ จึงยังไม่เป็นอะไรมากนัก แม้ว่าศักดิ์ฐานะจะเป็นรุ่นอา แต่ดูเผินๆ โจสิดก็ยังเป็นคล้ายพี่ใหญ่ในกลุ่มเด็กทั้งหลายอยู่บ้าง แต่หากแม้นโจสิดเป็นหนุ่มน้อยวัยคึกคะนองขึ้นมา ก็อาจจะเป็นที่ครหากันบ้างแล้ว
...
ในช่วงเวลาที่โจโฉยังวนเวียนจัดการกับซากเดนกองทัพสกุลอ้วนทางภาคเหนือ ป้อเอี๋ยน พยัคฆ์คะนอง กับบังทอง หงส์ผงาด ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมกับฝ่ายกังตั๋ง และร่วมประสานงานกับอุยกาย ไส้ศึกชั้นเยี่ยมที่เป็นนายทหารผู้ใหญ่
ขุมกำลังกังตั๋งใช้นโยบายเปิดทดสอบผู้คนเพื่อรองรับจำนวนผู้คนที่ต้องการเข้ารับราชการมากมาย ทำให้เป็นช่องทางคัดกรองในการเข้าร่วมกองกำลังได้โดยง่าย หากแต่ทำเช่นนั้น อาจจะไม่โดดเด่นเพียงพอ เพราะผู้คนที่แห่แหนกันมาสมัครนั้นมีจำนวนมากมายเกินไปดั่งที่ร่ำลือกันจริงๆ
เมื่อป้อเอี๋ยนประเมินสถานการณ์ภายในกังตั๋งแล้ว จึงไม่พึ่งพาอาศัยที่ตนเองมีรูปงาม ความรู้สูง แต่กลับสร้างประวัติความเป็นมาเท็จ เปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่เป็น ลกซุนแห่งเมืองโลกั๋ง หลานชายของขุนนางเก่านามลกคัง มุ่งตรงไปพบกับลกเจ๊ก ขุนนางดินแดนกังตั๋งผู้รักสันโดษ เพื่อแนะนำตนเองในฐานะญาติรุ่นหลาน
อันลกเจ๊กนั้น เป็นขุนนางอาวุโสที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่่วทั้งแผ่นดิน เพราะเพิ่งถูกยกย่องโดยสำนักหอสมุดใต้หล้า ให้เข้าสู่ทำเนียบสิบห้ายอดกตัญญูตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โดยอยู่ในลำดับท้ายสุด เพราะในวัยเยาว์ ลกเจ๊กเคยอาศัยอยู่กับลกคัง ผู้เป็นอา อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และได้ติดตามเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ของอ้วนสุด ผู้เป็นเจ้าเมืองโลกั๋งในครั้งนั้น จนเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ลกเจ๊กลักขโมยส้มออกมา เพื่อหวังให้มารดาได้ลิ้มรสด้วย แต่ถูกอ้วนสุดพบเห็น และไม่ลงโทษ หากแต่ยกย่องชมเชยในเรื่องราวไปในเชิงกตัญญูรู้คุณ
อันที่จริง เรื่องราวดังกล่าวแพร่หลายอยู่ในวงการวิชาการมานานหลายสิบปีแล้ว และถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วงในหมู่บัณฑิตทั่วไป จนกระทั่ง อ้วนยู หนึ่งในเจ็ดบัณฑิตเจี้ยนอานที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และที่จริงเป็นผู้ที่เสนอมุมมองนี้ต่ออ้วนสุดในครั้งนั้น เห็นมีโอกาสอำนวยจึงเสนอเรื่องราวนี้ขึ้นมาอีกครั้งในที่ประชุมทางวิชาการ เพื่อสร้างกระแสความกตัญญูตามแนวคิดสายขงจื้อ ทำให้เป็นผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักหอสมุดใต้หล้าไปเสียเลย
หมายเหตุ ภายหลัง เรื่องราวของสุดยอดกตัญญู ได้รับการบรรจุคัดเลือกไปจนถึงจุดที่โด่งดังที่สุดคือ ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู (หยี่จับสี่ห่าว) แต่ยังมีเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆอีกหลายสิบคน ผู้เขียนเห็นว่า ลกเจ๊กเป็นคนในยุคสามก๊ก มีชื่อเสียงปรากฏ แต่เสียดายที่ไม่มีบทบาทในเรื่องมากนัก นอกจากบทปะทะคารมกับขงเบ้งที่กังตั๋ง จึงนำมาเชื่อมโยงกันกับลกซุนซึ่งเป็นตัวละครสำคัญ
ดังนั้น ป้อเอี๋ยนจึงอาศัยข้อมูลดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง เพราะขุนนางเก่าลกคังในบั้นปลายชีวิต ถึงกับโยกย้ายครอบครัวใหญ่มาเป็นเพื่อนบ้านกันกับตนเองโดยบังเอิญ และทั้งหมดถูกพวกโจรโพกผ้าเหลืองปล้นสังหารตายหมดสิ้นไปอย่างน่าสงสาร ทำให้ป้อเอี๋ยนจดจำเรื่องราวในวัยเด็กช่วงนี้ได้อย่างแม่นยำ ลกซุนตัวจริงที่เป็นหลานชายลกคังนั้น ถึงกับเป็นเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของมันเอง
ลกเจ๊กวัยชรากำลังอยู่ในช่วงสับสนวุ่นวายใจอย่างที่สุด เพราะความตายของบุตรสาวนามลกอู่เซิง นางเผชิญมรสุมชีวิตพลิกผัน บัณฑิตเตียวไป๋ ผู้เป็นสามี ถูกจับได้ว่าเป็นน้องชายของเตียวอุ๋น ขุนพลใหญ่ของเล่าเปียว คู่อริของคนกังตั๋ง จึงถูกร่ำลือกันว่า เตียวไป๋แฝงตัวมาเป็นจารชนไส้ศึกของฝ่ายเกงจิ๋ว สมควรถูกประหารชีวิตไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างตามบรรยากาศหวาดระแวงจารชนของบ้านเมือง
หากแต่ซุนกวนยังมีความปรานี ยอมไว้หน้าให้เกียรติแก่ลกเจ๊กถึงที่สุด เตียวไป๋จึงเพียงถูกเนรเทศ แต่กลับเกิดอุบัติเหตุตกแม่น้ำตายไปเองระหว่างการเดินทาง สุดท้าย ลกอู่เซิงที่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจของสามี และพยายามเดินเรื่องผ่านทางบิดามาโดยตลอด จึงโดดลงแม่น้ำพลีชีพตายตามสามีไปด้วยอีกคน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซ้อนของคนสกุลลก ไร้สิ้นทายาทอยู่เคียงข้างกายแล้ว
ป้อเอี๋ยนอาศัยตัวตนของลกซุน ว่ากล่าวชักจูงลกเจ๊กจนหลงเชื่อ ยอมรับเป็นญาติ และให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ทำให้เมื่อเข้าสู่ระบบการคัดเลือก ลกซุนจึงมีสถานะที่โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่นทั่วไป และเพียงแค่นี้ ตำแหน่งสำคัญทางการเมืองก็คงไม่ไกลนัก เพราะจิวยี่ได้รับตัวไว้เป็นกุนซือคนสนิทในสังกัดทัพแล้ว
ต่อแต่นี้ไป จึงไม่มีชื่อบัณฑิตป้อเอี๋ยนอีกแล้ว แต่จะมีเพียง กุนซือพยัคฆ์คะนอง ลกซุน หลานชายของขุนนางยอดกตัญญู ลกเจ๊ก เท่านั้น
ส่วนวิธีการของบังทองกลับผิดแผกแตกต่างกัน เพราะบังทองเคยเปิดเผยตัวตนเป็นลูกศิษย์ของปราชญ์ใหญ่สุมาเต๊กโชในขุมกำลังอ้วนเสี้ยวมาแล้ว และมีร่องรอยบาดแผลอาวุธที่ใบหน้า ไม่สอดคล้องกับฐานะกุนซือผู้ทรงภูมิ ภายหลังมานี้จึงมักปกปิดใบหน้าไว้ด้วยผ้าดำตลอดเวลา ยากที่จะคิดหาวิธีการอื่นใด
อีกทั้ง ที่จริง ยังเชื่อมั่นถือดีในความรู้ที่ทุ่มเทศึกษามาจากเครือข่ายสุมา และการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในสำนักนักปราชญ์สายเต๋า มันจึงตัดสินใจอาศัยช่องทางเปิด ยกความรู้นำทาง หวังจะสอบฝ่าด่านสอบแข่งขันของโลซก ตัวแทนขุนนางหัวใหม่ไปให้จงได้
ผลงานครั้งนี้ ต้องยกให้กับโลซก ต้นคิดที่จัดการแข่งขันสอบความรู้แข่งขันขึ้นเป็นแนวทางการคัดเลือกขุนนางที่มีความรู้ ความสามารถ และได้จัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง ภายหลัง การสอบแข่งขันเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้ จึงกลายเป็นแบบอย่างให้เกิดการสอบระบบจอหงวนขึ้นในสมัยราชวงศ์สุย
แต่บังทองนึกถึงกรณีของโกะหยง เกรงว่า “ไร้เรื่องราว กลับจืดชืด” เมื่อผ่านการคัดเลือกข้อเขียนชั้นต้นแล้ว ต้องผ่านการสอบปากเปล่ากับขุนนางชั้นสูง บังทองจึงเลือกที่จะสร้างกระแส ปะทะคารมอย่างรุนแรงกับเตียวเจียว ตัวแทนขุนนางหัวเก่า จนเรื่องราวไปถึงหูของซุนกวน สายข่าวของขุมกำลังกังตั๋งไม่ได้ด้อยไปกว่าโจโฉ เรื่องราวของบังทองในครั้งนั้น แม้ไม่ได้เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง แต่ซุนกวนก็เคยอ่านผ่านตาในรายงานทหารมาบ้างแล้ว
ซุนกวนที่เพิ่งสูญเสียกุนซือคนสำคัญไปในเหตุการณ์เมืองหลวง จึงเปิดโอกาสให้บังทองเข้าเฝ้า ถึงแม้จะทึ่งกับสำนวนโวหารและความรอบรู้ แต่ยังไม่ประทับใจในบุคลิกลักษณะที่น่าหวาดระแวง เพราะมีรอยบาดแผลฝังลึกอยู่บนใบหน้า ราศีโหงวเฮ้งจึงเสียหาย ผิดวิสัยคนร่ำเรียนหนังสือ จึงสั่งการให้เลื่อนลำดับ รับเอาผู้มีความรู้ความสามารถคนถัดไปเข้ามาแทน ซึ่งกลับกลายเป็นจูกัดกิ๋น พี่ชายแท้ๆของจูกัดเหลียง ได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งไปครอง
บังทองย่อมรู้จักจูกัดกิ๋นเป็นอย่างดี เพราะมันกับจูกัดเหลียงใกล้ชิดกันมานานแล้ว ทำให้ขุ่นเคืองใจที่จูกัดกิ๋นมาสอดแทรก จึงรอพบตัวอยู่ด้านนอกวัง ทันทีที่พบ จูกัดกิ๋นกลับค้อมกายคารวะบังทอง ทั้งๆที่มีอาวุโสสูงกว่าหลายปี พร้อมกับกล่าวความในใจอย่างนอบน้อมทันที
“ขออภัยท่านบังทอง เราเองเพียงมาตามคำบัญชาของจูกัดเหลียงน้องเรา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกเราในเมืองกังตั๋งเท่านั้น เพราะที่นี่ผู้คนมากมาย อาจมีหลายขุมกำลังสอดแทรก ยากจะป้องกันได้รัดกุม สามประสานอาจจะไม่เพียงพอ จึงส่งให้ข้าน้อยมาร่วมช่วยเหลืออีกทางหนึ่งเท่านั้นเอง มิได้คิดจะแย่งชิงในตำแหน่งราชการกับท่านแม้แต่น้อย”
ที่จริงแล้ว จูกัดกิ๋นอาจจะมีวาระซ่อนเร้นอันใดให้กับมังกรซ่อน จูกัดเหลียงหรือไม่ ยังไม่มีใครล่วงรู้ แต่บังทองแค้นใจในวาสนา แม้ไม่ใช่จูกัดกิ๋น คนอื่นก็คงจะได้ตำแหน่งไปอยู่ดี จึงยินยอมให้อภัย และปรับบทบาททำทีไปขออาศัยอยู่ในทีมงานสนับสนุนของโลซกพลางๆไปก่อน อย่างน้อยก็ยังคลุกคลีอยู่ฝ่ายมันสมองของที่นี่ได้อยู่ รอคอยหาทางสร้างโอกาสและผลงานให้เข้าตากลุ่มผู้นำระดับสูง
อาศัยเวลาในช่วงนี้ บังทองก็แอบรับทหารองครักษ์ในจวนโลซก ที่มีโครงสร้างร่างกาย และโหงวเฮ้งที่โดดเด่น เป็นดั่งพลอยที่ยังมิได้เจียระไน เข้ามาเป็นศิษย์คนแรกของมัน เผื่อว่าจะได้ใช้เป็นแขนขาในอนาคตบ้าง
ทหารหนุ่มท่าทางองอาจดุดัน ที่ชื่อ อุยเอี๋ยน อันที่จริง อายุห่างจากมันไม่กี่ปี แต่กลับรู้สึกถูกชะตากันยิ่งนัก ต่อไปภายหน้า บังทองเชื่อว่า มันจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนพลเอกได้ไม่ยากอย่างแน่นอน
เมื่อรับฟังประวัติความเป็นมาก็น่าสนใจ เพราะหนุ่มน้อยตกยากผู้นี้ เป็นถึงหลานของเศรษฐีใหญ่อุยหองแห่งเมืองกุนจิ๋ว แต่เนื่องจากอุยหองถูกโจโก๋และพวก รีดไถทรัพย์สินไปสร้างกองทัพในช่วงตั้งตัวเริ่มแรก จนอุยหองขาดเงินทุนหมุนเวียน ทำให้กิจการล่มสลาย ถึงกับฆ่าตัวตายหนีหนี้สิน ครอบครัวแตกสลาย จนเป็นเหตุให้อุยเอี๋ยนต้องพเนจรเรื่อยมา จนมาถึงแดนกังตั๋งในที่สุด
จากคำบอกเล่าของอุยเอี๋ยน ครั้งหนึ่ง มันเคยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่กระท่อมรังนกของหมอฮัวโต๋ ถึงกับได้ใกล้ชิดกับโจหยิน หนึ่งในศัตรูผู้ปล้นชิงเงินทองจากครอบครัวที่มันจดจำใบหน้าได้ชัดเจน หากแต่ไม่มีจังหวะได้ลงมือ และสำนึกว่า พลังยุทธ์ตนเองยังอ่อนด้อย ไม่อาจต่อสู้เอาชัยได้ซึ่งหน้า จึงต้องยินยอมปล่อยโอกาสครั้งนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
ต่อมา มันไปเข้าร่วมอยู่ในกองกำลังกิจิ๋วของจอมทัพอ้วนเสี้ยว จนได้เป็นถึงนายกองหนุ่มในสังกัดของนายน้อยคนรองอ้วนฮี แต่ก็ถูกขุมกำลังโจโฉทำลายล้างในศึกสยบภาคเหนือจนแตกพ่าย ต้องระเหเร่ร่อนอีกครั้้ง สุดท้าย ดินแดนกังตั๋งจึงกลายเป็นแหล่งพักพิง มันเพิ่งเข้าสู่สังกัดจวนโลซกเพียงแค่ไม่กี่วันเช่นกัน
บังทองทำความเข้าใจกับชีวิตที่ตกอับของหนุ่มน้อยอุยเอี๋ยน ซึ่งล้วนเป็นคนตระกูลโจก่อกรรมไว้ทั้งสิ้น เป้าหมายใหญ่ย่อมหนีไม่พ้นผู้นำตระกูลโจรุ่นปัจจุบัน โจโฉ นั่นเอง การควบคุมคนที่มีแรงแค้นเช่นนี้ ย่อมจะง่ายดายสำหรับบังทองในการยั่วยุให้ทำตามแผนการใดๆก็ตาม
ศิษย์อาจารย์คู่นี้กลับมีเวลาอยู่ร่วมกันไม่มากนัก หลังจากที่บังทองได้ตั้งหลักประเมินสถานการณ์รอบด้าน ร่วมกับข้อมูลทางทหารที่ได้จากสายข่าวของกังตั๋ง ทำให้พบว่า เป้าหมายต่อไปของโจโฉ สมควรเป็นกองกำลังเกงจิ๋ว และกองกำลังกังตั๋งตามลำดับ โดยที่กองทัพผสมร้อยหมื่น อาจจะเป็นกลยุทธ์ในการเผด็จศึก ที่ไม่อาจรอช้านาน ด้วยความที่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยาการเสบียงไม่น้อย
บังทองจึงรีบถ่ายทอดความรู้เพียงบางส่วนให้กับอุยเอี๋ยนอย่างเร่งรัดไปก่อน และมอบตำราการทำสงครามสองสามเล่มที่ตนเรียบเรียงขึ้นเอง ให้นำไปศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากมันต้องการสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายในเมืองเกงจิ๋วซึ่งถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญโดยเร็ว หากเกิดช่องว่างทางการเมืองในฝ่ายตรงข้าม โอกาสที่ฝ่ายกังตั๋งจะมีความเคลื่อนไหวได้ก่อนย่อมจะมีด้วยเช่นกัน ซึ่งมันก็จะมีโอกาสแสดงฝีมือให้ปรากฏได้โดยเร็วเช่นกัน
“อุยเอี๋ยน เจ้าจงไปสมัครเป็นทหารประจำการในเมืองเกงจิ๋ว และหาจังหวะก่อกวนบ้านเมืองให้วุ่นวายเถิด เป้าหมายของเจ้าคือการผสมโรงสร้างความขัดแย้งระหว่างเล่าปี่กับเล่าเปียวที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่าให้ประสานคืน แล้วเราจะนำกองกำลังกังตั๋งบุกขึ้นยึดดินแดนของเล่าเปียวให้ได้ก่อนที่โจโฉจะทำการณ์ได้สำเร็จ” บังทองมองสถานการณ์การเมืองในเกงจิ๋วได้อย่างทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก
...
ช่วงเวลาเดียวกัน ฝ่าย ตันฮก กิเลนพิสดาร และ จูกัดเหลียง มังกรซ่อน ที่ได้รับคำสั่งให้เข้าพวกกับเล่าปี่นั้น ก็ยังไม่มีจังหวะโอกาส เพราะเล่าปี่เพิ่งเสียเมืองชีจิ๋ว หลุดจากขั้วอำนาจไปอีกครั้ง จนต้องเร่ร่อนไปอาศัยวัดป่าน้อยที่สอง ขอให้ หลวงจีนเภาเจ๋ง สหายเจ้าอาวาส ให้ช่วยเป็นธุระติดต่อประสานกับเล่าเปียว และได้รับโอกาสให้กำกับดูแลอยู่ที่เมืองซินเอี๋ยนั้นเอง
เรื่องหนึ่งที่ดูน่าประหลาดใจอยู่บ้าง คือ เล่าเปียวกลับไม่ได้เปิดโอกาสให้เล่าปี่เข้าพบหน้าแต่อย่างใด คำสั่งต่างๆล้วนผ่านมาทางจดหมายพร้อมตราประทับเท่านั้น ซึ่งแม้แต่กวนอู เตียวหุย ยังรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย และหลวงจีนเภาเจ๋งเองก็พลอยแสดงความแปลกประหลาดใจไปด้วยเช่นกัน
เล่าปี่จึงได้แต่กลบเกลื่อนเรื่องราวไปตามมารยาท แต่แอบคิดไปว่า ยามนี้ ตนเองเป็นเพียงแค่คนหนีตายไร้ถิ่นที่มั่น เล่าเปียวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงมาตลอดชีวิตอาจจะนึกดูหมิ่นดูแคลนตนเองอยู่ในที
หากแต่เจ้าอาวาสวัดดังไม่ยินยอมเลิกรา ด้วยว่า พวกเล่าเปียวก็คล้ายจะห่างเหินไปจากวัดป่าน้อยที่สองมานานแล้วเช่นกัน บางครั้งที่มีจดหมายไต่ถามสารทุกข์ไป ก็ได้รับคำตอบจากฮูหยินว่า ท่านเล่าเปียวป่วยไข้อยู่เนืองๆ จึงไม่สะดวกต่อการเดินทางไกลเหมือนแต่ก่อน คล้ายลืมเลือนว่า ในอดีต เป็นผู้ใดส่งเสริมให้สองพี่น้องได้เข้าถึงท่านเจ้าเมือง แต่เมื่อจูกัดกุ๋ย หัวเรือใหญ่ไม่อยู่ เภาเจ๋งจึงได้แต่ปล่อยให้ชัวเตี๋ย ชัวมอ สองพี่น้องดูแลเมืองเกงจิ๋วไปพลางๆก่อน
ระหว่างนั้น ตันฮกได้รับฟังข่าวคราวทางด้านศิษย์น้องเล็กป้อเอี๋ยนที่เปลี่ยนแปลงชื่อแซ่เป็น “ลกซุน” แล้วได้ดิบได้ดี มันจึงคิดสร้างประวัติปลอมขึ้นมาบ้างเป็นการลอกเลียนว่า ตนเองเดิมชื่อ “ชีซี” อุปโลกหญิงขอทานชราให้เป็นมารดา โดยต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคมมาตลอด จนก่อเหตุหนีคดีฆ่าคนตาย จึงค่อยเปลี่ยนชื่อเป็น "ตันฮก" และใช้สถานะจอมยุทธ์วณิพกนั้น แอบติดตามความเคลื่อนไหวของเล่าปี่อย่างลับๆ มาสักระยะหนึ่งแล้ว
อันที่จริง มันสร้างตัวตนใหม่เช่นนี้ เพื่อให้คล้ายคลึงกับประวัติพื้นเพของเล่าปี่กับกวนอูด้วยอีกทางหนึ่ง หากแม้นไปถึงหูของเล่าปี่ กวนอู ย่อมจะรู้สึกคุ้นเคย และเข้าอกเข้าใจในชีวิตอันยากลำบากของคนร่วมสมัย เฉกเช่นเดียวกันกับคนทอเสื่อ และผู้ร้ายฆ่าคนตายในอดีต
ตันฮกสมดังฉายา “พิสดาร” ความคิดจึงแปลกประหลาดอยู่บ้าง สร้างเรื่องราวให้สับสนวุ่นวาย อันใดจริงหรืออันใดเท็จจึงยากจะคาดเดา เดิมชื่อตันฮกแท้ๆ ก็ทำให้กลายเป็นชื่อปลอมไปเสียได้
ในเมื่อยังอับจนหนทางในการเข้าใกล้ ตันฮกจึงอาศัยสำนักนักปราชญ์สายเต๋าเป็นแหล่งพักพิงประจำ สร้างชื่อให้ตันฮกหรือชีซีนั้นเป็นที่รู้จักแพร่หลาย และคลุกคลีตีสนิทกันกับเหล่าบัณฑิตรุ่นใหม่ ซุยเป๋ง เบงคงอุย โจ๊ะกงหงวน กับยีเอ๋งอยู่เนืองๆ จนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ถึงกับได้เรียนรู้ค่ายกลพยุหะทางทหารเพิ่มเติมจากเหล่ามิตรสหาย นับว่า เป็นโชคดีเกินคาดหมายอีกประการหนึ่งด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา