Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ประจำวัน
•
ติดตาม
3 เม.ย. 2021 เวลา 03:04 • ปรัชญา
สิ่งที่เราเรียกว่าบาปและบุญ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่มองไม่เห็น หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นนั้นเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราสามารถเรียกว่ามันว่า “ความเเชื่อ” คงไม่เสียหายอะไร
หากมีแต้มให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เราทำเป็นบุญ หรือ สิ่งที่เราทำเป็นบาป ขึ้นมาให้เราเห็นมันคงจะง่ายที่จะใช้ชีวิต
ใช่มั้ยครับ เพราะถ้าเราทำสิ่งใดเราก็จะเห็นทันทีว่าเราทำดี หรือ ทำชั่วอยู่ ไม่ต้องมานั่งถกเถียงถึงกฏข้อห้ามมากมายที่เราต้องทำ เพราะกฏข้อห้ามเหล่านั้นเองก็ถูกสร้างจากคนๆ หนึ่ง เท่านั้น ทั้งนี้ผมไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งที่บุคคล ท่านนั้นสร้างเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพียงแต่มันเป็นเพียงสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริง
พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงแล้วเป็นอย่างไร? ถ้าเราปฏิบัติตามแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีเราก็ควรทำไม่ใช่หรือ?
ผมเองเชื่อว่าหลักคำสอนของพระพุทธองค์นั้นดีและสามารถนำมาปฏิบัติใช้จริงได้ แต่สิ่งที่ท่านเองพูดเอาไว้ว่าจง
“อย่าเชื่อสิ่งใด แม้แต่คำพูดท่านเอง หากยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยเหตุและผล”
นั้นทำให้ผมต้องคิดถึงหลักคำสอนเรื่อง บุญและบาป อย่างละเอียดอ่อนมากขึ้น
ในศาสนาของเราบุพการีนั้นเป็นบุคคลที่เราต้องเคารพเทิดทูน ควรกตัญญู ทดแทนบุญคุณที่ท่านให้เกิดมาและเลี้ยงดูท่านจนเติบใหญ่ การตอบแทนนั้นมีได้หลายรูปแบบ ดูแลท่านเมื่อยามเจ็บป่วย หาข้าวปลาอาหารให้ท่าน
หรือ ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระต่างๆ หากลูกที่ทิ้งพ่อแม่ให้แก่เฒ่าดูแลตัวเองตอนแก่ ไปอยู่บ้านพักคนชรา ให้คน
อื่นดูแลแทน ย่อมเป็นคนอกตัญญูในสายตาคนใช่มั้ยครับ? ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการอยู่ที่สถานดูแลคนชรา นั้น
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย เพราะความเชื่อที่ผิดว่าคนที่ไปอยู่ในสถานทีนั้นต้องเป็นคนที่ถูกทิ้ง และ ไร้คนดูแล
ลูกหลานไม่รัก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าความอกตัญญูจริงๆ หรือเปล่า เพราะในวัฒนธรรมอื่นๆ พอเข้าช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขาจะออกจากครอบครัวและใช้ชีวิตตามในแบบที่ตนต้องการ คนที่ยังอยู่กับครอบครัวกับกลายเป็นคนที่ดูเหลาะแหละ และ จะถูกมองด้วยสายตาแบบเดียวกับคนอกตัญญูในบ้านเราเช่นกัน เมื่อมองแบบนี้แล้วผมก็อดคิดไม่ได้ว่า บุคคลเหล่านั้นที่ปล่อยให้บุพการีตัวเองไปอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ นานๆ ลูกหลานจะมาเยี่ยมเยียนสักครั้งนั้น นับได้รึไม่ว่าเป็นคนบาป? หรือ เป็นเพียงคำสอนที่ต่างกันออกไปในแต่วัฒนธรรม เราสามารถพูดได้เต็มปากรึไม่ว่าความเชื่อในด้านนี้ของเราสามารถใช้ได้กับคนทั้งโลก? หากใช้ไม่ได้กับทุกคนแล้ว เราจะเชื่อได้อย่างไร?
การทำตามหลักคำสอนนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่เราทุกคนต้องเผชิญเพียงแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ท่านมอง
ข้อดี:
ในมุมมองของผมนั้นการที่เราถูกสอนให้ดูแล กตัญญูต่อบุพการีผู้มีพระคุณนั้น ทำให้ครอบครัวเป็นดั่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้ หากเราทำงานเหนื่อย หรือ เผชิญปัญหาชีวิตอันใด เรายังกลับมาพบพ่อและแม่ ที่คอยให้กำลังใจเราเสมอ พ่อแม่เองก็เช่นกัน สามารถทำกับข้าวของโปรดให้ลูกรักได้กินทุกวัน ได้รักแลดูแลพบเจอกัน เป็นกำลังใจที่ดีในการใช้ชีวิต ครอบครัวยิ่งแน่นแฟ้นผูกพัน
ที่สำคัญอีกหนึ่งแง่ในมุมมองของผมก็คือ ครอบครัวนั้นเป็นสถาบันที่แน่นแฟ้น ด้วยความที่เป็นสายเลือดเดียวกัน
ความรัก ความห่วงใยนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าความสัมพันธ์แบบอื่น เนื่องจากเรารู้จักกันตั้งแต่เกิด
ข้อเสีย:
ความคาดหวังของพ่อแม่คือสิ่งที่ทำให้คอนเซ็ปท์ของคำว่ากตัญญูผิดเพี้ยนไป บางท่านคิดว่าการมีลูกนั้น มีเพื่อที่จะให้ลูกเลี้ยงดูตอนตัวเองแก่เฒ่า จึงนำไปสู่ความคิดที่ว่า ลูกนั้นต้องเรียนเก่งและได้ดีในหน้าที่การงานเพื่อที่จะ
มาเลี้ยงดูตนได้ ความคิดนี้เป็นดั่งภาระหนักอึ้งที่บุพการีผู้มีพระคุณกำลังสร้างให้ลูกบังเกิดเกล้า ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือ
ไม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาและไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่ายเพราะการพูดออกไป ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น
การอกตัญญู
การใช้ชีวิตคนเดียวไม่ต้องห่วงใย หรือ สนใจครอบครัวมากนักนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบางคน แต่สิ่งที่ตามมานั้น เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า บางครั้งเราเองก็จะต้องโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งในบางสถานการณ์ ไม่เหมือน
คนที่อยู่กันเป็นครอบครัว
แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้ว สักวันคุณก็ต้องมีความรัก และ มีครอบครัวใหม่เป็นของตัวเอง ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
นั่นก็คือเรื่องปัญหา พ่อตา แม่ยาย ที่เมื่อเราแต่งงานแล้วต้องย้ายเข้าบ้านใครสักคนเพราะ ความคิดเรื่องการกตัญญู ที่เราต้องดูแลพ่อแม่นี้ ชีวิตของหลายๆ ท่านนั้นไม่มีความสุข เพราะว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ใน
บ้านของตัวเอง
อย่างไรก็ตามความต่างด้านวัฒนธรรมนั้นยากที่เราจะใช้วัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งเป็นหลักในการตัดสินว่า อันไหนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าไม่ควรตัดสินด้วย เพราะต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบหาสิ่งที่ถูกและผิดได้ หากเปรียบเทียบควรจะเทียบให้เห็นเสียมากกว่าว่าสิ่งที่เราคิดนั้น ก็ไม่แน่ว่ามันจะถูกต้องเสมอไป
เรื่องของชาวเอสกีโมที่ความกตัญญูของเขานั้นคือการฆ่าพ่อแม่ตัวเอง ในยามที่เขาแก่เฒ่า เพื่อให้พ่อแม่ไม่ต้องลำบากและเป็นภาระแก่กลุ่มของพวกเขา เพราะชาวเอสกีโมนั้นต้องอยู่ทนสู้กับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ สถานการณ์ของพวกเขานั้นไม่สามารถใช้ความเข้าใจของเราซึ่งอาศัย อยู่ในเขตเมืองร้อนชื้นที่อุดมไปด้วยอาหารแบบเราไปตัดสินแล้วจะเข้าใจได้ และมันเป็นหน้าที่ของลูกคนโตซึ่งต้องรับหน้าที่ปลิดชีวิต ความเชื่อของชาวเอสกีโมนั้น เชื่อว่าเมื่อตายแล้วเขาจะไปยังอีกโลกหนึ่ง เพราะฉะนั้น การที่เขาลงมือฆ่าพ่อแม่ตัวเองนั้น ไม่เพียงเป็นความกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่ยังเป็นเรื่องที่ควรกระทำด้วยเพราะเขาเชื่อว่าจะปลดเปลืองความทรมานและส่งพวกเขาไปในโลกอีกโลกหนึ่งเท่านั้น
เรื่องนี้หากนำความเชื่อของพุทธไปตัดสิน ชาวเอสกีโมนั้นจะต้องตกนรกไม่รู้กี่ชาติ เพียงเพราะความคิด และ สถานการณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้น บาปอันหนักหนาในศาสนาที่เราเข้าใจกลับกลายเป็นบุญอันใหญ่หลวงของ
ชาวเอสกีโม อันไหนบาปอันไหนบุญก็เริ่มจะสับสนขึ้นมาเสียแล้ว
ความเป็นไปได้ที่ชาวเอสกีโมนั้นจะเป็นฝ่ายที่คิดผิด และ เป็นฝั่งพุทธที่ถูกนั้น แน่นอนว่าเป็นไปได้ถ้าหากคุณเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่หากมองในมุมมองของชาวเอสกีโมนั้นที่ต้องเผชิญกับความหนาวและความอดอยาก สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ได้เลวร้าย แต่เป็นการปลดเปลื้องทุกข์ให้เสียอีก
แต่เนื่องจากการที่ผมเองก็เป็นชาวพุทธ จึงอยากขอพูดในมุมมองของชาวพุทธสักเล็กน้อย หากความเป็นไปได้ที่ชาวเอสกีโมนั้นทำผิดจริงและเป็นบาปหนา เมื่อชีวิตดับลงและถูกส่งไปที่หน้าประตูนรก เจอกับยมบาล เมื่อต้องตัดสินความผิดนี้ ท่านยมคงตัดสินได้ว่าบาปนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความไม่รู้ และ ยังเป็นบาปที่เกิดจากความคิดที่ดี ต้องการช่วยเหลือ ปลดเปลื้องความทุกข์ให้บุพการี หรือ พูดได้อีกอย่างด้วยการฆ่าเพราะรัก โทษนั้นย่อมเบาลงกว่า ลูกที่ฆ่าพ่อแม่เพราะจะเอาเงินไปเสพยาหลายขุมนัก
ในความเห็นของผมนั้นบาป หรือ บุญ จะมีจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญอะไร แต่ที่เขียนบทความนี้ขึ้นเพียงต้องการให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากเรื่องนี้บ้าง ว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันผิด อาจจะไม่ได้ผิดเสมอไป หรือ สิ่งที่เราเชื่อมาตลอดว่าถูกนั้น ไม่แน่ว่าจะต้องถูกต้องตามเราคิด หากแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
บทความนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากตอนที่ผมเรียนเรื่อง “มิลินทปัญหา” ในยูทูปหากทุกท่านสนใจผมจะใส่ลิงค์เอาไว้ ให้ทุกท่านได้ไปศึกษาต่อครับ
youtube.com
(พกศ ๐๗) อ่านมิลินทปัญหา (ตอนที่ ๑) สมภาร พรมทา
เจ้าของ : ศูนย์ศึกษาพุทธปรัชญา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยผู้บรรยาย : ศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทาวันที่เผยแพร่ : ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
เยี่ยมชม
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Lost in thoughts
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย