6 เม.ย. 2021 เวลา 02:02 • ปรัชญา
อะไรคือความจริง ความจริงในวันนี้ใช่ความจริงพรุ่งนี้หรือไม่
หากว่าด้วยเรื่องของความจริง (reality) หากมองโดยผิวเผินความจริงของทุกคนย่อมเป็นเหมือนกันหมด เช่น ดอกกุหลาบสีแดงดอกนี้หากวางไว้กลางห้อง คนใดเดินมาเห็นก็จะเห็นว่าเป็นดอกกุหลาบสีแดงใช่มั้ยครับ? หรือ หากเราพูดถึงสัตว์สักตัวหนึ่ง สมมุติว่าเป็นหมา ผมเชื่อว่าเราทุกคนจะคิดถึงสัตว์ตัวขนๆ มีสี่ขา มีหาง และ มักจะส่งเสียงดัง โฮ่งๆ สองอย่างนี้เป็นความจริงที่เราสามารถมองเห็นได้ หรือ เคยสัมผัสมาก่อน เพียงนึกย้อนไปก็รู้
แต่ในมุมมองด้านปรัชญา ความจริงนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นดั่งเราที่เห็นเสมอไป สิ่งที่เราเห็นมาทั้งชีวิตอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริง ในสายตาผู้อื่นก็เป็นได้ หรือ อาจอธิบายได้ว่ามันอาจจะมีความจริงที่จริงยิ่งกว่าสิ่งที่เราคิดว่าจริงครับ
ขอยกตัวอย่างด้วยเรื่องเล่าของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ไปทัศนะศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่ง
นักศึกษาไปทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ พอไปถึงอาจารย์ก็ให้เดิน รับชม พร้อมกับสั่งงานง่ายๆ ว่า หากชอบศิลปะชิ้นใด ก็ให้จดจำรายละเอียด ตีความ แล้วเขียนเป็นสรุปสั้นๆ ส่งให้อาจารย์เด็กๆ ก็เดินบ้างเป็นกลุ่ม บ้างเดินคนเดียว ค้นหางานศิลปะที่พวกเขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่มีงานศิลปะชิ้นหนึ่งคือ ดอกกุหลาบสีแดงวางเอาไว้ที่กลางโต๊ะไม้กลม เป็นที่น่าสนใจและแตกต่างจากงานชิ้นอื่น เพราะมันเรียบง่ายเสียอย่างมาก แถมชื่อของศิลปะชิ้นนี้ยังไม่เข้ากับสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างมาก เพราะชื่อของงานชิ้นนี้คือ “Reality” อย่างไรก็ตาม พอถึงเวลาที่กำหนดนักศึกษาก็ต้องออกจากพิพิธภัณฑ์
ระหว่างรอรถที่จะมารับ พวกเขาก็พูดคุยถึงงานที่ตนสนใจ บ้างพูดถึงงานที่ตนคิดว่าสูงส่ง บ้างพูดถึงงานที่คิดว่าลึกล้ำซ่อนความหมาย แต่มีนักศึกษาคนหนึ่ง (a) ถามเพื่อนๆ ว่า “พวกนายเห็นดอกกุหลาบที่ตั้งอยุ่บนโต๊ะหรือไม่?” ทุกๆ คนต่างบอกว่ามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจอะไรก็แค่ดอกไม้สีแดงวางอยู่บนโต๊ะเท่านั้น แต่มีนักศึกษาคนหนึ่งเขาพูดขึ้นว่า “ดอกกุหลายที่พวกนายเห็นเป็นสีแดง เรากลับเห็นเป็นสีเขียวขี้ม้า” เพื่อนๆ ก็พูดขึ้นว่าเพราะนายตาบอดสีน่ะสิ แล้วก็หัวเราะ แต่มันกลับทำให้นักศึกษา (a) ที่ถามถึงกุหลาบบนโต๊ะเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้น
พอกลับไป a ก็เริ่มไปคิดถึงสิ่งที่เรียกว่า reality นี้ ว่าสรุปแล้วอันไหนคือความจริงกันแน่ กุหลาบสีแดงที่เขาเห็น
กลับมีคนที่มองเห็นไม่เหมือนกับเขา ความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่? หรือว่าทั้งคู่นั้นเป็นความจริงหมด?
และตัวเขาสามารถยอมรับได้หรือไม่ว่าความจริงของเขาไม่ใช่ความจริงของเพื่อนที่บอดสี? คำถามมีมากมาย
ในใจ และ สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเพราะเขาจะต้องเขียนรายงานสรุปให้อาจารย์
“สรุปได้ว่า ดอกกุหลาบที่ผมเห็น ณ ตอนที่ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นั้นมีชื่อว่า Reality ก็เพราะว่ามันทำให้เราฉุกคิด
ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ ว่าเราไม่อาจเชื่อสิ่งที่ตาเห็นเพียงอย่างเดียวได้ หากแต่ต้องไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้หลายๆ อย่างด้วย เช่น หากเราวางดอกกุหลาบเอาไว้ในห้องมืดไม่เปิดไฟใดๆ ดอกกุหลาบก็จะยังคงมีอยู่
แต่เราคงเห็นได้เป็นลางๆ สีดำๆ ไม่ใช่สีแดงสดใสเหมือนกับตอนที่เราเปิดไฟสว่างสไว นั่นจึงทำให้ความจริงของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และ ความจริงไม่มีผิดและถูก สิ่งที่เราเห็นไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะต้องเห็นด้วยเหมือนเรา
สิ่งที่เราเข้าใจว่าถูก ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกเสมอไป ความจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์หรือเงื่อนไขบางอย่าง”
มันอาจจะสับสนไปบ้างในครั้งแรกๆ ที่คุณคิดถึงเรื่อง แต่หากคุณทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ได้คุณเองก็จะออกมาพบกับความจริงที่เหนือไปกว่าความจริงเดิมที่คุณเคยเห็นหรือพบเจออยู่ เพราะความจริงในวันนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะจริงแท้จีรังตลอดไป หากย้อนไปนานสักหน่อย จะมียุคหนึ่งที่ผู้คนเชื่อว่าโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นแบน
หากแล่นเรือออกทะเลไปสุดเส้นขอบฟ้า เรือนั้นก็จะตกโลกไป อันนั้นก็คือความจริงของคนยุคนั้น และ พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในเกาะของเขา ไม่แล่นเรือออกไปไกลถึงเส้นขอบโลก แต่วันหนึ่งมีคนๆ หนึ่งบอกว่าไม่จริงหรอก เขาไม่เชื่อว่าแล่นไปแล้วมันจะตกไปตาย เขาก็แล่นเรือออกไปสุดท้ายได้ไปเจอสถานที่ใหม่ๆ เกาะใหม่ๆ ทรัพยากรใหม่ๆ ความจริงของคนที่แล่นออกเรือไปนั้นก็เป็นความจริงอันใหม่ เขาดีใจมากจึงแล่นเรือกลับมาที่เกาะ เล่าให้เหล่าคนที่คิดว่าโลกแบนนั้นฟัง คนที่ยังอาศัยอยู่ในความจริงเก่าก็ไม่เชื่อว่าเขานั้นเจออะไรมาบ้าง จนเขาต้องออกเรือไปอีกครั้งและนำทรัพยากรที่ไม่อาจพบได้ในเกาะนี้มาให้พวกเขาดู พวกเขาจึงเชื่อว่าโลกนี้มันไม่ได้แบนแบบที่พวกเขาคิดและในที่สุดพวกเขาก็ไปสู่ความจริงใหม่อันนี้ได้ และ ใช้ทรัพยากรใหม่ๆ เหล่านี้ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา