15 เม.ย. 2021 เวลา 03:15 • ความคิดเห็น
ถ้าผ่อนรถไม่ไหว อย่าปล่อยให้รถโดนยึด
รถยนต์แทบจะเป็นหนี้สินก้อนแรกๆของทุกคน ที่เป็นหนี้สินก้อนใหญ่มูลค่าสูงเป็นหลักแสน และมีระยะเวลาผ่อนยาวนานมากกว่า 1 ปี
คนมักตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้โดยง่าย เพราะมีความจำเป็นในชีวิตประจำวันอาจจะไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบาย แต่จำเป็นในแง่ของการประกอบอาชีพ
รถยนต์เป็นสินเชื่อที่ของ่ายกว่าสินเชื่อในสินทรัพย์อื่นๆ เพราะนอกจากจะขอกู้ผ่านธนาคาร หรือสถาบันการเงินใหญ่ๆแล้ว สามารถขอกู้กับเจ้าหนี้รายย่อยเช่น เต้นท์รถ ได้อีก ดังนั้น เรื่องการตรวจสอบเครดิต หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ จึงไม่ได้ตรวจสอบมากนัก
โอกาสที่ผู้ซื้อรถยนต์จะผ่อนไม่ไหว เกิดการขาดชำระค่างวดจึงมีมาก
อีกทั้งรถยนต์ยังเป็นทรัพย์สินที่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานและบำรุงรักษา โดยทุก 1 กม.ที่มีการออกวิ่ง ไม่ใช่มีเพียงแค่ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง แต่มีทั้ง ค่าน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง ค่าน้ำมันเบรก ค่าเปลี่ยนอะไหล่เนื่องจากการสึกหรอต่างๆ ฯลฯ
ไม่นับว่า หากเป็นการซื้อรถยนต์มือสองมา จะมีความเสี่ยงที่มีค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน แทรกมาระหว่างการผ่อน เป็นค่าซ่อมก้อนใหญ่มาแบบไม่รู้ตัวก็ได้
หากไม่มีการวางแผนการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์มาไว้ก่อนการซื้อ คิดถึงไว้แต่ค่าผ่อนชำระรายเดือนอย่างเดียว เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะตามมา ก็จะกระทบสภาพคล่องทางการเงินส่วนอื่นๆได้
และในช่วงสถานการณ์ covid-19 ที่ยาวนาน อาจจะมีหลายท่านที่รายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง มีผลให้ไม่สามารถชำระค่างวดรถยนต์ เหมือนที่เคยได้
บางท่านอาจจะไปสร้างหนี้ก้อนใหม่ที่ดอกเบี้ยสูงกว่า แต่หยิบยืมง่าย เช่น กดเงินสดจากบัตรเครดิต ที่อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 28%++ ต่อปี มาประทังการผ่อนชำระรถยนต์ที่อัตราดอกเบี้ย 4-5% ต่อปี เพียงเพื่อประวิงเวลาไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้
ทางเลือกที่สถาบันการเงินเสนอในตอนนี้ คือ นำรถเข้าไป refinance อีกครั้ง เพื่อหาทางออกให้ชำระหนี้ได้ แต่หากว่า refinance แล้ว สถานการณ์การเงินของเราก็ยังไม่ดีขึ้น ยังผ่อนไม่ไหวอยู่อีกหล่ะทำอย่างไรดี
เงินทองต้องวางแผนแนะนำให้รีบนำรถไปขายแล้วปิดหนี้ไปก่อน สถานการณ์ดีขึ้น ค่อยซื้อรถใหม่อีกครั้ง หรือ ซื้อรถที่ราคาถูกลง พอดีกับภาวะการเงินของเรามาใช้ไปก่อน
เหตุผลก็เพราะว่า
หากเราผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลาหลายเดือน จะมีการติดตามทวงถาม และสุดท้าย ทางเจ้าหนี้จะตามมายึดรถในที่สุด
เรื่องไม่จบแค่ยึดรถ แต่ยังมีหมายศาลตามมาในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ได้แก่ ค่าติดตามทวงถาม ดอกเบี้ยคงค้างต่างๆ และที่สำคัญ
☝ราคาประเมินที่เจ้าหนี้ประเมินรถที่ยึดไป จะต่ำกว่าราคาหนี้สินที่เราค้างไว้ [นำรถไปขายเอง จะได้ราคามากกว่าราคาที่เขาประเมิน]
แปลว่า เมื่อถูกยึดรถไปแล้ว ยังมีหนี้ก้อนโตอีกหลักแสนที่เราต้องชดใช้อีก
หากใครมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องตกใจค่ะ เดินหน้าไปพบเขาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยการชำระหนี้เท่านั้น อย่าหนีหายไปเด็ดขาด จะเสียหายมากกว่านี้มาก
ไม่มีเจ้าหนี้รายไหนอยากขึ้นศาลให้เสียเวลา และค่าใช้จ่าย เขายินดีเจรจากับลูกหนี้เสมอ เราต้องพยายามเจรจาไกล่เกลี่ยหาทางออก เพื่อขอลดยอดชำระให้น้อยที่สุด และขอขยายเวลาที่เราสามารถชำระได้
ทางที่ดี หากประเมินแล้วว่าจะมีสัญญาณของการผ่อนไม่ไหว รีบหาทางนำรถไปขาย ตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาเรื้อรังใหญ่โตนะคะ
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ เราจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปด้วยกัน ✌

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา