17 เม.ย. 2021 เวลา 14:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
อีกเพียงแค่ 10 วันเท่านั้นที่คอหนังจะต้อนรับการมาของงานประกาศรางวัลที่ถือได้ว่ายิ่งใหญ่และทรงคุณค่ามากที่สุดรางวัลหนึ่งของโลก นั่นก็คือ Academy Awards หรือที่เราคุ้นกันในชื่อรางวัลออสการ์
ปีนี้เลื่อนมาประกาศเดือนเมษายน นานกว่าปกติเพราะโดนไฟลท์บังคับจากสถานการณ์โควิด-19
หลายท่านอาจไม่ได้ยี่หระอะไรมากนักกับรางวัลที่โดนค่อนขอดว่า “โชว์ปาหี่” แต่สำหรับนักแสดงบางคน ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า “การได้มีรูปปั้นตุ๊กตาทองคำไว้ครอบครองก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่น้อย”
เรื่องนี้มีเหตุผลนอกเหนือไปจากความภาคภูมิใจ หากทุกท่านพร้อมแล้ว เชิญเสพย์ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ได้
ก่อนที่จะไปเริ่มตะลุยกัน เรามาดูที่มาที่ไปของรางวัลออสการ์กันสักเล็กน้อยก่อนดีกว่า
จริง ๆ แล้วรางวัลนี้มีชื่อทางการว่า Academy Awards เริ่มมีการให้รางวัลกันตั้งแต่ 1929 แต่ด้วยความที่ชื่อมันยาวเรียกยาก นักแสดงสาวยุค 30’s เบ็ตต์ เดวิส (Bette Davis) ได้อ้างว่า ตนเรียกชื่อรางวัลนี้ตามสามีคนแรกของเธอ แฮมมอน “ออสการ์” นิลสัน ก่อนที่ชื่อนี้จะถูกสื่อนำไปตีพิมพ์จนทำให้แพร่หลายจนติดหู
ส่วนอีกข้อสันนิษฐานก็คือ ชื่อนี้มาจากหนึ่งในพนักงานและเลขาฯ ของผู้บริหารสถาบันนามว่า มากาเร็ต เฮอริค (Magaret Herrick) เธอได้ชมการมอบรางวัลในปี 1931 และได้เห็นรูปปั้นบนถ้วยรางวัลที่ทำให้เธอนึกถึงลุง "ออสการ์" (Oscar) ของเธอ จึงเรียกถ้วยรางวัลนี้ว่าออสการ์มาโดยตลอด
ไม่ว่าจะทางไหนก็ถือว่าเป็นกิมมิกน่าขันเล็ก ๆ สีสันแก่รางวัลที่ดันได้ผลชะงักยาวจนถึงปัจจุบัน
แต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่งอกงามตามมาด้วยกับชื่อของรางวัลคือ “ความพยายามจะแปรเปลี่ยนเวทีรางวัลให้เป็นกระบอกเสียงสำหรับสังคม”
https://waldina.com/2018/07/12/happy-134th-birthday-louis-b-mayer/
ในช่วงยุคแรกเริ่มที่สตูดิโอของฮอลลีวู้ดมีเพียงแค่หยิบมือ เมโทร โกลด์วีน เมเยอร์ (Metro Goldwyn Mayer) รับหน้าเสื่อเป็นบิ๊กบอสในวงการนี้ หัวเรือใหญ่อย่าง ลูอิส บี เมเยอร์ (Louis B. Mayer) ต้องการให้วงการฮอลลีวู้ดเป็นทะเลคลื่นที่ตีโต้การกัดเซาะของระบอบคอมมิวนิสต์ (Communism)
เขาถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลระดับต้น ๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักการเมือง สมาชิกวุฒิสภาคองเกรส นักลงทุน และเจ้าของสำนักพิมพ์ ทั่วทุกสารทิศ เพราะฉะนั้นเขาจะรับรู้เรื่องราวสำคัญ ๆ และกระแสของโลกไวกว่าชาวบ้านที่อ่านหนังสือพิมพ์
ดังนั้น เขาจึงเริ่มทำการ “ล็อบบี้ยิสต์” (Lobbyist) วงการสื่อให้นำเสนอแนวหนังที่เขาต้องการลงในหน้าหนึ่ง เมเยอร์ทุ่มเงินไปกับการปั้นกระแสหนังในสตูดิโอของเขาเพื่อให้ผู้คนทั่วทุกระแหงรู้จักหนังของเขามากที่สุด โดยมีเวทีออสการ์เป็นหมุดหมายสำคัญของแคมเปญนี้
เมื่อใดก็ตามที่หนังของเขาขึ้นรับรางวัล มันหมายถึงทุกหมัดที่สวนกลับแนวคิดคอมมิสนิสต์ และผู้คนที่ฝักใฝ่ในระบอบนี้ ความเป็นอุตสาหกรรมชาตินิยมนี้ส่งผลให้ผู้คนให้ความสนใจในรางวัล Academy Award มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพวกเขามองว่า “นี่แหละคือการทำธุรกิจที่ตอบแทนสังคม”
1
ดังนั้นธีมหลัก ๆ ของเวทีออสการ์ช่วงนั้นก็จะวนเวียนแต่กระบวนการคิดเชิงอนุรักษ์นิยม ชาตินิยม เพื่อปลุกปั่นให้ผู้คนเข้าใจถึงความน่ากลัวของระบอบคอมมิวนิสต์และความจำเป็นในการส่งทหารเข้าไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องความเท่าเทียมกันทางสังคม หรือความหลากหลายทางเพศสภาพ และผิวสี ยังถือเป็นเรื่องที่หลายคนไม่เข้าใจว่าจะมีไปทำไม
เพราะฉะนั้นเวทีออสการ์ก็เลยผูกขาดผู้ชนะพิมพ์นิยมแนวเดิม ๆ มาเกือบตลอด และนักแสดงเหล่านี้ก็ถือเป็นต้นแบบของการเรียกค่าตัวที่สูงขึ้น นักแสดงชายสามารถเรียกเพิ่มได้มากกว่าเดิมถึง 4 เท่า ในขณะที่นักแสดงหญิงจะเรียกเพิ่มขึ้นได้แค่ราว 1.5 เท่าจากค่าตัวเดิม
https://waldina.com/2018/07/12/happy-134th-birthday-louis-b-mayer/
การผูกขาดทางสตูดิโอและนักแสดงในเวทีออสการ์เริ่มเสื่อมถอยลงหลังการมาถึง “โทรทัศน์” ผู้คนเริ่มเข้าถึงข่าวสารง่ายขึ้น เริ่มรับรู้ถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงง่ายมากขึ้นทั้ง การต่อต้านสงครามเวียดนาม การริเริ่มเรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเพศ, การยอมรับเพศที่ 3 และคนผิวสี ในบางแห่งของสังคมอเมริกา
จุดเปลี่ยนสำคัญของวงการฮอลลีวู้ดก็มาถึงระหว่างเลือกดำเนินตามวิธีแบบเดิม หรือจะนั่งไปบนเรือแป๊ะที่คนดูจะเป็นผู้กำหนดทิศทางว่าควรจะไปทางไหน
แน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของสตูดิโอและกรรมการรางวัลออสการ์เฉียบแหลมมากพอที่จะไม่ยอมให้ “เวทีรางวัลอันทรงเกียรติเป็นแค่เครื่องมือทางบริบทสังคมใดสังคมหนึ่งไปตลอด” พวกเขายอมรับพลวัตการเปลี่ยนแปลง แต่จะเป็นในรูปแบบ “ค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น” เพื่อไม่ให้คนดูจากซีกขวารู้สึกตะขิดตะขวงใจมากเกินไป
เพราะฉะนั้นในสาขาหลัก ๆ อย่าง นักแสดงหลัก นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมทั้งชายและหญิง ในแต่ละปีที่เข้าชิงต้องสำรอง 1 ที่นั่งแน่ ๆ ให้กับนักแสดงผิวสีไม่สาขาใดก็สาขาหนึ่ง อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ชนะในปีนั้น ๆ แต่กรรมการออสการ์ถือว่า “เราให้เกียรติคุณมีที่ยืนเป็นตัวแทนของคนผิวสีทั้งหมดแล้ว”
https://www.hollywoodreporter.com/news/ellen-degeneres-oscar-selfie-tops-757364
ตัดภาพกลับมาที่ยุคปัจจุบัน การล็อบบี้ยิสต์นิตยสาร สำนักพิมพ์ยังคงอยู่ หนักข้อเข้า การสร้างแคมเปญการตลาดต่าง ๆ เพื่อส่งหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์เริ่มมากขึ้น จนการจะส่งหนังสักเรื่องหนึ่งเข้าพิจารณาในเวทีออสการ์เริ่มกลายเป็นกระบวนการ “เพื่อเชิงพาณิชย์” มากกว่า “คุณภาพของตัวหนัง”
เพราะหนังที่อย่างน้อยได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจะมีโอกาสกอบโกยเม็ดเงินเข้ากระเป๋ามากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า”
ซินเธีย สวอร์ตซ์ (Cynthia Swartz) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านการวางแผนประชาสัมพันธ์แคมเปญออสการ์ เผยว่า เขาและทีมงานคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแคมเปญหนังออสการ์อย่าง Crash, Pulp Fiction, Chicago, The Hurt Locker จนถึง The Revenant ที่สตูดิโอต่างวิ่งเข้าหาเพื่อใช้การเสนอชื่อเข้าชิงให้เป็นประโยชน์เหมือนกับเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้บริหารธุรกิจ
ต้องขอบคุณกระแส #Metoo และ #Oscarsowhite ในช่วง 3-4 ปีหลังที่ทำให้เวทีออสการ์ยกระดับการเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาอีกขั้น และทำหน้าที่สมเป็น “เวทีกระบอกเสียง” ให้กับเสียงเรียกร้องจากสังคมอีกครั้ง
จากตลอดทั้งหมด 93 ปีที่รางวัลออสการ์โลดแล่นขึ้นมา “มีผู้กำกับผู้หญิงเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น” ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่ปี 2021 นี้มีถึง 2 คนถูกเสนอชื่อเข้าชิงภายในปีเดียว
https://www.forbes.com/sites/jeffewing/2020/01/29/why-parasite-is-the-best-picture-of-the-year/
ไม่เพียงเท่านั้นอย่างที่หลายคนทราบดีว่า ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปีที่ผ่านมาอย่าง Parasite คือ “ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม”
การที่รางวัล Academy Awards ที่ถูกริเริ่มขึ้นมาเพื่อตอบแทนคุณูปการ นักทำหนังและคนทำงานในสายงานภาพยนตร์ทั่วโลก (แม้มันจะดูเหมือนสนองความต้องการแค่คนอเมริกาก็ตาม) แต่กลับต้องใช้เวลาเกือบ 100 ปีที่หนังจากชาติอื่นจะแทรกตัวเบียดเข้าไปยืนในจุดสูงสุดได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดหวังทางอุดมการณ์พอสมควร
เพราะทั้งหมดทั้งมวล รางวัลอันทรงเกียรติรายการนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก “เวทีแสดงออกวาทะกรรมทางการเมือง สังคม กระแสนิยมโลก ดี ๆ นี่เอง” และในโมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ได้ค่อย ๆ เชื่อมช่องว่างระหว่างสีผิว เพศสภาพ เชื้อชาติ เข้ามาชิดกันเรื่อย ๆ “การเปลี่ยนแปลงของรางวัลออสการ์เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ได้ดำเนินไปอย่างช้า ๆ อีกครั้งหนึ่ง”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา