25 เม.ย. 2021 เวลา 00:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EP. 12.1 - ตัวอย่างการวิเคราะห์เหรียญ luna ตอนที่ 1
4
หมายเหตุ- บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน แต่มีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ข้อมูลในบทความนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะมีข้อมูลบางอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจะเกิดขึ้นได้จากความไม่เข้าใจของผู้เขียน หรือความผิดพลาดของผู้เขียน นักลงทุนต้องทำการบ้านด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง
3
เหรียญ Luna เป็นเหรียญ Native token ของ Terra chain เราจึงต้องเริ่มต้นโดยการศึกษา Terra chain ก่อนครับ
2
Terra chain ก่อตั้งโดย Do Kwon และ Daniel Shin
2
Do จะเก่งเรื่อง Coding ส่วน Daniel นั้นเป็นเจ้าของ TMON e-commerce รายใหญ่ในเกาหลีใต้
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน blockchain นั้นยังมีความนิยมอยู่ในระดับที่จำกัดอยู่เพียงคนกลุ่มน้อย และ Product ส่วนใหญ่ที่ออกมาตอนนี้ยังคงเน้นจับกลุ่มคนที่เข้าใจ Blockchain ดีอยู่แล้ว (ดูจากรูปข้างล่างคือกลุ่มซ้ายมือ 2 ก้อน ขอเรียกสั้นๆว่า Early)
1
Vision ของทั้งคู่ คือการสร้าง Blockchain ที่สามารถแก้ปัญหาในโลกจริงได้เป็นหลัก ซึ่งเน้นจับกลุ่ม 3 ก้อนขวามือที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก (ขอเรียกกลุ่มนี้สั้นๆว่า Mass) แต่การที่จะจับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าและยากกว่าการจับลูกค้ากลุ่ม Early มาก เพราะว่าจะต้องมีการ educate ลูกค้าอีกมาก รวมถึงจะต้องสร้าง product ที่มีความเข้าใจง่ายและแก้ Pain point ของ Blockchain ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
3
ซึ่งปัญหาใหญ่ตัวนึงของ Blockchain คืออะไร?
ก็คือความผันผวนของ Crypto currency นั้นเอง ถึงแม้ว่า Bitcoin จะมีขนาดใหญ่มากและเป็นที่นิยมที่สุด แต่ลองคิดภาพว่าเราจะเอา Bitcoin (btc) มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้จริงมั๊ย?
ด้วยความผันผวนของราคา btc นั้นทำให้ในทางปฏิบัติจริงนั้นไม่สามารถเอามาใช้งานได้เลย โดยเฉพาะธุรกิจที่มี margin ต่ำมากเช่นค้าปลีก ซึ่งอาจจะมี net margin อยู่ที่ 2-3% ถ้าขายของเป็น btc ตอนขายของอาจจะมีกำไร แต่พอจะแลกเป็นเงินสด ราคา btc ลดลงไป 5% จากที่เคยคิดว่ากำไร 2-3% กลายเป็นขาดทุนทันที 2-3%
1
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้จริงก็คือ Stable coin ซึ่งเป็นเหรียญที่มีความผันผวนต่ำ
1
(ผมขอยกเว้น tesla ไว้รายนึงนะครับ เพราะจริงๆแล้ว Elon Musk ไม่ได้ให้ลูกค้ามาซื้อรถเทสล่าด้วย bitcoin แต่ Elon กำลังซื้อ bitcoin ด้วยรถเทสล่าต่างหาก)
3
Terra ก็เลยสร้าง Stable coin ของตัวเองขึ้นมาชื่อว่า ust ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Algo stable coin (ในส่วนของ Stable coin แต่ละแบบจะขอยกไปเขียนบทความอื่นนะครับ รายละเอียดมันค่อนข้างเยอะ)
Ust นั้นทำงานอย่างไรลองไปดู คลิปสั้น 3 นาทีครึ่งนี้
3
ปัจจุบัน Terra ได้สร้าง stable coin ออกมาหลายสกุลแล้ว (รวมถึงไทยบาทด้วย) แต่ตัวที่เป็นนิยมจริงๆตอนนี้มีอยู่ 2 ตัวคือ ust (peg กับ usd) และ kwt (peg กับ korea won)
ทีนี้การที่จะจับลูกค้ากลุ่ม Mass ได้นั้น จะต้องทำให้ Product ใน Blockchain นั้นเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง โดยที่คนใช้งานนั้นแทบจะไม่ต้องมีความรู้อะไรเกี่ยวกับ bc ก็ใช้งานได้ (เหมือนกับที่เราใช้ line ใช้ facebook โดยไม่ต้องไปเข้าใจ technology เบื้องหลังของมัน)
1
Terra ก็เลยสร้าง Product ออกมาอีก 3 ตัวหลักๆ คือ
1. Chai - เป็น App สำหรับใช้จ่ายเงิน ซึ่งตอนนี้ใช้อยู่ในประเทศเกาหลีมีผู้สมัครใช้งานแล้วประมาณ 2.3 ล้านคน และมี Daily active users ประมาณ 70000 กว่าคนทุกวัน และกำลังพยายามขยายไปประเทศอื่นๆ อยู่
3
https://www.youtube.com/watch?v=yBQrn4bc2Xw
ซึ่งในแง่การใช้งานจริงนั้นแทบไม่ต่างจากการใช้เงิน e-cash ปกติเลย แต่มีข้อดีเหนือการใช้เงินปกติคือ ในเกาหลีเวลาที่จะซื้อของผ่าน e-cash นั้นร้านค้าจะโดนเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 2.5-3% และกว่าจะได้เงินก็จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 6 วัน
(หลายประเทศในโลกก็เป็นคล้ายๆ กัน จะมีก็ประเทศไทยนี่แหละที่โอนเงินค่าธรรมเนียม 0 และได้เงินทันที)
6
แต่ถ้าลูกค้าหันมาใช้ chai ซึ่งระบบหลังบ้านก็คือ Terra blockchain ร้านค้าจะเสียค่าธรรมเนียมเหลือเพียง 0.1-1% และได้เงินภายใน 6 วินาที ซึ่งสามารถลดต้นทุนให้ร้านค้าได้มากและสามารถนำเงินไปหมุนได้เร็วกว่ามาก
6
2. Mirror - เป็น app ที่สามารถให้คนซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาล้อไปกับราคาสินทรัพย์อะไรก็ได้ในโลก เช่น aapl tesla goog หรือจะซื้อกองทุน spy qqq หรือจะซื้อทอง เงิน น้ำมัน ก็มีให้ซื้อได้
1
ซึ่งผมเคยเขียนถึงไปนิดหน่อยแล้ว https://www.blockdit.com/posts/6073b0364229ac0c4eb951db
1
ในเกาหลี รวมถึงในอีกหลายๆประเทศ การที่จะซื้อหุ้นต่างประเทศนั้น มันมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่ยุ่งยาก ภาษี Capital gain ที่สูงมาก หรือบางประเทศนักลงทุนไม่สามารถออกไปลงทุนต่างประเทศได้เลยด้วยซ้ำ
1
ซึ่งถ้าไปดูใน Blockchain อื่นๆ Product ที่เป็นที่นิยมจริงๆ เช่น Pancakeswap Uniswap ก็จะเน้นไปที่การเทรด Crypto เป็นหลัก ในขณะที่ลูกค้ากลุ่ม mass นั้นไม่เข้าใจคริปโตและไม่ได้อยากเทรดคริปโต แต่จะมีความคุ้มเคยกับการเทรดหุ้นมากกว่า Mirror จึงพยายามตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ได้
1
3. Anchor เป็น Bank ที่ทำงานบน Blockchain เค้าออกมาเพื่อแก้ปัญหา app กู้ยืมอื่นๆ ที่มีอยู่ใน chain อื่น เช่น compound aave ซึ่งมีข้อเสียคือดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝากนั้นมีความผันผวนไปตาม demand supply แต่ละช่วงเวลา สำหรับคนฝากอาจจะได้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 1-15%
1
แต่สำหรับ mass ที่ปกติจะไม่ชอบความผันผวน ปัจจุบันยังคงฝากธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยได้ 0.05-2% แต่ปลอดภัยกว่าและความผันผวนน้อยกว่า แต่ก็มีดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ
anchor ก็เลยสร้าง bank ให้คนมาฝากเงินได้โดยมีอัตราดอกเบี้ย fix ซึ่งปัจจุบันสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ที่ 20% ต่อปี และจะถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้ ในรายละเอียดว่า 20% ของ anchor นั้นมาจากไหนและยั่งยืนแค่ไหน ต้องเขียนแยกออกมาอีก 1 บทความครับ
2
ระหว่างนี้ terra รวมถึง fintech รายอื่นๆ กำลังพยายามนำ product หลัก 3 ตัวนี้ของ terra มาใส่ไว้ใน app เพื่อให้คนทั่วไปใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องเข้าใจ Blockchain
ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ถ้า terra สามารถนำ product ของตัวเองเข้าสู่ Mass adoption ได้จริง การเติบโตน่าจะสูงมาก (ตอนนี้ก็มีทยอยออกมาบ้างแล้ว ในอีก 6 เดือนข้างหน้าก็น่าจะมีออกมาอีกไม่น้อย)
1
twit ล่าสุดของ ceo terra
เขียนมาตั้งนานยังไม่ได้เข้าส่วน tokenomic กับ valuation เลย ขอเก็บเอาไว้ตอนหน้านะครับ
โฆษณา