4 พ.ค. 2021 เวลา 02:44 • สุขภาพ
“เสพติดการขอกำลังใจ”
“เสพติดการขอกำลังใจ” ส่งผลอย่างไร ?
บางครั้งในวันที่เหนื่อยล้า
หรือ ในช่วงเวลาที่ทุกข์ใจ
เราอาจอยากได้กำลังใจจากใครสักคน
เพื่อเป็นการเติมแรงใจ
เหมือนกับต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ได้รับการรดน้ำ
“ฟื้นฟูกำลัง”
ก่อนจะกลับไปเดินทางชีวิตต่อ
การได้รับความห่วงใย ความเอาใจใส่
“อย่างถูกที่ถูกเวลา”
ย่อมเกิดประโยชน์กับใครก็ตามที่ได้รับ
แต่จะเป็นอย่างไร
หากเราเผลอหมกมุ่นอยู่กับ
“การเรียกร้องหากำลังใจ”
ซึ่งย่อมหมายถึง
การตั้งกฎเกณฑ์ตายตัวให้กับชีวิตว่า
-ต้องมีคนคอยให้กำลังใจ
-ถ้าอยากได้กำลังใจแล้วต้องได้
-คนอื่นต้องคอยเติมพลังให้
“อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนให้กำลังใจ”
ปัญหาชีวิตจะเริ่มทันที
หากเราเผลอพาตัวเอง
ไปขังไว้ในคุกแห่งการเรียกร้องเช่นนี้
เบื้องหลังของการเรียกร้องหากำลังใจ
(หมกมุ่นอยู่กับการเรียกร้อง)
มักจะมีโจทย์บางอย่างในใจซ่อนอยู่
ตัวโจทย์ในใจนี้
มักจะชอบทดสอบ หรือ ชอบพิสูจน์
“อะไรบางอย่าง”
เช่น
-ฉันสำคัญพอไหม
-ฉันมีค่ารึเปล่า
-ฉันดีพอจะได้รับสิ่งดี ๆ ไหม
-ฉันมีตัวตนรึเปล่า
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้จึงเท่ากับว่า
“เป็นการเรียกร้องหาคนมาพิสูจน์บางสิ่ง”
ด้วยเหตุนี้
การขอกำลังใจ (แบบมีโจทย์ในใจ)
นอกจากจะเป็นการอยากได้พลังใจแล้ว
ยังกลายเป็นสิ่งที่แอบซ่อนจุดประสงค์บางอย่างเอาไว้
พอไม่มีใครให้กำลังใจก็อาจเสียใจ
จนนำไปสู่การเรียกร้องหนักขึ้น
โวยวาย เศร้าซึม หรือ ทุกข์ยิ่งกว่าเดิม
(เนื่องจากผิดหวังที่ไม่ได้กำลังใจ - ผิดหวังที่ถูกพิสูจน์ว่าไม่ดีพอ)
การใช้ชีวิตโดยมีโจทย์ในใจ
ซึ่งยังไม่ได้รับการคลี่คลายเช่นนี้
มักจะพาชีวิตของเรากลับไปยังสถานการณ์เดิม ๆ
เช่น โดนเมินบ่อย ๆ หรือ โดนละเลยเป็นประจำ
จนสร้างรอยร้าวในสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง
และส่งผลกระทบต่อความสุขในชีวิตของตนเอง
ดังนั้น
“ไม่เป็นไรที่เราจะเหนื่อย และ อยากได้กำลังใจ”
แต่หากเราผูกมัดชีวิตของตัวเอง
ไว้กับการตอบสนองของผู้อื่น
แล้วคอยจดจ้องและจับผิดว่า
“จะได้รับกำลังใจไหม - จะมีใครสนใจไหม”
นี่จึงกลายเป็นการสร้างความทุกข์เพิ่มให้กับตนเองทันที
เพราะนอกจากอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตที่ถาโถมเข้ามาแล้ว
ยังต้องมาเหนื่อยกับการนั่งลุ้น กดดัน และเฝ้ารอกำลังใจอีก
“การเรียกร้องกำลังใจ จึงย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา