9 พ.ค. 2021 เวลา 04:13 • สุขภาพ
เราจะฉีด vaccine ตัวไหนดี
เราควรรอ Vaccine Pfizer หรือ Moderna หรือไม่
Vaccine Pfizer ดีกว่า Astra จริงหรือไม่
มาดูข้อมูลงานวิจัย ล่าสุดกัน
9
https://fivethirtyeight.com/features/does-it-matter-which-covid-19-vaccine-i-take/
ขณะตรวจ คุณลุงเบาหวาน
ที่รักษากันมานาน
หลังดู Lab +สั่งยาเสร็จ ก็แนะนำคนไข้
3
หมอ : วันนี้คุณลุงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ก่อนด้วยนะ
แล้วอีก 1 เดือนข้างหน้า
ลุงค่อยไปฉีดวัคซีน covid นะครับ
ลุงครับอย่าลืมไปลงทะเบียนในแอปหมอพร้อมนะครับ
จะได้ฉีดวัคซีนป้องกัน covid
ตามวันเวลาที่สะดวก
3
คนไข้ : ใครจะไปฉีดวัคซีน Covidกันหมอ ฉีดแล้วก็เป็นลิ่มเลือดอุดตันและเป็นอัมพาต เห็นว่า รัฐบาลบังคับให้พวกหมอฉีดกันเนี่ย
หมอนี่ไม่ตามข่าวเลย เห็นข่าวว่าเป็นอัมพาตกันเป็นร้อยเลยนะหมอ
ผมไม่ฉีดวัคซีนรัฐบาลจัดให้หรอก
ของไม่ดี
จะรอไปฉีดPfizer หรือ Moderna ที่เขาว่าดีๆ กัน
เนี้ย Israel ฉีดวัคซีน Pfizer
จนไม่ต้องใส่หน้ากากแล้ว
ถ้าเราเอา Vaccine ตัวดีๆเข้า
ป่านนี้ ก็ไม่ต้องใส่หน้ากากกันแล้ว
13
บ่งบอกให้เห็นถึง วิกฤตศรัทธาต่อวัคซีนที่รัฐบาลกำลังจะฉีด
ทำให้การสร้าง Herd immunity ที่คาดหวังเป็นไปได้ยากขึ้น
และจากบทสนทนาข้างต้นมีประเด็นน่ารู้ 5 อย่างด้วยกัน
5
1. เราควรจะรอฉีด Vaccine Pfizer หรือ Moderna ดีไหม
ตามนโยบายของปธน. Jo Biden ที่จะระดมฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกา
ครบ 100 ล้าน dose ภายใน 100 วัน
หลังจากได้รับตำแหน่ง
แต่ปรากฏว่าฉีดไปได้เกือบ
220 ล้านโดยภายใน 100 วัน
ตามคติพจน์ Amirecan First
ทำให้ vaccine platform m-RNA ที่ผลิตได้เฉพาะในอเมริกา
แทบไม่เหลือส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ตามรูป
14
https://www.nytimes.com/interactive/2021/world/covid-vaccinations-tracker.html
https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/vaccine-tourism-canadians-fly-south-shot-us-demand-falls-2021-05-05/
ดังนั้น โอกาสที่จะมี Vaccine ส่งออก ก็น่าจะ Q3 ถึง Q4
ที่สหรัฐฯฉีดจนมาถึงจุดที่มีปริมาณวัคซีนมากกว่าความต้องการ
ดังนั้น ถ้าจะรอก็น่าจะ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย
ซึ่งด้วยสถานการณ์ขณะนี้ที่ยังไม่มีความชัดเจน
ว่าวัคซีนจะนำเข้ามาได้เมื่อไร
ทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อก่อนได้รับ vaccine ที่ต้องการ
Vaccine ที่ดี คือ Vaccine ที่ได้ฉีดก่อนจะติดเชื้อ
ดังนั้นจึงไม่ควรหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า
8
และเมื่อมาดู ประเทศที่ได้รับvaccine ในช่วงแรก
ล้วนแต่เป็นประเทศที่ใกล้ชิด USA
ระดับ first tier
อย่างเช่น Uk Israel เป็นต้น
ขนาด Uk เองก็ได้ในปริมาณที่ไม่มากและเร็วพอ
ที่จะทำให้เกิด Herd immunity
ทำให้ในช่วงต้นปีใหม่ที่ผ่านมา
UK ก็ยังต้องประกาศ Lock down
รอบที่ 3
https://www.dailynews.co.th/foreign/816915
ตอนนั้น Uk โดยการนำของ
นายก บอริส จอห์นสัน
ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง
หลังจากที่ตัดสินใจพลาด ตอน มีค 63
ที่ใช้นโยบายปล่อยให้ติดหวัง
เกิด Herd immunity แทนการ Lockdown
2
จนทำให้ UK เป็นประเทศที่มีการระบาดของ covid อย่างหนัก
เกิดสายพันธุ์ UK B117
ถูกแบนการเดินทางทั่วยุโรป
และมีอัตราการเสียชีวิตสูง
เป็นอันดับต้นๆ ของในยุโรป
จนต้องกลับลำ หันมา Lockdown อีกหลายครั้งในภายหลัง
แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังติด COVID จนต้องเข้า ICU ไปอีกด้วย
3
คร้้งนี้ เค้าต้องตัดสินใจว่าจะบริหารวัคซีนที่มีอย่างจำกัด อย่างไร
ตอนนั้นมี 2 แนวทางหลักคือ
3
1. เน้น ประสิทธิภาพมากที่สุด
กล่าวคือ ต้องเก็บวัคซีน dose 2
ไว้ให้คนที่ฉีดแล้ว ทำให้อาจจะฉีด
ได้น้อยแต่ชัวร์ในประสิทธิภาพ
แต่ไม่ครอบคลุมพอที่จะลดการระบาด
5
2. เน้น ความครอบคลุม
ฉีดให้มากที่สุดโดยไม่เก็บ dose 2
ไว้ให้คนที่ฉีดแล้ว
รอไปฉีดกระตุ้นเข็มที่ 2
ตอนที่มี Vaccine พอ
แทนที่จะฉีดใน 4 สัปดาห์
เรียกว่า break protocal
นอกกรอบไม่ทำตามงานวิจัย
นั้นหมายความว่า
ประสิทธิภาพที่ได้จาก
Vaccine เพียง 1 เข็ม
อาจจะไม่ดีพอที่จะควบคุมการระบาด แม้จะฉีดได้ครอบคลุมพอ
ถ้าเลือกผิด อาจจะพา UK
เข้าสู่วิกฤตอีกรอบ และอาจจะ
ทำให้เกิดการกลายพันธุ์อีกครั้งหรือไม่
3
ในตอนนั้น นายก บอริส จอห์นสัน
เลือก Choice 2
คือ เน้น ความครอบคลุม
ยอมรับในประสิทธิภาพที่ลดลง
ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะอังกฤษสามารถคลาย lockdown ได้
และมีสัญญาณของการเกิด herd immunity ในประเทศ
จนเป็นแบบแผนการฉีดวัคซีนให้แก่ประเทศอื่นๆ
แต่ ณ ขณะนั้น
นายก บอริส จอห์นสัน ถูกกดดันอย่างหนัก
ถึงขนาด บ.ยา ออกคำเตือนว่า
อังกฤษอาจจะเจอวิกฤตหนัก
ถ้าไม่ฉีดตามที่ บ.ยาวิจัยมา
จนเป็นที่มาของงานวิจัย 2 เรื่อง
ที่ศึกษาถึงโอกาสในการติดเชื้อ
และเข้ารักษาในรพ.
หลังจากฉีด Vaccine
เพียง 1 เข็ม ของทั้ง Pfizer กับ Astra
4
2. Pfizer ดีกว่า Astra จริงไหม
2
ปกติแล้วเราไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพวัคซีนกันได้โดยตรง (Head to head)
เนื่องจาก ประชากร อัตราการระบาด สายพันธุ์ของเชื้อ
และนิยามของคำว่าติดเชื้อแต่ละงานวิจัยของ Vaccine ไม่ตรงกัน
5
ดูง่ายๆ กลุ่มที่ได้ Vaccineหลอก ใน 3 Vaccine
ก็ยังมีอัตราการติดเชื้อไม่เท่ากัน
Pfizer placebo group ติดเชื้อเพียง 0.925%,
Astra placebo group 1.733%
และ Sinovac placebo ใน brazil ติดเชื้อสูงถึง 3.45%
3
หรือดู Video แบบเข้าใจง่าย ตามใน YT เลย
6
อีกทั้ง ประเทศ ที่ใช้ Pfizer เยอะสุด
คือ US ก็ไม่มี Astra ให้ฉีด
ทำให้ไม่สามารถทำงานวิจัยเปรียบเทียบ
ระหว่าง Astra กับ Pfizer ได้
5
ดังนั้น การที่เราจะเทียบกว่า
Pfizer ดีกว่า Astra จริงไหม
ทำได้ยาก ตอน ก่อน มีค. 64
แต่หลัง UK ระดมฉีด vaccine
ตามข้อ 1 ทำให้
UK เป็นประเทศแรกที่
ใช้ทั้ง Pfizer และ Astra
และฉีดให้ประชาชน
ระดับหลายล้าน dose
ทำให้พอจะมีข้อมูลใน
ลักษณะเชิงเปรียบเทียบได้
8
โดยงานวิจัย 2 งานหลัก คือ
1. Vaccine side-effects and SARS-CoV-2 infection after vaccination in users of the COVID Symptom Study app in the UK:
a prospective observational study
วิจัยใน Uk
โดยให้ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
รายงานอาการผลข้างเคียงผ่าน App covid-19 คล้ายๆ หมอพร้อมของเรา
แล้วติดตามไปว่า มีผู้ที่ฉีด vaccine
รายงานว่าตัวเองมีอาการติดเชื้อกี่คน
โดยเทียบกับฐานข้อมูล
ผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ
4
ผล : มีคนได้ vaccine
pfizer 2.8 แสน VS astra 3.4 แสนคน
จากการติดตามหลังจากได้
Vaccine เพียง 1 dose พบว่า
วัคซีนทั้ง 2 ชนิดมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดอัตราการติดเชื้อ
ตั้งแต่ วันที่ 12-20 และ
ผลชัดขึ้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 คือ
Astra ลดโอกาสในการติดเชื้อได้ 60% (95%CI 49%-68%)
และ สำหรับ Pfizer ลดได้ถึง 69% (95%CI 66%-72%)
แต่จะได้ผลลดลง 8 %
ในกรณีผู้สูงอายุ (>55 ปี)
6
และเมื่อนำมา plot graph เพื่อดูโอกาสรอดจากการติดเชื้อ
ระหว่างคนที่ฉีด astra กับ Pfizer
ก็พบว่า ไม่น่าจะแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติ
1
2. Interim findings from first-dose mass COVID-19 vaccination
roll-out and COVID-19 hospital admissions in Scotland:
a national prospective cohort study
2
การศึกษาที่2 ทำโดยติดตามหลังจากฉีดวัคซีนเพียง 1 โดส
สามารถลดโอกาสในการนอน รพ.ได้กี่เปอร์เซ็นต์
ผล : ฉีดไป 1.3 ล้านคน
ดูผลที่ 28 วันหลังฉีดพบว่า
Pfizer ลดโอกาสในการนอน รพ. ได้ 91% (95% CI 85–94)
Astra ลดโอกาสในการนอน รพ. ได้ 88% (95% CI 75–94)
แต่ในคนสูงอายุ >80 ปี Pfizer จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
Pfizer ลดได้ 88% (95% CI 76–94)
AStra ลดได้ 81% (95% CI 60–91)
4
เนื่องจากVaccine ทั้ง 2 ชนิด
สามารถกระตุ้นภูมิขึ้นได้ไว
ทำให้สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตั้งแต่ หลังฉีดเข็มแรก
ภายใน 2-4 สัปดาห์
ทำให้วัคซีนของทั้ง Pfizer + Astra
มีประสิทธภาพสูงใน
การควบคุมการระบาด
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์เด็ดทำให้คุมได้อยู่หมัดมากขึ้น คือ
5
การป้องกันการติดเชื้อภายในครอบครัว ( Household transmission )
2
วิจัยนี้ทำใน Scotland
โดย เทียบระหว่าง
ครอบครัวบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีด กับ ไม่ฉีด Vaccine
Vaccine ที่ใช้คือ Astra กับ Pfizer อย่างน้อย 1 dose
แล้วติดตามไปว่าบุคคลในครอบครัวมีอัตราการติดเชื้อ
แตกต่างกันหรือไม่ พบว่า
5
ครอบครัวบุคลากรทางการแพทย์
ที่ฉีด Vaccine สามารถลด
โอกาสการติดเชื้อ ได้ถึง 30 % (95%CI 22-37% )
เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่ได้ฉีด vaccine
แต่ถ้าศึกษาในครอบครัวประชากร
ทั่วไป พบว่า
ลดได้ถึง 50 % หลังจากฉีด Vaccine เข็มแรกไป 21 วัน โดย
1
Astra ลดได้ 53 % (95% CI 0.43, 0.63)
Pfizer ลดได้ 51% (95% CI 0.44, 0.59)
3
ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดที่แก้ไข
Pain Point ของประเทศไทยมาก
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นครอบครัวใหญ่ อยู่รวมกันหลายรุ่น
ทำให้เมื่อมีผู้นำเชื้อเข้ามาสู่บ้านก็จะทำให้ติดทั้งครอบครัว
โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
ที่อาจจะป่วยหนักหรือเสียชีวิต
ซึ่งสร้างรอยแผลในใจแก่ผู้ติดเชื้อรายนั้นไปตลอดชีวิต
9
แม้งานวิจัยทั้ง 4 อันที่กล่าวถึง
จะไม่มีการควบคุมตัวแปรที่ดี
ใช้appในการติดตามทำให้อาจจะmiss ข้อมูลบางส่วนที่คนไข้ไม่ได้รายงาน
แต่เน้นที่สถานการณ์การฉีดจริง
(Real world data) ที่เป็น
ประชากรกลุ่มเดียวกัน
ช่วงเวลาเดียวกัน
สายพันธุ์เดียวกัน
เกณฑ์การวินิจฉัยตัดสินเดียวกัน
10
จึงทำให้พอสรุปได้ว่า
1
การฉีด Vaccine เพียงเข็มเดียว ทั้ง Pfizer + Astra
ต่างก็มีประสิทธิภาพในภาพรวมเพื่อควบคุมการระบาดใกล้เคียงกัน
ด้านประสิทธิภาพรายบุคคล
Pfizer น่าจะดีกว่า Astra จริง
แต่ดีกว่าเพียงเล็กน้อย
ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย
ขนาดฟ้ากับเหว สำหรับเชื้อสายพันธุ์ B117
4
Safety profile
1
1. Local reaction : อาการ ปวด บวม แดง ร้อน เจ็บ
เจอพอๆกันทั้ง Astra + Pfizer
2
2. ด้านปฏิกริยาตอบสนองของร่างกาย (Systemic)
พวก ไข้ ปวดเมื่อย ปวดตัว ปวดหัว คลื่นไส้
พบใน Astra มากกว่า Pfizer เนื่องจาก Vaccine เชื้อเป็น
4
3. แพ้รุนแรง ( Anaphylaxis reaction )
Pfizer พบบ่อยกว่า คือ พบประมาณ
US : 11 ใน 1 ล้าน Dose
UK : 15 ใน 1 ล้าน Dose
แต่ใน JP : พบถึง 68 ใน 1 ล้าน Dose !!
ในขณะที่ Astra พบ 8 ใน 1 ล้าน Dose
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั่วไป เจอ 1 ใน 1ล้าน dose
11
4. ปัญหาเรื่องลิ่มเลือดอุดตัน(VIPIT)
ที่เป็นกังวลในหลายๆ ประเทศ
ทั้งที่จริงแล้วพบน้อยมากก คือ
พบประมาณ 9-10 ใน 1 ล้าน dose
ส่วนมากพบในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 55 ปี
โดยยิ่งอายุน้อยยิ่งเสี่ยง
อายุ 40-49 ปี อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 100,000 คน
แต่ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มเป็น 1 ใน 60,000 คน ในคนที่อายุ 30-39 ปี
และมีบางประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
ที่เจอบ่อยกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป
เช่น Denmark พบสูงถึง 250 /1 ล้าน dose
จึงให้หยุดการใช้วัคซีนของแอสตร้าไปก่อน.
10
ปกติแล้วแนะนำให้ใช้ในผู้สูงอายุ > 55-60 ปี
และงดให้ในคนอายุ <30 ปี
เพราะ Benefit VS risk พอๆกันตามรูป
โดยให้เลี่ยงไปใช้ Pfizer แทน
2
แม้ว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จะเป็นภาวะที่อันตราย
แต่รักษาได้และเรากำลังรักษาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
และรวมถึงเร็วๆนี้ มีรายงานสรุปอุบัติการณ์ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
ในคนเอเชีย ที่ประเทศเกาหลีใต้
ตามโพสต์ข้างล่าง
3
กล่าวคือ ในเกาหลีใต้พบประมาณ 11 ต่อ1 ล้านdose
ไม่แตกต่างจากในยุโรปประเทศอื่นๆ
แม้กระทั่งตัว Pfizer เองก็พบปัญหาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
แต่พบน้อยกว่า คือประมาณ 4-5 ต่อล้าน dose
เมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิด ที่ใช้กันทั่วไป
ยังมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ได้มากกว่าถึง 100 เท่า
3
FB: Dr CM Shaheen Kabir
จากข้อมูลทั้หมด ทำให้ Vaccine Astra
ได้รับความไว้วางใจ ฉีดให้แก่ นายก 6 ประเทศ
ได้แก่ UK France Canada Germany Italy Malaysia
ทั้งที่ ทั้ง 6 ประเทศ ต่างก็มี Vaccine Pfizer
แต่เลือกที่จะให้ Vaccine Astra แก่ผู้นำประเทศ
6
แล้ว SinoVac หล่ะ ไม่พูดถึงเลย
อันที่จริงแล้วประเทศไทยเรา
ไม่ได้ใช้SinoVacเป็นวัคซีนหลัก
SinoVac น่าจะเป็นแค่วัคซีนสำรอง
ในกรณีที่ฉีด Astra ไม่ได้ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆ เช่น
2
- ภูมิคุ้มกันไม่ดี ทานยากดภูมิ
- ท้อง
- แพ้ vaccine astra
แต่เนื่องจากมีการระบาดอย่างหนักในรอบที่ 2 และ 3 เสียก่อน
ทำให้Vaccine สำรอง ต้องลงสนามเป็นตัวจริงแบบไม่มีทางเลือก
4
แม้ว่าจะเป็นตัวสำรอง แต่จากข้อมูลที่นำเสนอ
เพื่อขออนุมัติใช้แก่ WHO ก็ออกมาพอใช้ได้ กล่าวคือ
จากการศึกษาในชิลี ที่ใช้ SinoVac ไปแล้วระดับ 10 ล้าน dose
สมรภูมิสุดโหด เชื้อกลายพันธุ์ระดับที่มี VOC
ถึง 2 สายพันธุ์ ทั้ง สายพันธุ์ Brazil : P1 , UK : B117
พบว่า
กันติด ได้ไม่ดีเท่าไหร่( 60-70% ) แต่
กันป่วย ได้ถึง 85-89%
และกันตายได้ 80%
โดยที่ค่า 95% CI ที่ได้แคบมากๆ
10
เรียกได้ว่า ไม่แย่พอใช้ได้ ขนาดเจอเชื้อดุ ระบาดหนัก
ยังทำผลงานออกมาพอไหว แต่ไม่ดีเท่า Astra หรือ Pfizer
และมีข้อเสียหลักๆ คือ
1
1. ภูมิคุ้มกันขึ้นช้า กล่าวคือ
หลัง ฉีดSinoVac เข็มแรก ไป 2 สัปดาห์
ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ + กันป่วย + กันตาย
ยังถือว่าต่ำมาก ได้ไม่ถึงครึ่ง
เมื่อเทียบกับตอนที่ได้ Sinovac ครบ 2 dose
เรียกว่าต้องฉีดครบ 2 dose ภูมิถึงจะขึ้น
2. ไม่มีข้อมูลในคนที่อายุ >60 ปี
5
ซึ่งแตกต่างจาก Astra + Pfizer ที่เพียง 1 dose
ภูมิก็ขึ้นแล้วและมีประสิทธิภาพที่ดีในระดับพอฝากผีฝากไข้ได้
และSinovac ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการป้องกันการติดเชื้อภายในครอบครัว
( Household transmission ) เหมือน Astra + Pfizer
4
สำหรับ ผลข้างเคียงเกี่ยวกับอาการคล้าย อัมพาต (IRFN)
ทำให้ผู้ที่ได้รับ Vaccine มี อาการชา แขนขาอ่อนแรง
เมื่อตรวจสอบแล้ว ส่วนใหญ่จะอธิบายอาการที่เป็นจาก
Vascular supply ไม่ได้ ทำให้ ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน
- เป็นจาก หลอดเลือดหดตัว (vasospasm) หรือ
- เป็นจาก Stress induced หรือ
- Vaccine ที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการคล้าย migraine
- Hormone effect หรือไม่
1
กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้หญิงอายุระหว่าง 20-50 ปี (ญ อายุน้อยอีกแล้ว)
มักเกิด ใน 6 ชม.แรก แต่อาจพบได้ถึง 7 วันหลังฉีด
มักจะหายภายใน 24-72 hr.
แต่มีบางรายอาจจะเหลือความผิดปกติได้ ถึง 7 วัน
แนะนำให้ก่อนฉีด Sinovac
- นอนหลับพักผ่อนให้พอ
- กินน้ำให้เยอะ
- หลีกเลี่ยงฉีดในช่วงที่ใกล้หรือมี ปจด.
- ฉีดVaccine ในรพ.ที่มี หมอสมอง และ เครื่อง CT
เผื่อว่าถ้ามีอาการผิดปกติ จะได้รับการรักษาได้ทัน
8
ซึ่ง เมื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมด จากคำขอขึ้นทะเบียนใช้ฉุกเฉินกับ WHO
ก็จะได้ดังตารางสรุป
https://pantip.com/topic/40688982/comment28
ประเด็นที่ 3 -5 ติดตามต่อในตอนหน้าที่
โฆษณา