29 มิ.ย. 2021 เวลา 08:52 • ปรัชญา
ความรัก เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง
เป็นความรู้สึกที่สามารถก่อตัวได้ในทุกเพศ ทุกวัย
1
เป็นทั้งแรงขับเคลื่อน
และ พลังทำลายล้าง
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิต
เมื่อรู้จักความรักแล้ว
ความผาสุขก็อยู่ที่เดียวกันนี้เอง
เรารักตัวเอง รักคนอื่นเพราะอะไรกัน
คู่แท้ คู่บุญ คู่บารมี หรือ คู่เวร คู่กรรม เป็นยังไง
Photo by Luigi Pozzoli on Unsplash
ต้องยอมรับว่ามนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ กายนี้ คือ กรรมเก่า
เพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
[ ภิกษุ ท. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย
และทั้งไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น.
ภิกษุ ท. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย
พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต),
เป็นสิ่งที่ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต),
เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย).
ภิกษุ ท. ! ในกรณีของกายนั้น
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี
ซึ่งปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า
“ด้วยอาการอย่างนี้ :
เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ;
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ;
เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ;
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป
: ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ;
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ;
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ;
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ;
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
1
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ
แห่งอวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร,
เพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ;
.....ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ .....
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น
: ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล. ]
นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓.
ส่งผลทำให้เหตุการณ์ที่แต่ละคนต้องเผชิญ
บวกกับระดับภูมิปัญญา อินทรีย์ของแต่ละคน
แตกต่างกันแต่กำเนิด
ตามสิ่งที่สะสมกันมาแต่ชาติปางก่อน
และส่งผลต่อไปเรื่อย ๆ
ตามเหตุที่สร้างในแต่ละปัจจุบันขณะ
ผลเกิดจากเหตุ ผลที่เกิดขึ้น ก็กลายเป็นเหตุใหม่
ให้กับเหตุการณ์ใหม่ เป็นเหตุเป็นผล
ส่งผลกระทบต่อกันไปเป็นสาย
สิ่งที่เคยสร้างเหตุไว้ ไม่อยากได้ ก็ต้องได้รับ
สิ่งที่ไม่เคยสร้างเหตุเอาไว้ อยากได้ ก็ไม่มีวันได้
ไม่เคยปลูกผัก จะมีผักกินได้ยังไง
ปลูกผักไว้อย่างดี ยังไงก็มีผักกิน
เรียนหนังสือเท่ากัน ทำไมผลการเรียนไม่เท่ากัน
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้จากหลายเหตุปัจจัย
คนที่ไม่คิดจะขวนขวาย
ก็จะไม่คิดขวนขวายอยู่วันยันค่ำ ...
บางทีมันก็อาจจะไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว
แต่มันคือ ความผูกพัน วิบากกรรมส่งผล
ส่งผลให้ต้องมาชำระหนี้สินกัน
ที่เคยติดค้างกันเอาไว้
เหมือนตอนเด็กเราเคยขอความช่วยเหลือจากใคร
เราก็จะหาทางตอบแทนคนนั้นให้ได้สักวัน
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ผู้คนนับล้าน
ทำไมถึงต้องเป็นคนนี้ ...
ความโยงใยเกี่ยวพันกันนี้
ทำให้เกิดสิ่งที่แปลกแต่จริงอยู่เสมอ ๆ
เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ
เช่น 'โลกกลม' , 'เดจาวู' ฯลฯ
วนเวียนให้ต้องมาเจอกัน
เรื่องบังเอิญไม่เคยมี
:
ทีนี้ใครจะก่อกรรมทำเข็ญกันต่อยังไง
ก็ต้องเลือกกันเองอย่างชาญฉลาด
ทำกุศลต่อกัน ผลคือ กุศล
ทำอกุศลต่อกัน ผลคือ อกุศล
เมื่อยังมีผู้กระทำเหตุ จะต้องมีผู้ชดใช้
ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า
"ใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่า นี่คือชาติสุดท้าย
คือการเจอกันครั้งสุดท้าย"
1
เมื่อเรากระทำเสมือนว่า ครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย
เราจะไม่กล้าทำร้ายใคร
เราจะไม่กล้าเบียดเบียนใคร
เราจะไม่กล้าทำให้ใครต้องเสียใจ
เราจะไม่กล้าโกรธเคือง ด่าทอกัน
... ฯลฯ ...
เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้แก้ไข
ไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน
ไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยอะไรอีก
... ฯลฯ ...
:
เมื่อกระทำอย่างดีที่สุด
โดยอาศัยสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา
ในแต่ละปัจจุบันขณะ
จะไม่มีคำว่าเสียดาย เสียใจ
ไม่ติดค้างอะไรใคร
ชำระอุปกิเลสออกไปในแต่ละขณะของชีวิต
1
ต้องยอมรับว่าบางทีเราก็เลือกไม่ได้
ว่าจะเจอกับคู่บุญ หรือ คู่เวร
เพราะถ้าเลือกได้ ทุกคนก็คงต้องอยากเจอกับคู่แท้
ฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม
สิ่งที่ทำได้ คือ การฝึกฝน บำเพ็ญบารมี
เมื่อเจอกับคู่เวร คู่กรรม
จะมีแต่เรื่องไม่ถูกคอกัน ทำร้าย ทะเลาะกันทุกวี่วัน
แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากวังวนได้
ต้องฝึกฝน อดทน
ไม่ก่อกรรมให้ยืดยาวออกไป
ชำระหนี้สินกัน ชำระอุปกิเลส ชำระจิตให้ใสสะอาด
เมื่อเจอคู่บุญ คู่บารมี
จะมีแต่เรื่องที่ราบรื่น เรียบง่าย ไม่สะดุด
ก็ต้องฝึกฝน อดทน
ไม่ก่อกรรมให้ยืดยาวออกไป
ชำระหนี้สินกัน ชำระอุปกิเลส ชำระจิตให้ใสสะอาด
:
เพื่อเป็นผู้อยู่เหนือบุญ เหนือบาป
หลุดพ้นไปจากอาสวะกิเลส
ที่คอยโยงใย ชักใยอยู่เบื้องหลัง
พบกับรักที่บริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง
ข้ามจากฝั่งโลกียะ เข้าสู่กระแสโลกุตระ
เพราะไม่ว่าบุญ หรือ บาป ก็ล้วนไม่เที่ยง
ยังคงต้องวนเวียนไปมาใน 31 ภพภูมิ ในฝ่ายโลกีย์
เมื่อตกอยู่ในกระแสโลกียะ เป็นไปไม่ได้เลย
ที่จะมีใครรักใครโดยปราศจากตัณหาราคะ
โดยปราศจากผลประโยชน์
รักทั้งหมดล้วนเจือไปด้วยกิเลสตัณหา
คอยหล่อเลี้ยง คอยสนองกิเลสอยู่ภายในเสมอ
มีเพียงกระแสแห่งโลกุตระเท่านั้น
คือ ความสงบเย็น
คือ ความใสสะอาด สว่าง
คือ ความผาสุข
คือ สภาพที่สิ้นตัณหา
คือ รักที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ตัณหาผู้สร้างภพ : นายช่างปลูกเรือน
ต้องรู้เท่าทัน หาให้เจอ เหตุแห่งการเกิดทุกข์ ...
เราได้สิทธิ์เกิดมาแล้วทุกชาติ
มีสิทธิ์มีเสียงในทุกอย่าง
ทำไม ไม่ลองตามหาผู้บงการที่แท้จริงกันบ้างล่ะ
มีแต่ไล่ล่าตอบสนองนายช่างปลูกเรือน
ตกเป็นทาส ดิ้นเร่า ๆ ออกไปทำงานหล่อเลี้ยงนาย
ร่ำร้องหาสิทธิ์หาเสียงในการสร้างเหตุเกิดทุกข์
กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว คือ ความตาย
ไม่กลัวในสิ่งที่ควรกลัว คือ การเกิดขึ้นแห่งภพ
ยินดีพอใจกับการสร้างภพ สร้างชาติ
เรือนแห่งกิเลสตัณหา ถึงได้เติบโตไม่หยุดหย่อน
เหนื่อยสายตัวแทบขาด วนลูปกันไป
ไม่อาจหลุดพ้นไปได้
ตายก่อนที่ร่างกายจะตายจริง
ตายจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา ของเรา
ตายจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
ในรูป ในนาม ในกาย ในใจนี้
คือ กำไรชีวิตอย่างแท้จริง ...
ปฐมพุทธภาสิตคาถา
เมื่อเรายังไม่พบญาณ,
ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ
แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน,
คือตัณหาผู้สร้างภพ,
การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป
นี่แน่ะ นายช่างปลูกเรือน,
เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว,
เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว,
ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่ง
ไม่ได้อีกต่อไป,
มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา,
คือถึงนิพพาน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา