16 มิ.ย. 2021 เวลา 03:33 • นิยาย เรื่องสั้น
4.11. เปลี่ยนแค้นเป็นเป้าหมาย
ฮันเหียน พี่ใหญ่สี่เมืองขบถ - บิต๊ก เล่าฮอง สองแค้นหนึ่งเป้าหมาย
เมื่อกวนอูกลับไปรักษาตัวที่เมืองเกงจิ๋ว ครุ่นคิดถึงการต่อสู้ไม่หยุดหย่อน ตระหนักถึงพลังยุทธ์ที่จำต้องพัฒนามากขึ้น จึงรีบเร่งฝึกฝนตีความกระบวนท่าสยบมังกรที่เคยฝึกฝนมาจากน้องสาม เตียวหุยอย่างหนัก
ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา มันถือดีในพละกำลังวัยหนุ่ม และกระบวนท่าเบื้องต้นที่เอาชนะนักรบมีชื่อโดยง่ายดาย จึงละทิ้งสามกระบวนท่าสุดท้ายที่มีความซับซ้อนพิสดารยิ่งนัก ไม่ค่อยได้หยิบออกมาฝึกซ้อมให้ถึงที่สุด จนถึงกับลืมเลือนกระบวนท่า ไม่อาจใช้ได้คล่องมือไปแล้ว
พอเกิดเหตุการต่อสู้เสี่ยงชีวิตกับพวกแฮหัวตุ้นในครั้งก่อน และพวกฮองตงในครั้งนี้มาตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ พละกำลังมันเริ่มลดถอยลงแล้วตามวัย และกระบวนท่าที่ใช้ก็อาจจะไม่เพียงพอแล้ว
คราวนี้ มันเก็บตัวฝึกวิชาทั้งหมดที่มีอย่างตั้งใจ จนคุ้นเคยช่ำชอง และถึงกับปรับปรุงลดทอนกระบวนท่าทั้งหมดให้กระชับลงยิ่งกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่งด้วย เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากๆเหมือนในอดีต จึงยิ่งเหมาะสมกับวัย และพละกำลังที่มีในปัจจุบันของคนอายุใกล้ห้าสิบปีแล้วอย่างมัน
แม้แต่เตียวหุยมาทดสอบฝีมือเอง ยังต้องตะลึงลานในวิชายุทธ์ที่พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น และกระบวนท่าที่ถูกปรับเปลี่ยนไปเช่นนี้ นับว่า กวนอู พัฒนาประสบการณ์การต่อสู้และความคิด เหนือไปกว่าเผิงเสียนในอดีตกาลมากนัก
แต่จนถึงบัดนี้ กวนอูเอง กลับไม่แน่ใจว่า เป้าหมายที่ผลักดันให้มันพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้นนี้ จะเป็น ฮองตง ศัตรูคู่แค้นในวันวาน หรือ ชายหนุ่มคลุมหน้าที่บังอาจต่อกรกับมันได้อย่างสูสี และลอบทำร้ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้มันบาดเจ็บสาหัสคนนั้น
ทางด้านขงเบ้งก็ไม่รอช้า รีบเร่งเดินเกมการเมือง กล่าวหาเลื่อนลอยว่า มีจารชนจากฝั่งเสฉวนลอบวางแผนทำร้ายตนเอง แต่ยังดีที่ได้พวกกวนอูช่วยกันจัดการให้ ทำให้ขุมกำลังเกงจิ๋วเริ่มตื่นตัว ระมัดระวังตัวให้กับบุคคลสำคัญมากขึ้น มิให้ตกเป็นเป้าหมายในการจู่โจมจากขุมกำลังอื่นใดก็ตาม
มันเฝ้ามองข่าวคราวให้ดำเนินไปพอสมควร จนได้จังหวะเวลาที่สุกงอมแล้ว ขงเบ้งก็เดินทางกลับมาเมืองเกงจิ๋ว แจ้งความพร้อมด้านกำลังพล และยุทโธปกรณ์ ในการออกศึกสงครามให้กับเล่าปี่ในห้องประชุมทางทหาร พร้อมอาสาออกศึกลงใต้เสียเอง ทำให้บังทองต้องชิงเสนอตัวเองอีกครั้ง
“ตัวท่านไม่สะดวกในการเดินเหิน จงอยู่รักษาเมืองกับจูล่งเถิด ให้เรากับเตียวหุย ไปกับกุนซือบังทอง ก็น่าจะเพียงพอ” เล่าปี่ช่วยกลบเกลื่อนบ่ายเบี่ยง ถือโอกาสให้จูล่งที่พอไว้วางใจได้บ้าง คอยอยู่กำกับควบคุมสถานการณ์อีกทอดหนึ่งแทนตน ส่วนจูล่งแอบยินดีที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงในศึกครั้งนี้
“ให้พวกเราสามพี่น้องไปรบพร้อมกันอีกสักครั้งเถิด นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้ออกศึกร่วมกันอย่างจริงจังพร้อมหน้า” เสียงกวนอูดังก้องมาจากด้านนอก
ที่แท้ ขุนพลสยบมังกรก็ถือโอกาสตามเข้ามารายงานตัวด้วยตนเองอีกคน เป็นการบังคับให้เล่าปี่ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ส่วนเตียวหุย ที่นั่งดื่มสุรา มีนเมาอยู่คนเดียว ได้แต่ลุกขึ้น โอบกอดต้อนรับพี่รอง พลางกล่าวคำ “ความคิดที่ดี น่ายินดียิ่งนัก”
“หากท่านทั้งสองจะไปด้วยกับนายท่าน ข้าก็วางใจแล้ว เพียงแต่การยึดเมืองเตียงสา อาจจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เล่าเจี้ยงอาจจะมีแผนการรับมืออันใดซ่อนเร้นอยู่ ท่านบังทองเอง ก็ต้องระวังด้วยเถิด” ขงเบ้งสำทับอีกครั้งหนึ่ง
“การบุกเมืองเสฉวน ก็ต้องจัดการกับเมืองเตียงสาก่อน เพื่อไม่ให้พวกมันตีกระหนาบขึ้นมา มันคือสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว หากได้ท่านรองไปช่วยอีกแรงก็ยิ่งดี อย่างไรเสีย การเดินทางก็มิได้ไกลมากมายนัก ยังพอกลับมาช่วยเหลือกันได้ง่าย” บังทองตอบโต้ตามความเห็นของตน ปรับเปลี่ยนแผนการตามสถานการณ์
ขงเบ้ง สงบปากคำ ไม่ตอบโต้กับบังทอง ปล่อยให้สถานการณ์รุมเร้าให้กุนซือคู่แค้นมีปัญหาขึ้นเอง เพราะที่จริง มันก็รู้ว่า บังทองอาจจะนัดแนะกับฮองตงให้ยอมสวามิภักดิ์โดยง่าย และเก็บเกี่ยวเป็นผลงานของตัวเอง แต่มีหรือ มันจะยอมให้เกิดเรื่องราวง่ายดายเช่นนั้น มันจึงได้จัดส่ง “ระเบิดเวลา” มาให้ในครั้งนี้
“ระเบิดเวลา ก็คือ ขุนพลสยบมังกร กวนอู นั่นเอง เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ไม่ ฮองตง ก็ กวนอู คงต้องมีคนต้องเสียสละชีวิตในสงครามครั้งนี้แล้ว” ขงเบ้งคิดในใจ
สาเหตุที่ขงเบ้งเดินหมากเช่นนี้ เพราะรับทราบการต่อสู้ของกวนอูกับฮองตงทั้งสามจาก คำบอกเล่าของกวนเป๋ง จิวฉอง จึงเห็นว่า ตลอดมา กวนอูก็ไม่ชอบหน้ามันเท่าไรนัก หากตายเสียได้ ก็ไม่เลว ส่วนฮองตง ถึงจะมีศักดิ์เป็นลุงของภรรยา แต่อาจจะมีความเป็นมาอื่นใดอีก อีกทั้ง มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอยู่กับบังทอง หากจำเป็น จึงยอมสูญเสียก็ได้
ตามการคาดคะเนของมันแล้ว กลับเชื่อมั่นว่า คนที่ได้ชัย น่าจะเป็นขุนพลเฒ่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายหากใครเป็นผู้หลงรอด มันก็จะชักใยขุมกำลังแห่งนี้ได้ต่ออยู่ดี กุนซือมังกรซ่อน คิดเห็นเช่นนั้น จึงกล้าเดินหมากสุ่มเสี่ยงบ้างแล้ว
ชนชั้นผู้นำของกลุ่มเล่าปี่ยังมีไม่มาก อีกทั้งเมืองเกงจิ๋ว ก็อยู่ใจกลางวงล้อมของศัตรูและพันธมิตร มีชายแดนติดกันยาวเหยียด จึงปวดหัวยิ่งนักต่อการวางตัวคนป้องกันเขตแดนในครั้งนี้ ต้องนับว่า เล่าเปียว รัชทายาท ผู้เป็นอดีตเจ้าเมือง ต้องสะสมบารมีมามากพอ จึงได้รักษายืนหยัดอยู่ได้ยาวนานเช่นนี้ น่าเสียดายที่ไว้วางใจน้องเมียชัวมอในบั้นปลายชีวิต จนเสียการใหญ่ไปในที่สุด
จากจุดเปลี่ยนเล็กๆนี้ ทำให้เล่าฮอง ลูกเลี้ยงของเล่าปี่ เลื่อนระดับชั้นขึ้นมาปกครองเมืองสำคัญซงหยงแทนเตียวหุย บิต๊ก บิฮอง ผู้เป็นญาติสนิทฝ่ายภรรยาเก่าของเล่าปี่ ต่างก็แยกกันไปปกครองเมืองกังแฮ แฮเค้า แทนกวนอู โดยมี ขงเบ้ง และจูล่ง ควบคุมดูแลจากศูนย์กลางเมืองเกงจิ๋วอีกทอดหนึ่ง ส่วนกวนเป๋ง จิวฉองที่กลับถูกเรียกตัวกลับมาเป็นองครักษ์ข้างกายของกวนอู เพื่อช่วยทำศึกใหญ่ครั้งนี้ เปิดทางให้คนสายบุ๋นอย่างกลุ่มซุนเขียนสลับออกไปทำหน้าที่เฝ้ารักษาเมืองแทน
เมื่อขงเบ้งทบทวนดูแล้ว จึงเสนอรั้งตัวกวนเป๋ง จิวฉองไว้เสริมทัพส่วนกลางที่เมืองเกงจิ๋ว เผื่อว่า เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอันใด จึงจะมีคนพอรับศึกได้ “ถึงแม้ขุมกำลังเราจะต้องการเสฉวนอย่างมาก แต่ก็ต้องรักษาเกงจิ๋วไว้ด้วยเช่นกัน เกรงว่า จูล่งคนเดียวจะไม่เพียงพอ หากต้องรับมือกับศึกหลายด้านพร้อมกัน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทัพออกศึก จึงมีเพียงชนชั้นผู้นำเพียง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และบังทองเท่านั้นเอง เห็นที ขงเบ้งคงต้องการวางยาขนานใหญ่ใส่กวนอู และบังทอง เข้าแล้ว จึงจงใจแยกองครักษ์ประจำตัวของกวนอูออกไป
ณ เมืองซงหยง บิต๊ก นั่งพูดคุยกับเล่าฮองตามลำพัง กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองของขุมกำลังตนเอง คนหนึ่งคือพี่ชายของอดีตฮูหยินท่านผู้นำ คนหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมในนามของท่านผู้นำ ล้วนเป็นคนใกล้ชิดของเล่าปี่ทั้งสิ้น
“การศึกขยายดินแดนเกงจิ๋วไปจนถึงเสฉวนในครั้งนี้ จะทำให้ท่านผู้นำต้องการใช้ผู้คนจำนวนมากมายอย่างเร่งด่วน คนหน้าใหม่จะได้เข้ามามีบทบาทง่ายดาย ส่วนคนเก่าแก่ก็จะได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว หวังว่า ท่านยังคงเตรียมพร้อมในส่วนของท่าน” บิต๊กย้ำเตือนอย่างไว้เชิง “คนแซ่กวนอาจจะเป็นอันดับสอง แต่สักวัน ย่อมมีช่องว่างให้จู่โจม”
“ท่านมิต้องกังวลใจ เราย่อมมั่นคงในคำสัญญา ร่วมเป็นร่วมตายไปกันพวกท่านแน่นอน” เล่าฮองยังคงยืนยันในความอาฆาตแค้นไม่เสื่อมคลาย แต่ภายในใจกลับซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แผนการของมันยังลึกล้ำไปกว่าพี่น้องสกุลบิมากนัก
...
กองทัพหลายสิบหมื่นของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และบังทอง เคลื่อนมาถึงเมืองเตียงสา ฮันเหียน เจ้าเมืองมากประสบการณ์จึงสั่งการให้ขุนพลผู้เฒ่า ฮองตง ออกไปซุ่มโจมตีในจุดยุทธศาสตร์ก่อนที่กองทัพฝ่ายตรงข้ามจะตั้งตัวได้ทัน
หากแต่ฮองตงมีวาระซ่อนเร้น จึงแสร้งทำตัวเย่อหยิ่ง ไม่เห็นฮันเหียนอยู่ในสายตา ไม่ยินยอมคล้อยตามแผนการ ครั้นต่อมา ฮันเหียนยังสั่งการให้ชิงลงมือทำศึกทันทีก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้พักผ่อน แต่ฮองตงก็ดื้อดึงปฏิเสธอีก ทำให้ฮันเหียนไม่พอใจอย่างหนักที่พลาดโอกาสดีๆไปถึงสองครั้งสองครา
แน่นอน ฮองตงย่อมต้องการจะเข้าพวกกับเล่าปี่ จึงรอให้กองทัพเล่าปี่เข้ามาประชิดเมืองก่อน จะได้นำกองทัพออกไปสวามิภักดิ์ และให้อุยเอี๋ยนยึดเมืองเตียงสา เป็นการส่งมอบทั้งกองทัพ และเมืองในคราวเดียว ตามที่กุนซือหงส์ผงาด เคยนัดแนะไว้
สุดท้าย กองทัพเล่าปี่จึงมาปักหลักตั้งค่ายอยู่หน้าประตูเมืองได้แล้ว และส่งหนังสือท้าทายให้เมืองเตียงสายอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ซึ่งฮันเหียนย่อมมิยินยอม สั่งการให้ฮองตงต้องออกมารับศึกเฉพาะหน้าในทันทีเช่นกัน กองทัพทั้งสองฝ่ายจึงประจันหน้ากันในสนามรบ นักรบมีชื่อล้วนพร้อมหน้าพร้อมรบอย่างองอาจสมศักดิ์ศรี มีเพียงฮันเหียนที่ยังคุมเชิงอยู่บนกำแพงเมือง
ทุกอย่างถูกต้องตามแผนการ เพียงแต่จังหวะที่ฮองตงสะอึกม้าเซ็กเทาออกมาเพื่อประกาศมอบตัวตามที่นัดหมายนั้น กวนอูที่รู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยันเรื่องการชิงม้าไป กลับไม่รั้งรอ และชักม้าสวนทางออกมาขวางหน้าจ้าวแห่งเกาทัณฑ์เอาไว้
อาศัยจังหวะที่ฮองตงไม่ทันระวังตัว กวนอูผิวปากส่งสัญญาณให้กับม้าเซ็กเทาทะยานขึ้นยืนด้วยสองขาหลัง สลัดเอาขุนพลผู้เฒ่าร่วงหล่นลงกับพื้นดิน แล้วกวนอูจึงลอยตัวข้ามกลับมายังม้าศึกคู่ใจ พร้อมทั้งพยักเพยิดให้ฮองตงใช้ม้าที่ตนขี่ออกมาแทน เพื่อจะได้ประลองฝีมือกันบนหลังม้าศึก ทำให้ฮองตงเหมือนถูกหยามหยันต่อหน้ากองทัพทั้งสองฝ่าย ความโกรธแค้นทำให้หลงลืมความคิดในการสวามิภักดิ์ไปจนหมดสิ้น
สองขุนพลเลื่องชื่อ กวนอู ขุนพลสยบมังกร และ ฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ จึงปะทะกันอย่างดุเดือดอยู่ที่ตรงลานหน้าเมืองนั่นเอง สร้างความร้อนรุ่มใจให้กับกุนซือ บังทอง และอุยเอี๋ยน ศิษย์เอก ที่ยืนอยู่ในกองทัพของแต่ละฝ่าย แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่โจ่งแจ้งได้
ขุนพลทั้งสองต่อสู้กันในเชิงง้าวล้วนๆ ตั้งแต่บนหลังม้าศึกจนร่วงหล่นมารบกันต่อบนพื้นดิน เรียกเหงื่อโทรมกาย แต่ก็ยังไม่หายแค้นเคืองต่อกัน จึงนัดหมายให้มาต่อสู้กันใหม่วันรุ่งขึ้น กองทัพทั้งสองฝ่ายนับว่าได้เปิดหูเปิดตาต่อการประลองครั้งสำคัญ กล่าวขวัญถึงการต่อสู้ไม่หยุดปาก ต่างหวังให้ฝ่ายของตนเองได้ชัยให้ได้
คราวนี้ ฮองตงจึงเกิดทิฐิ ยกเลิกแผนการสวามิภักดิ์ คิดหมายจะเอาชนะกวนอูให้ได้เสียก่อน เพื่อล้างแค้นที่สั่งสมมานาน และสร้างชื่อเสียงให้ปรากฏ อุยเอี๋ยนผู้น้อย สุดจะห้ามปราม จึงได้แต่แอบกระทำการลับอย่างหนึ่งแทนกับอาวุธสำคัญของฮองตง ผู้เป็นอาจารย์ของตนเอง
วันที่สอง ฮองตงยกทัพออกมาพร้อมกับเจ้าเมืองฮันเหียน ขุนพลอุยเอี๋ยน ส่วนเล่าปี่ก็ยกทัพออกมาพร้อมหน้ากันเช่นเดิม ฮองตงออกมาต่อสู้กันกับกวนอูอย่างดุเดือด แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่แล้ว ยังไม่เห็นท่าทีแพ้ชนะ ฮันเหียนที่ต้องการจบเรื่องโดยเร็ว จึงสั่งการให้อุยเอี๋ยนออกไปช่วยรบ เพราะถือว่าเป็นการศึก ไม่จำเป็นต้องรักษากฏชาวยุทธ์อีกต่อไป
อุยเอี๋ยนเดาท่าทีได้ตั้งแต่แรกจึงชักง้าวคู่ด้ามสั้นออกมาแสร้งท้าทายขุนพลคนอื่นแทน ไม่ไปรบกวนการต่อสู้ดวลเดี่ยวของคนทั้งสอง เตียวหุยจึงสะอึกม้ามารับหน้า จนกลายเป็นนักรบมีฝีมือสองคู่ ปะทะกันอยู่กลางสนาม ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหลายจนเคลิบเคลิ้ม คลายความระวังตัวลง
บังทองเห็นเป็นโอกาสเผด็จศึก ตระหนักว่า ฮันเหียนจอมวางแผนคือเป้าหมายสำคัญ จึงหยิบยืมเกาทัณฑ์ของเล่าปี่ ลอบยิงใส่ฮันเหียนที่มัวแต่ดูการต่อสู้อย่างเพลิดเพลิน ถูกเข้าซอกคอตายคาที่ หวังชักนำให้พรรคพวกกลับเข้าสู่แผนการเดิมเสียที
แต่เรื่องราวไม่ยอมจบสิ้น กลายเป็นว่า เหล่าทหารยังไม่ยอมหยุดยั้ง เกิดเสียงสั่งการให้ทหารต่อสู้ประจัญบานแทน ทั้งๆที่เจ้าเมืองก็ตายไปแล้ว ทำให้กองทัพทั้งสองฝ่ายตรงเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
บังทองตัดใจเปลี่ยนแผน หันมายิงเกาทัณฑ์ใส่ฮองตง หมายสังหารให้ตายไปอีกคนหนึ่งเพราะหากทหารขาดเสาหลัก ก็คงจะยอมแพ้เองได้ง่าย แม้อุยเอี๋ยนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อยู่ห่างไกลเกินไป ช่วยเหลือไม่ทันแล้ว จึงได้แต่ยับยั้งถ้อยคำ แสร้งมองไม่เห็นความเคลื่อนไหว ปล่อยให้สถานการณ์สุกงอมพาไป
เผอิญเป็นจังหวะที่กวนอูมองเห็นการเคลื่อนไหวครั้งนี้เช่นกัน จึงเบี่ยงง้าวออกปัดเกาทัณฑ์ให้แทน ทำให้ง้าวของฮองตงผ่านเลยเข้ามาถึงตัว กรีดใส่ลำคอยาวถึงหนึ่งนิ้วเศษ แต่เมื่อฮองตงเห็นเจตนาของกวนอู ก็นึกละอายใจ ชักง้าวกลับคืนไป พร้อมแสดงความคารวะขอบคุณที่ช่วยชีวิต
กวนอูยังคงละเลยโอกาสที่จะสงบศึก กลับรุกเร้าการต่อสู้ต่อไป โดยเร่งพิชิตต่อด้วยกระบวนท่าสยบมังกรสามท่าสุดท้ายที่เพิ่งฝึกฝนสำเร็จ จนสามารถงัดเอาง้าวของฮองตงหลุดลอยออกจากมือได้สำเร็จ ในช่วงขณะที่กำลังดีใจนั่นเอง ฮองตงก็ยื่นแขนปล่อยเกาทัณฑ์ลับในแขนเสื้อเข้าใส่กลางหน้าอกกวนอูในระยะประชิดตัวทันที
กวนอูเห็นจวนตัว ยากจะป้องกัน จึงหงายร่างทิ้งตัวลงจากหลังม้าของตนเอง ปล่อยให้เกาทัณฑ์ลับเฉียดผ่านใบหน้าไป ที่จริง มีจังหวะกวาดง้าวฟันใส่ข้อเท้าของฝ่ายตรงข้ามด้วย หากแต่เกรงว่า ง้าวใหญ่จะสะท้อนกลับทำให้ม้าดีของตนพลอยบาดเจ็บไปด้วย จึงเบี่ยงจังหวะเหวี่ยงง้าวมังกรเขียวออกจากมือ ให้สูงพ้นทั้งคนทั้งม้าไปก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นการใช้มือเปล่าฉุดดึงฮองตงให้ร่วงหล่นจากม้าแทน จนทั้งสองคนกลิ้งหล่นไปบนพื้นดินหลายตลบ กลายเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าไปแล้ว
กวนอูอาศัยจังหวะพลิกตัวกดลำคอฮองตงไว้ได้ แต่ก็เหมือนมีพลังความร้อนกระแทกใส่ชายโครงทั้งสองข้าง จนร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ ปล่อยให้ฮองตงพลิกตัว คว้าง้าวกลับมาพาดใส่ลำคอของกวนอูไว้แล้ว ค่อยมีจังหวะกวาดตามองสถานการณ์รอบๆด้านอีกครั้งหนึ่ง ภาพการต่อสู้อันดุเดือดของเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ต่างบาดเจ็บล้มตายดั่งใบไม้ร่วง ช่างเป็นเรื่องที่สูญเปล่าจริงๆ
“หยุดมือ” ฮองตงประกาศก้องสนามรบ จนทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการต่อสู้กันไปหมด ทำให้เล่าปี่ เตียวหุย และบังทอง ชักม้าตรงเข้ามาใกล้ ฮองตงจึงลดอาวุธลง คุกเข่าพลางประกาศ “ข้าขอสวามิภักดิ์ต่อท่านเล่าปี่ ผู้เป็นเชื้อสายพระวงศ์ฮั่น พวกทหารทั้งหลาย จงวางอาวุธลงเถิด”
เล่าปี่จึงตรงเข้าประคองฮองตง ขุนพลผู้สูงวัย แต่ถึงกับพิชิตกวนอูมาได้หยกๆด้วยความยินดี พลางกล่าวชมเชยขุนพลเฒ่าไม่ขาดปาก
ฮองตงยันกายขึ้นยืน แต่ยังคงเคร่งขรึม ประสานมือคารวะต่อขุนพลทั้งหลาย “ที่จริง เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในกระบวนยุทธ์ของท่านกวนอูแล้ว เรากัดฟันต่อสู้ ไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้าง กลับเป็นท่านกวนอู เห็นความผิดปกติ สามารถยื่นง้าวช่วยชีวิตเราไว้ ยังมีอีกครั้งที่มีโอกาสได้เปรียบ หากแต่ท่านกวนอูยับยั้งอาวุธไว้ ทำให้ผลการต่อสู้เปลี่ยนแปลง เราจึงขอประกาศยืนยันอีกครั้งว่า ฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ พ่ายแพ้ต่อกวนอู ขุนพลสยบมังกรแล้ว ขอให้ความแค้นเคืองในอดีต จงเลือนหายไปกับกาลเวลาเถิด”
ที่แท้ ฮองตงเห็นกวนอูยั้งมือไว้ชีวิตตนถึงสองครั้ง ครั้งแรก จากเกาทัณฑ์ลึกลับที่ลอบยิงเข้ามา ครั้งที่สอง จากการเหวี่ยงง้าวทิ้ง เปลี่ยนจังหวะฆ่าฟัน ดังนั้น ฮองตงจึงยินยอมพ่ายแพ้ ทั้งๆที่ตนเองสามารถเอาชัยชนะคืนมาได้คราหนึ่งจากการใช้วิชาสุดยอดในตำราโบราณ เป็นพลังดรรชนียิงตะวัน ต้นกำเนิดวิชาเกาทัณฑ์คู่สุริยัน ที่เพิ่งฝึกฝนสำเร็จมาหมาดๆ
เนื้อหาของวิชาพลังดรรชนียิงตะวัน อยู่ที่การเร่งชีพจรเป็นพลังดรรชนีความร้อน กระแทกใส่ศัตรู ราวกับเป็นการยิงกระสุนออกจากนิ้วมือ ขั้นต้นที่ฮองตงฝึกได้ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ได้มาเพียงพลังดรรชนีที่ร้อนระอุที่ปลายนิ้วเท่านั้น แต่หากฝึกต่อไปถึงขั้นสูงสุด จะสามารถรีดพลังภายในยิงเป็นกระสุนได้เลยทีเดียว
บรรพบุรุษรุ่นแรกเริ่มของชนเผ่าโบราณ ย่อมมีความสามารถถึงขั้นสูงสุด หากแต่ไม่อาจสืบทอดวิชาดังกล่าว เพราะขาดพลังภายในขั้นสูง จึงลดทอนปรับปรุงไปเป็นเกาทัณฑ์พิสดารในรูปแบบต่างๆที่ลอกเลียนแบบพลังดรรชนีนี้ จนกลายเป็นของวิเศษประจำเผ่า
เมื่อฮองตงช่วงชิงบันทึกพิสดารนี้มาแรกๆ ยังมีพลังฝีมือไม่สูงมากพอ จึงได้แต่พัฒนาเกาทัณฑ์ออกมาใช้งาน แต่เมื่อได้รับพลังปราณวิเศษเพิ่มเติม และเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ จึง กลับไปฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นสูงนี้อีกครั้ง
กวนอูยังมีเลือดชุ่มโชกที่บริเวณลำคอ ใบหน้าเรียบเฉย ปราศจากความยินดีหรือขุ่นเคือง จนยากจำแนกท่าที แต่กลับเดินมาใกล้ฮองตง ยื่นมือออกมาด้านหน้า “ข้าขอดูลูกเกาทัณฑ์ที่ท่านพกมาในวันนี้”
ฮองตงงุนงง แต่ก็เอื้อมมือหยิบเกาทัณฑ์ในกระบอกมายื่นส่งให้ กวนอูมองดูวูบเดียว พลันประสานมือน้อมกายคารวะ พลางกล่าวยกย่อง “ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องถ่อมตัวเลย บนม้า ท่านยั้งมือ ไม่ใช้เกาทัณฑ์สามสุริยัน ประสานกับง้าวคู่กาย เมื่อถึงขั้นประชิดตัว ท่านก็หลีกเลี่ยง ไม่ใช้เกาทัณฑ์ลับจนถึงที่สุด เพราะท่านได้ตัดหัวเกาทัณฑ์ให้ไม่มีความแหลมคม แสดงว่า มีเจตนาละเว้นชีวิตให้ตั้งแต่ต้น แล้วสุดท้าย ท่านก็ใช้พลังดรรชนีเพียงแค่สยบการเคลื่อนไหว หากท่านอำมหิตคิดฆ่าฟัน ตัวข้าคงนอนทอดกายไปถึงสามครั้งแล้ว คราวนี้ ตัวข้าขอยอมแพ้ด้วยใจจริงๆ”
ฮองตงงงงันวูบ การยั้งมือไม่ใช้เกาทัณฑ์นั้น เป็นเพราะมันยังไม่มั่นใจพอ ด้วยเป็นการต่อสู้ประชิดตัวกับคนที่มีพลังยุทธ์สูสีใกล้เคียงกัน ไม่มีระยะเพียงพอให้ใช้เกาทัณฑ์ใหญ่ ได้แต่ใช้เกาทัณฑ์ลับไปคราเดียว ส่วนพลังดรรชนี มันเพิ่งฝึกฝนได้เพียงขั้นต้นผิวเผิน จึงมิอาจใช้กระบวนท่าจนถึงที่สุด
แล้วใครกันที่บังอาจมายุ่งเกี่ยวกับอาวุธของมันได้เล่า คงมีนอกจากอุยเอี๋ยน ศิษย์เอกของมัน คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้มันพลั้งมือสังหารฝ่ายตรงข้าม จนยากจะคลี่คลายความแค้น แต่มาถึงตรงนี้ มันได้แต่เลยตามเลยไปกับสถานการณ์แล้ว
เล่าปี่รับฟังแล้ว จึงหัวร่อกลบเกลื่อน จูงให้ทั้งสองขุนพลจับมือกัน เลิกแล้วความบาดหมางทั้งปวง เตียวหุย นางแอ่นจึงสวมรอยเข้าไปกอดด้วยอีกคน มีเพียงบังทองที่ยืนมองดูภาพตรงหน้าที่ดูคล้ายใช่ แต่ยังไม่ใช่ ตามแผนการที่ตนวางไว้เลยแม้แต่น้อย
อุยเอี๋ยนซึ่งเมื่อครู่ ขยิบตาส่งสัญญาณต่อเตียวหุยให้รั้งมือ เพื่อตนเองจะได้กลับเข้ามาในเมืองเตียงสาในจังหวะที่เกิดการประจัญบานกันในสนามรบหลังจากที่ฮันเหียน เจ้าเมืองถูกยิงตาย เฝ้ามองเหตุการณ์จากด้านในกำแพงเมือง พอมองเห็นสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว จึงตัดธงบัญชาการศึกทิ้ง พร้อมตะโกนสั่งให้ทหารเมืองเตียงสายอมสวามิภักดิ์ในทันที และเปิดประตูเมืองออกมาต้อนรับขบวนทัพของเล่าปี่
ฮองตงกับอุยเอี๋ยนเป็นศิษย์อาจารย์กันก็จริง แต่ภายหลังที่ฮองตงกลับเข้ารับราชการนั้น อุยเอี๋ยนเจ้าความคิด เสนอให้แสดงตนเหมือนคนรู้จักกันทั่วไป เพื่อคอยเฝ้าระวังให้กันและกัน ภายใต้การปกครองของฮันเหียนเจ้าความคิด ส่วนบังทอง นางแอ่น-เตียวหุยสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็ไม่ได้เปิดโปงความลับออกไปเช่นกัน
เมื่อเล่าปี่และพวกเพียงส่วนน้อย เข้ามาพักผ่อนในเมืองเตียงสา จึงเป็นโอกาสให้อุยเอี๋ยนได้กล่าวถึงผลงานตัวเองที่เคยช่วยชีวิตเล่าปี่ในเมืองเกงจิ๋วครั้งก่อน และแนะนำ “น้องสาว” ของตนเองให้คนสำคัญทั้งหลายได้รู้จักกัน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา