17 มิ.ย. 2021 เวลา 23:08 • นิยาย เรื่องสั้น
4.13. สมรภูมิทุ่งหญ้าหิมะ
โจหอง แฮหัวเอี๋ยน สองเทวะ - เอียวสิ้ว กุนซือปากไว
กลับมาที่สมรภูมิชายแดนตะวันตก ช่วงเวลาที่แฮหัวเอี๋ยนแยกทัพไปจัดการกับกลุ่มขบถทางด้านเหนือนั้น ม้าเฉียว อัศวินหัวสิงห์ผู้ห้าวหาญแห่งเมืองเสเหลียง รีบฉวยโอกาสลงมือ ทั้งๆที่ยังไม่ทันพ้นช่วงฤดูหนาว เข้ารบปะทะกับโจหอง หนึ่งในสี่เทวะที่มีฝีมืออ่อนด้อยที่สุด และต้องตั้งทัพเฝ้าเมืองอยู่ตามลำพังคนเดียว
กองทัพเสเหลียงไม่เพียงมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพการรบสูง เชี่ยวชาญทั้งทัพเดินเท้าและทัพม้าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นกองทัพที่มีอุปกรณ์ทันสมัย ยังเหนือกว่ากองทัพรัฐบาลไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะหลอมรวมอิทธิพลความรู้ที่มาจากอารยธรรมนอกด่าน อาทิเช่น เกราะโลหะเบาสวมม้าที่ทำให้อาชาสายพันธุ์ดีกลายเป็นกองทัพม้าเหล็กที่ทรงพลัง และทนทานต่ออาวุธ ป้อมปราการสูงเคลื่อนที่ที่เรียกว่า หอธนูรอบทิศ อุปกรณ์กระทุ้งประตูเมือง อุปกรณ์ปีนไต่ยึดกำแพงเมือง หรือเครื่องยิงกลุ่มรถฟ้าลั่น ล้วนแปลกตาไปกว่าเดิม เพราะได้รับการปรับปรุงจนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แม่นยำขึ้นทั้งสิ้น
ม้าเฉียว ม้าต้าย และบังเต๊ก ขุนพลหน้าใหม่ ใช้ความได้เปรียบที่เหนือกว่ามาก ช่วยกันกดดันเป็นสามทิศทาง บุกยึดเมืองเตียงอันจนสำเร็จ กองทัพรักษาเมืองแตกพ่าย โจหองได้แต่หลบหนีเอาชีวิตรอดไปที่ด่านต๋งกวน ปราการถัดไป สร้างความฮีกเหิมให้กับกองทัพยิ่งนัก จนพากันไล่ติดตาม และแย่งชิงด่านตงก๋วนมาได้ด้วยในคราวเดียวกัน
ใจจริง ม้าเฉียวจึงอยากข้ามแม่น้ำอุยโห ฉวยโอกาสประลองกำลังทัพกับแฮหัวเอี๋ยนที่เพิ่งย้อนทัพกลับมาจากทางเหนือ และกำลังเศร้าเสียใจเรื่องการตายของบุตรชายทั้งสาม แต่ม้าเลี้ยง บัณฑิตคิ้วขาว กับ หันซุย สหายสนิทของบิดา ที่เป็นฝ่ายเสนาธิการของกองทัพ กลับฉุดรั้งคัดค้านไม่ให้ม้าเฉียวก่อการเคลื่อนไหวใดๆมากไปกว่านี้ โดยให้เหตุผลว่า ยิ่งรุกคืบ ยิ่งยากป้องกัน บัดนี้ ฝ่ายเราได้ครองเมืองเตียงอัน ด่านต๋งกวนแล้ว สมควรรอคอยจังหวะไปก่อนค่อยรุกคืบต่อไป
นอกจากนั้น ม้าเลี้ยง ยังให้ส่งม้าเจ๊กไปเจรจาชักชวนเตียวล่อแห่งเมืองฮันต๋ง เล่าเจี้ยงแห่งเมืองเสฉวน มาเป็นพันธมิตรสามเส้าในการร่วมทำสงครามในครั้งนี้แทน มุ่งหวังจะได้กำลังพลอีกสักสิบยี่สิบหมื่นมาเสริมทัพ การเชิญชวนให้ร่วมลงทุนในยามที่กำลังมีชัยชนะ ย่อมน่าดึงดูดใจมากกว่าตอนเพลี่ยงพล้ำเสียที
พอดีมีข่าวการเคลื่อนทัพใหญ่ของโจโฉ เพื่อเปิดศึกพิชิตตะวันตกมาถึงอย่างรวดเร็ว จึงสร้างความวิตกกังวลให้กับม้าเฉียว และพวกยิ่งนัก กองกำลังเสเหลียง และทัพพันธมิตรเผ่าเกี๋ยง ระดมได้เต็มที่ก็มีแค่ 7-8 หมื่น เท่านั้น การตั้งยันกับทัพสิบหมื่นของแฮหัวเอี๋ยน โจหอง ยังพอสู้กันไหว แต่คราวนี้ โจโฉขนมาเพิ่มอีกห้าสิบหมื่นเป็นอย่างน้อย คงหมายมั่นจะปราบทั้งเสเหลียง ฮันต๋ง ลงไปถึงเสฉวนในคราวเดียวแล้วกระมัง
มันได้แต่ภาวนาให้ม้าเจ๊กสามารถชักจูงเจ้าเมืองทั้งสองให้ร่วมลงทุน สร้างเป็นกองทัพพันธมิตรตะวันตก และกลับมาช่วยเหลือได้ทันเวลา มิเช่นนั้น น้ำน้อยย่อมแพ้กองไฟ ถึงเก่งกาจแหลมคม ก็ยังพ่ายต่อพลังทื่อๆ อันมหาศาลอยู่
ความตึงเครียดจากไฟสงครามที่กำลังลุกโชติช่วงนั้น ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองเสเหลียง ถิ่นต้นสังกัด ผลักดันให้ม้าหยุนลู่ น้องสาวของม้าเฉียวที่อยู่โยงเฝ้ารักษาเมืองตามลำพังกับนางเอียสี อาซ้อเมียของม้าเฉียว และนายทหารรอง ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ต่อไป ถึงกับฝ่าฝืนคำสั่งทัพ แอบปลอมตัว เดินทางลงใต้ หวังจะใช้สายสัมพันธ์ไปเชื้อเชิญจูล่ง ขุนพลเมฆขาว ให้ออกหน้าช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง
หากแต่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ เดินทางฝ่าลมหนาวไปตามลำพังครั้งแรกในชีวิต ไม่อาจปกปิดฐานะตัวเอง จึงคล้ายจะหายสาบสูญไประหว่างทางเสียแล้ว
ทัพหน้าสิบหมื่นจากเมืองหลวง ที่นำมาโดยแฮหัวตุ้น โจสิด และเอียวสิ้ว เดินทางข้ามแม่น้ำอุยโห เพื่อไปสมทบกับทัพของแฮหัวเอี๋ยน โจหองที่จุดยุทธศาสตร์ใกล้ด่านตงก๋วน ได้อย่างปลอดภัยตั้งแต่วันวาน ตลอดทางไม่มีปัญหาก่อกวนทัพแต่อย่างใด คาดว่า ทัพม้าเฉียวอาจจะระย่อต่ออานุภาพของกองทัพฝ่ายรัฐบาลเสียแล้ว
การเดินทัพอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดินด้วยจำนวนมากมายเช่นนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในดินแดนตะวันตกมาเนิ่นนานมากแล้ว กองทหารเดินเป็นแถวยาวผ่านทางเดินอันรกร้าง ทุ่งหญ้าป่าไม้ ธารน้ำแข็ง และเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี คล้ายฝูงมดตัดผ่านป่าทุ่งหญ้าสีขาว กลายเป็นภาพที่แปลกตา และสวยงาม สำหรับผู้มาเยือน จนไม่อาจลืมเลือนได้ง่ายๆ
ที่จริง ยามนี้ สมควรเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว หากแต่ลมฟ้าอากาศไม่แน่นอนชัดเจน ปีนี้ดูคล้ายฤดูหนาวจะยาวนานกว่าปกติ อีกทั้งดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือมักจะหนาวเย็นอยู่เป็นนิจ ทำให้ภูมิประเทศป่าเขานั้นยังคงปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งเกาะทั่วไปจนขาวโพลน บรรยากาศหนาวเย็นทุกครั้งที่ลมพัดโชยผ่าน
เมื่อทัพหลวงของโจโฉเดินทางมาถึง เห็นว่าฟากข้างริมแม่น้ำที่คับขันนั้นเป็นแนวเทือกเขาสูงชัน มีหิมะปกคลุมทั้งปี เส้นทางที่ต้องเคลื่อนผ่าน เพิ่งถูกพายุหิมะหลงฤดูกระหน่ำ กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าที่มีหิมะปกคลุมจนจมลึกถึงครึ่งขา เพียงเคลื่อนเท้าไปข้างหน้า ก็ลำบากมากแล้ว อีกทั้ง ร่องรอยการเคลื่อนที่ย่อมพบเห็นโดยง่าย
ปกติ กองทหารใดๆจึงมิอาจซุ่มซ่อน หรือเคลื่อนผ่านโดยไม่มีพิรุธ ดังนั้น โจโฉจึงสั่งการให้องครักษ์เคาทูนำทัพส่วนใหญ่ข้ามสะพานล่วงหน้าไปก่อน เพื่อให้มันได้หยุดพักเหนื่อย ชื่นชมทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าหิมะอันเลื่องชื่อสักระยะหนึ่ง คล้ายบังเกิดอารมณ์ศิลปิน ต้องการร่ายกวีสักบทหนึ่งก่อน
ที่จริง การเดินทัพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงยิ่งนัก และคนมากระแวงอย่างวุยก๋ง โจโฉ ไม่น่านำมาใช้ หากแต่โจโฉตัวปลอม มีวาระซ่อนเร้น ต้องการพบตัวม้าเฉียวเป็นการรีบด่วน ด้วยฐานะของมัน ย่อมไม่อาจเคลื่อนไหวออกจากค่ายได้เอง จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เช่นนี้
หากข่าวการทหารไปถึงหูของม้าเฉียว ม้าเลี้ยงว่า โจโฉมีทหารคุ้มกันเหลือเพียงน้อยนิดในยุทธศาสตร์คับขันเช่นนี้ ทัพเสเหลียงย่อมต้องรีบมาฉกฉวยโอกาสทองเข้ามาทันทีด้วยวิธีการที่ลับเฉพาะของนักรบชนเผ่าเกี๋ยง
เมื่อทัพหลวงส่วนใหญ่ที่นำโดยองครักษ์เคาทูเคลื่อนข้ามแม่น้ำไปจนเกือบหมดสิ้น เปิดเส้นทางกลางหิมะปกคลุมเป็นร่องน้ำโคลนกว้างใหญ่แถบหนึ่ง ทำให้กองทัพโจโฉที่ติดตามหลังมา เดินยกเท้าได้สะดวกขึ้นบ้างเล็กน้อย และกำลังใช้สะพานทะยอยข้ามแม่น้ำอุยโหไปกว่าครึ่งค่อนทัพแล้ว
แต่แล้ว สะพานข้ามแม่น้ำอุยโหซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของผู้คนมานานพลันขาดร่วงลงสู่สายน้ำ ด้านล่างแผ่นน้ำเห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวคล้ายสับสนคล้ายเป็นระเบียบ ที่แท้ เป็นฝีมือของกองทหารเสเหลียงที่แอบซ่อนตัวอยู่ในแม่น้ำ ลงมือทำลายแท่งเสาไม้ที่รองรับสะพานข้ามแม่น้ำอย่างกระทันหัน
เมื่อพื้นที่รองรับการสัญจรขาดหายไปเช่นนี้ นับว่าเป็นการตัดขาดกองทัพโจโฉออกเป็นสองส่วนด้วยสองฟากฝั่งแม่น้ำ พวกทหารเมืองหลวงมากมายร่วงหล่นลงไปกับสะพานข้าม ต่างตื่นตระหนกต่อความหนาวเย็นของสายน้ำ บ้างกระเสือกกระสนว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่บ้างก็ถูกทหารน้ำตามมาฆ่าฟันซ้ำเติม ทำให้เพื่อนทหารที่ริมตลิ่งรีบเร่งใช้เกาทัณฑ์หรืออาวุธไกลช่วยปกป้องเพื่อนทหาร จนกองทัพจำนวนมหาศาลปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด ทั้งในน้ำ และบนตลิ่งทั้งสองข้าง
ทันใดนั้น กองทัพเสเหลียงอีกกองหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากแนวเทือกเขาหิมะด้านบน ช่วยกันผลักดันก้อนหินขนาดใหญ่หลายสิบลูก ให้กล้ิงหล่นมาตามเนินผา ค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นก้อนหินหิมะขนาดใหญ่ ตรงเข้าใส่กองทัพโจโฉที่กำลังหยุดชะงักกับเหตุการณ์กระทันหันอยู่ทางด้านล่าง จนบาดเจ็บล้มตายกันไปมากมาย บ้างก็เหยียบผลักกันเองจนเสียขบวนศึก
ต่อเนื่องจากก้อนหินหิมะใหญ่ ยังติดตามมาด้วยยานพาหนะรูปทรงคล้ายกับเรือแจวทรงกว้างขนาดใหญ่ที่ด้านล่างปรับให้แบบเรียบ ที่มีเหล่าทหารม้า และทหารเดินเท้าเสเหลียง ซึ่งยืนรวมตัวกันอยู่แน่นจำนวนมาก เลื่อนตัวเคลื่อนผ่านหิมะตามลงมาอย่างรวดเร็ว
จนเมื่อเข้ามาใกล้กองทัพของโจโฉ ค่อยทิ้งตัวสละยานพาหนะให้พุ่งเข้ากระแทกพวกที่อยู่ด้านล่างอีกเป็นระลอกสอง ตัวทหารม้าและทหารเดินเท้ากระจายกันตรงเข้าโจมตี จนเปิดเป็นการต่อสู้ประชิดตัวแทน ดูเหมือนทหารเสเหลียงจะคุ้นเคยกับการต่อสู้ท่ามกลางหิมะ มีอุปกรณ์เสริมช่วยพยุงตัวพ้นจากหิมะ จึงไม่มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหวในสภาพภูมิประเทศเช่นนี้เลย
สุดท้าย ยังมีพลทหารเดินเท้าอีกมากมาย ที่ใช้แผ่นไม้ยาวยึดกับเท้าทั้งสอง ถือหอกทวนค้ำยัน เลื่อนไถลลงมาตามกองหิมะได้เองอีกเป็นกลุ่มสุดท้าย พลางยิงเกาทัณฑ์มือเข้าใส่ก่อน พอเข้ามาประชิด ก็เหวี่ยงเกาทัณฑ์มือทิ้ง ใช้หอกทวนจู่โจมบ้าง ค้ำยันให้เคลื่อนไปมาบ้าง นับเป็นการต่อสู้ท่ามกลางหิมะที่สวยงามรวดเร็ว แต่ดุเดือดรุนแรงยิ่งนัก
นี่คือกลยุทธ์จิ้งจอกภูเขาหิมะ ความสามารถพิเศษที่ถ่ายทอดกันในหมู่นักรบเผ่าเกี๋ยง ส่วนใหญ่ พัฒนาจากการละเล่นพื้นบ้านท้องถิ่น กลายมาเป็นอุปกรณ์เสริมในการรบที่มีประสิทธิภาพ และจู่โจมเคลื่อนไหวในหิมะได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
ทหารฝ่ายโจโฉไม่เคยเจอการปะทะแบบนี้มาก่อน จึงไม่ทันตั้งตัว และไม่อาจต่อสู้กับการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง ภายใต้สนามรบทุ่งหิมะเช่นนี้ได้ จึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียขวัญ โจโฉ ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กำกับมาภายหลัง ยังต้องรีบหลบหนีเอาชีวิตรอดก่อน ปล่อยให้กองทัพที่เหลือสองสามหมื่นนั้นแตกกระเจิง ต่อหน้าต่อตาโจสิด เอียวสิ้ว และขุนพลองครักษ์เคาทูที่ยืนตกใจกับเหตุการณ์คับขันอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำใหญ่
เปลือกนอก โจโฉตัวปลอม จึงคล้ายดูวุ่นวายใจที่ถูกซุ่มโจมตี หากแต่กองทหารกลุ่มนี้ ล้วนเป็นคนสนิทใกล้ชิด เคยร่วมเป็นร่วมตายภายใต้ธงศึกของโจโฉมานานทั้งสิ้น มันจึงต้องการส่งเสริมคนกลุ่มนี้ให้ถูกสังหารย่ิงมากก็ย่ิงดี เพื่อลดทอนคนเก่าแก่ออกไปจากวงจรของมัน ต่อไป มันจะได้จัดคนมาเปลี่ยนถ่ายได้ง่ายขึ้นอย่างแนบเนียน
เสียงตะโกนบอกกล่าวถึงตำแหน่งที่มันอยู่ดังก้องไปเป็นทอดๆ แสดงว่า ขุนศึกม้าเฉียว คงอยู่ไม่ไกลแล้ว มันจะได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการลับ เปิดเผยเรื่องราวให้บุตรชายคนโตได้รับฟัง และดำเนินแผนการให้สอดคล้องกันต่อไป
ทางหนึ่ง มันจึงแสร้งหลบหนี ทั้งถอดชุด ทั้งทิ้งหมวก จนกระทั่งตัดหนวดทิ้ง คล้ายไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามติดตามได้ถูก แต่อีกทางหนึ่ง คนในฝ่ายมันเอง ก็จะจดจำตัวมันไม่ได้ชัดเจนเช่นกัน มันจะได้หลอกล่อบุตรชายให้ไปยังที่สงบ เพื่อสะดวกต่อการเจรจา ป่าสนเขียวขจีในทุ่งหญ้าหิมะตรงหน้านั้น น่าจะเหมาะสม
ม้าเท้งหรือโจโฉตัวปลอม แลเห็นม้าเฉียว ม้าเลี้ยง ควบม้าศึกสูงใหญ่ตรงเข้ามา ก็นึกยินดีที่ทุกอย่างกำลังจะสำเร็จตามแผน มันจึงลงมือสังหารผู้ติดตามที่เหลือเสียเอง และ ทิ้งม้าเดินสวนทางเข้าไป เพื่อร่นระยะให้ทั้งสองเข้ามาใกล้อีกสักนิด เมื่อพูดคุยกัน จะได้ไม่ผิดสังเกตเกินไป จนม้าเฉียว ม้าเลี้ยงมาถึงตรงหน้าแล้ว
ม้าเท้งซึ่งอยู่ในชุดบางชั้นในสีขาว กำลังจะเงยหน้าขึ้นสบตา แต่ม้าเฉียวที่ว่องไวกว่า กลับยื่นทวนมาเคาะที่หัว เหมือนไม่ใส่ใจนัก “โจโฉหนีไปทางทิศใด รีบบอกกล่าว”
ม้าเท้งไม่ตอบคำ เพียงชี้มือไปทางป่าไม้ทึบเบื้องหน้า หวังให้ทั้งสองเข้าไป จะได้พูดคุยในที่ลับตาผู้คน ม้าเลี้ยง กุนซือคิ้วขาว ผู้ปราดเปรื่องที่สุดในเจ็ดคุณชาย เหมือนสังเกตเห็นท่าทีความผิดปกติ จึงยกมือห้ามม้าเฉียวไว้ก่อน “ทหารผู้นี้ จงเงยหน้าขึ้นมาสิ”
ม้าเท้งเกรงจะเสียเวลานาน จึงยินยอมเงยหน้า เผลอตัวใช้น้ำเสียงที่แท้จริงกล่าวด้วยความหงุดหงิด จนลืมขัดเกลาคำพูด “เป็นข้าเอง เจ้าทั้งสองจดจำบิดาได้หรือไม่”
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง งุนงงวูบใหญ่ที่จู่ๆ ทหารสูงวัยแปลกหน้ากลับเรียกตัวเองเป็นบิดา แต่น้ำเสียงกลับคุ้นหูยิ่งนัก แต่เนื่องจากเวลาผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว และไม่ทันคาดคิดว่าจะเป็นม้าเท้งผู้ล่วงลับ จึงยังจดจำไม่ได้ จังหวะนั้นเอง ม้าเฉียวฉุกใจเห็นหนวดเคราที่ตัดใหม่ จึงตวาดสวนกลับไปทันที “เป็นเจ้าทรราชย์โจโฉนี่เอง บังอาจนัก ตายเสียเถอะ” พลันสะบัดทวนในมือ พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“หยุดมือ” เสียงตวาดดังขึ้นสองเสียง พร้อมกับลูกเกาทัณฑ์พุ่งกระทบใส่ปลายทวน จนเบี่ยงเบนจากเป้าหมาย แต่ก็ยังเรียกเลือดจากท้องแขนของโจโฉได้อยู่ดี
ห่างออกไป แฮหัวเอี๋ยน เทพเหี้ยมหาญ สุดยอดนักเกาทัณฑ์แห่งสี่เทวะ กำลังปักหลักบนหลังม้า ยิงเกาทัณฑ์ใส่ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงอย่างต่อเนื่องโดยเร็ว ป้องกันไม่ให้ทั้งสองเข้าใกล้โจโฉได้อีก เพื่อเปิดทางให้ พี่ใหญ่ แฮหัวตุ้น และองครักษ์เคาทูบังคับม้าวิ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือ แต่ทั้งสามขุนพลก็คล้ายอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมอยู่ไม่น้อย
เคาทูเร็วกว่า รีบพุ่งเข้าสกัดม้าเฉียว ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงรุนแรง ม้าเลี้ยงขยับเข้าจะช่วย แต่แฮหัวตุ้นที่ตามมาติดๆ เสือกม้าชักอาวุธเข้าขวางไว้เช่นกัน จึงแยกออกเป็นสองคู่ ปะทะกันได้สักพักหนึ่ง ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง เห็นว่า แม้คู่ต่อสู้จะบาดเจ็บไม่น้อย แต่ก็ตึงมือยิ่งนัก ทั้งยังมีแฮหัวเอี๋ยนถือเกาทัณฑ์ยิงก่อกวนอยู่อีกคนหนึ่ง ย่อมไม่เกิดประโยชน์ที่จะแลกชีวิตด้วย จึงหันม้าหนีกลับไป
ม้าศึกพันธุ์ดีจากเผ่าเกี๋ยงของฝ่ายเสเหลียงคุ้นเคยกับทุ่งหญ้าหิมะ และสภาพอากาศหนาวเย็นมากกว่าม้าศึกจากซงหนู เซียนเปยของพวกแฮหัวเอี๋ยนหลายเท่านัก เมื่อผนวกกับอุปกรณ์บังเหียนใช้ควบคุมม้าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า จึงลุยฝ่าหิมะ ทิ้งห่างกันอย่างไม่เห็นฝุ่น จนพวกแฮหัวเอี๋ยนถึงกับตะลึงในภาพที่เห็น และสร้างความกังวลใจขึ้นมาไม่น้อยที่เห็นฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวได้คล่องตัวเช่นนี้
ม้าเท้งทบทวนเสียงตวาดเมื่อสักครู่ เสียงหนึ่งย่อมเป็นแฮหัวเอี๋ยน ผู้ยิงเกาทัณฑ์ช่วยเหลือตนไว้ แต่อีกเสียงหนึ่ง น่าจะเป็นม้าเลี้ยง คนฉลาด มีไหวพริบ อย่างม้าเลี้ยง คงจะสังเกตพบเงื่อนงำของตนเองได้แล้ว
แผนการของม้าเท้งในการพบปะเจรจากับม้าเฉียว แม้ว่า ภาพรวมจะถือว่าล้มเหลว เพียงอาจจะทำให้ม้าเลี้ยงฉุกคิดได้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็ยังกำจัดทหารคนสนิทเก่าแก่ของโจโฉไปได้มาก และยังดีที่ตัวเองบาดเจ็บเพียงผิวกายเล็กน้อย โอกาสเช่นนี้ คงจะยากยิ่งขึ้นในภายภาคหน้า
ม้าเลี้ยงกลับจากการสู้รบครั้งสำคัญ ยังคงไม่ปริปากบอกความสงสัยอันใดต่อม้าเฉียวผู้ห้าวหาญ แต่กลับเลือกที่จะไปปรึกษากับท่านอา หันซุย น้องร่วมสาบานของบิดาแทน หันซุยจึงได้รับรู้ข้อมูลลับนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง
“หรือว่า ม้าเท้งปลอมตัวมาเป็นโจโฉ ทำการยึดอำนาจได้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ คงต้องรอดูท่าทีของโจโฉผู้นี้ต่อไปก่อน” หันซุยครุ่นคิดขึ้น
ประจวบกับข่าวการหายตัวไปของม้าหยุนลู่มาถึง ม้าเลี้ยงจึงแจ้งข่าวให้ม้าเจ๊กลองสืบหาดูด้วยอีกทาง แต่ต้องการปิดข่าวไว้ ไม่ให้ม้าเฉียว ม้าต้ายล่วงรู้ในตอนนี้ ม้าเลี้ยงจึงออกอุบายให้ม้าเฉียว ม้าต้าย และบังเต๊ก ตั้งมั่นอยู่ที่หน้าด่านตงก๋วน ส่วนตนเองกับหันซุยแยกออกมาที่เมืองเตียงอัน หน้าด่านสู่หัวเมืองตะวันตกทั้งหลาย อ้างว่า ให้รอคอยกำลังเสริมที่ม้าเจ๊กกำลังดำเนินการอยู่กับเมืองฮันต๋ง เสฉวนก่อน
เมื่อโจโฉตั้งทัพผสมกับทัพเดิมของแฮหัวเอี๋ยน โจหองแล้ว จึงเรียกประชุมทหาร ให้รางวัลต่อเอียวสิ้ว กุนซือรุ่นใหม่ไฟแรงที่หัวไว ออกความคิดให้พวกแฮหัวเอี๋ยน ขดตัว หุ้มด้วยผ้านวมแทนกระสุน แล้วใช้เครื่องยิงก้อนหิน ยิงคนแทนกระสุน ข้ามแม่น้ำใหญ่ให้ตกหล่นในกองหิมะเพื่อลดแรงปะทะ จนเหล่าขุนศึกสามารถตามมาช่วยเหลือตนเองได้ทันเวลา แต่วิธีการเช่นนี้ย่อมทำให้คนบาดเจ็บบอบช้ำอยู่ไม่น้อย จึงสมควรยกย่องความกล้าหาญบ้าบิ่นของพวกแฮหัวเอี๋ยนทั้งสามในครั้งนี้
จากนั้น โจโฉถึงกับสั่งการตัดสินให้ประหารชีวิตโจหอง ต้นเหตุที่ปล่อยให้เสียเมืองเตียงอัน และด่านตงก๋วน จนทำให้การศึกเสียเปรียบพวกเสเหลียง สร้างความตื่นตกใจแก่แฮหัวเอี๋ยน แฮหัวตุ้น และขุนนางนายทหารทั้งหลาย จนต้องรีบคุกเข่า ขอให้คาดโทษไว้ก่อน โดยอ้างถึงจังหวะการศึกไม่ควรสังหารกันเอง จนเสียขวัญกำลังใจ และอีกทั้ง โจหอง ก็เป็นญาติสนิทของโจโฉแท้ๆ ติดตามทำศึกมานานแล้วอีกด้วย
ม้าเท้งในคราบโจโฉ เห็นว่า เหล่านายทหารยังรักสามัคคีกันอยู่ หากแข็งขืนดื้อดึงไป จะเป็นพิรุธ จึงได้แต่สั่งให้ทำทัณฑ์บนคาดโทษเอาไว้ หากผิดซ้ำ จะต้องโทษตายทันที ไม่ละเว้นให้อีก ถึงแม้จะเป็นญาติมิตรก็ไม่ไว้หน้าแล้ว
นี่คือ แนวทางที่ม้าเท้งต้องการเดินหมาก ใช้การศึกสงคราม สร้างเหตุผลในการตัดทอนกำลังของสี่เทวะ ห้าพยัคฆ์ ผู้เป็นเสาหลักด้านการทหารของพวกโจโฉนั่นเอง
แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เอียวสิ้ว กุนซือหนุ่ม ได้เข้ามาร่วมการศึกกับพวกโจโฉทั้งหลาย แต่มันก็อดสงสัยใจมิได้ต่อการกระทำของโจโฉในครั้งนี้ จึงได้แต่คาดเดาว่า เป็นเพราะตัวเองพลาดพลั้ง เสียหน้า จึงมาเสแสร้งลงโทษเอากับโจหองแทน
มันกวาดตามองดูที่ประชุมทหาร นอกจากโจสิด ทายาทที่ยังเป็นหนุ่มน้อย และเคาทูที่เป็นองครักษ์ใหญ่แล้ว ขุนศึกระดับสำคัญอย่าง แฮหัวเอี๋ยน แฮหัวตุ้น โจหอง สามในสี่เทวะ และ เตียวคับ ซิหลง สองในสี่พยัคฆ์่ที่หลงเหลือ ล้วนอยู่ที่นี่ ถือว่า โจโฉระดมขุนพลฝีมือดีมาใช้ไม่น้อย
หากแต่กลุ่มกุนซือรุ่นใหญ่ที่โจโฉมีอยู่ ไม่นับตันกุ๋น ตันฮกที่เป็นขบถไปแล้ว ยังมีสุมาอี้ กาเซี่ยง อีกสองคน กลับไม่ได้มาร่วมอยู่ในกองทัพเลย สุมาอี้โดนส่งไปดูแลกองเสบียง ร่วมกับอองลอง กาเซี่ยงก็ให้เฝ้าระวังอยู่ที่เมืองหลวงกับโจผี โจหยิน ส่วนกุนซืออื่นๆถึงจะมีอยู่บ้าง ก็ยังไม่มีบารมีมากพอ จึงเหมือนโจโฉต้องการจะยึดอำนาจสั่งการวางแผนไว้ที่ตัวเองคนเดียว หรือว่า..
“ที่แท้ ท่านโจโฉต้องการทดสอบความสามารถของข้านี่เอง จึงเปิดทางสะดวกให้ข้าได้แสดงฝีมือเต็มที่ ดีล่ะ เห็นที ข้าต้องสร้างผลงานชิ้นสำคัญในศึกปราบตะวันตกครั้งนี้ให้ได้” เอียวสิ้วแอบประสานสายตากับโจโฉที่กวาดผ่านมาพอดี พลางคิดเอง เออเอง กลับทำสิ่งที่วุยก๋ง โจโฉ ที่เป็นม้าเท้งปลอมแปลงมา ไม่ได้คาดคิดเข้าจนได้
ที่จริง การที่ม้าเท้งเลือกเอากุนซือหนุ่มเอียวสิ้วมา ก็เพื่อใช้เป็นแพะรับบาปในการออกอุบายสงคราม เพราะในท้ายที่สุด สงครามปราบตะวันตกที่มันวางแผนไว้ คือ โจโฉต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน กองทัพหลายสิบหมื่นที่จงรักภักดีต่อสกุลโจนั้นต้องลดจำนวนลงสักครึ่งหนึ่ง พวกสี่เทวะห้าพยัคฆ์ และทายาทโจโฉสมควรต้องล้มหายตายจาก นั่นคือภาพที่ม้าเท้งต้องการให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าหากนำกุนซือที่ปราดเปรื่องและมีประสบการณ์อย่างสุมาอี้ และกาเซี่ยงมาด้วยแล้ว อาจจะทำการแทรกซึมเพื่อทำลายเช่นนี้ได้ไม่สะดวกนัก
ในการศึกนี้ ขุนศึกตระกูลม้าจะได้สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์ และค่อยๆคลี่คลายสถานการณ์จากศัตรูมาเป็นมิตร กลับกลายมายอมสวามิภักดิ์เป็นขุนพลใหญ่แห่งแผ่นดินฮั่น โดยใช้ความเก่งกาจชำนาญศึกเป็นใบเบิกทางเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญของพวกสี่เทวะห้าพยัคฆ์ที่ว่างลง ช่วยเหลือราชสำนักยึดครองเมืองฮันต๋ง เสฉวน เป็นการปราบแดนตะวันตกกลับเข้าสู่รัฐบาลกลาง สร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับ
จากนั้น ม้าเท้งค่อยกลับเข้าไปกำจัดโจผี โจเจียง และพวกขุนนางนายทหารสำคัญที่ยังหลงเหลือในเมืองหลวงให้แนบเนียนด้วยการศึกแดนใต้ครั้งที่สอง เกงจิ๋ว และ กังตั๋งเป็นอันดับต่อไป กองทัพในเมืองหลวงเป็นทหารใหม่ ไม่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกโจมาแต่ต้น จึงเปลี่ยนข้างได้ง่าย แผ่นดินทั้งหมดของราชวงศ์ฮั่น ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของมันในคราบโจโฉ หรือม้าเท้งก็ตาม ถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครมาคัดค้านมันได้แล้ว
ภาพใหญ่เช่นนี้ คือ เรื่องราวที่ม้าเท้งต้องการนำไปถ่ายทอดให้ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง และพวกให้รับทราบ และร่วมมือกันดำเนินการให้สอดคล้องกัน ก่อนที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน จนเกิดความสูญเสียที่ควบคุมไม่ได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา