Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
19 มิ.ย. 2021 เวลา 00:07 • นิยาย เรื่องสั้น
4.14. แผ่นกระดาษว่างเปล่า
ม้าเฉียว ขุนพลหัวสิงห์ - เอียสี ฮูหยินชนเผ่านอกด่าน - หันซุย เทพเจ้าการุณย์แขนเดียว
ด้วยแผนการของโจโฉที่แสร้งปรึกษากันไปมากับกุนซือเอียวสิ้วที่ด้อยประสบการณ์ กองทัพใหญ่ห้าสิบหมื่นของโจโฉจึงถูกแบ่งแยกกองกำลังออกเป็นกองทัพย่อยสามสี่ค่าย ทิ้งช่วงระยะในการตั้งค่ายพักห่างกันหลายสิบลี้ รายล้อมหน้าด่านต๋งกวนเป็นรูปพัดจีบอย่างจงใจ
พอกองทัพใหญ่ถูกลดขนาด วางกำลังแบบกระจัดกระจายเช่นนี้ จึงทำให้กลายเป็นฝ่ายตั้งรับในสมรภูมิเทือกเขาหิมะ ปล่อยให้ม้าเฉียวใช้ความได้เปรียบ ฉกฉวยโอกาสซุ่มโจมตีแบบกองโจรได้ง่าย และมีเวลาเพียงพอ สามารถระดมคนมาจากเมืองเสเหลียงและเผ่าเกี๋ยงได้เพิ่มเติมหลายระลอก
ครั้นพอจะรุกคืบเอาคืนบ้าง โจโฉตัวปลอมก็ใช้ทหารเพียงกลุ่มเล็กๆผลัดเปลี่ยนกัน แทนที่จะรวมกำลังรุกเข้าตีด้วยจำนวนคนที่มากกว่า โดยอ้างว่า เกรงจะเกิดความผิดพลาด แล้วอาจโดนโจมตีสวนกลับเหมือนในทุ่งหญ้าหิมะอีก จึงเหมือนกับการส่งแผ่นกระดาษเข้าสู่กองไฟที่กำลังลุกโชนให้ถูกเผาไหม้ไปทีละน้อย
ดังนั้น เพียงแค่ด่านตงก๋วนกับกองทัพเจ็ดแปดหมื่นคนของม้าเฉียวและขุนศึกไม่กี่คน กลับสามารถทำให้การศึกฝ่ายโจโฉที่เคยผ่านสมรภูมิใหญ่ระดับศึกกัวต๋อ และศึกเซ็กเพ็ก ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง โดนกองทัพจิ้งจอกภูเขาหิมะขนาดเล็กของม้าเฉียวที่ชำนาญต่อหิมะและความหนาวเย็น บดขยี้โจมตีหลายต่อหลายครั้ง จนบาดเจ็บล้มตายไปหลายหมื่นคน สร้างความหวาดหวั่นให้กับเหล่าทหารที่กรำศึกมานาน
จุดเด่นของกองทัพพยัคฆ์เสือดาว ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเกลียวคลื่น ม้าเหล็ก และฟ้าลั่น ไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในสมรภูมิรบที่หนาวเย็น ทุรกันดารด้วยทุ่งหญ้าหิมะแห่งนี้ ขุนพลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเคาทู แฮหัวเอี๋ยน โจหอง ล้วนถูกอาวุธบาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า จนขวัญกำลังใจทหารลดน้อยลงตามลำดับ ในขณะที่กองทัพตระกูลม้าสร้างชื่อเสียงตามที่ม้าเท้งต้องการ
สุดท้าย แฮหัวตุ้นถึงกับตบะแตก ไม่อาจทนรับแรงกดดันจากพวกพ้อง จำต้องเป็นตัวแทนกึ่งอ้อนวอนกึ่งบังคับให้โจโฉเปลี่ยนแผนการรบ รวบรวมไพร่พลบุกโจมตีในคราวเดียว เปิดศึกใหญ่ให้จบสิ้นกันไปเลย คราวนี้ ม้าเท้งจึงไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีกต่อไป
…
แต่โชคดีสำหรับม้าเท้งที่จู่ๆก็เกิดพายุหิมะหลงฤดูกาลตกหนักติดต่อกันหลายวันจนทั่วทั้งด่านตงก๋วนขาวโพลนไปยิ่งกว่าเดิม ดึงเวลาของฤดูหนาวให้เนิ่นนานกว่าปกติ ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการลงมือทำสงคราม หิมะตกค้างที่ลึกหนาขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความหนาวเย็นเกินบรรยาย และจะสร้างความลำบากในการเคลื่อนที่ทั้งคนทั้งม้า ดังนั้น ธรรมชาติของการสงคราม นี่คือช่วงเวลาที่หยุดพักรบไปโดยปริยาย
ม้าเท้งในคราบโจโฉจึงสั่งการ ห้ามกองทัพทั้งหลายเคลื่อนไหวโดยพลการ ให้รอคอยดูท่าทีไปอีกระยะหนึ่งก่อน แต่การเลี้ยงดูกองทหารในยามหนาว ก็มิใช่เรื่องง่าย ปกติ แม่ทัพควรตัดสินใจเด็ดขาด ยอมสงบศึกเลิกทัพกลับเข้าเมืองใกล้เคียงไปก่อน แทนที่จะทู่ซี้ตั้งค่ายทหารอยู่รอทำศึก และเผชิญกับภัยธรรมชาติเช่นนี้
พอภัยธรรมชาติกรายกล้ำทำร้ายผู้คน อาหารสดที่สะสมไว้เริ่มขาดแคลนเสียหาย ค่ายทหารก็เสื่อมโทรม อาการเจ็บป่วยรุมเร้า ลดทอนขวัญกำลังใจของทหารมากยิ่งขึ้น จนเริ่มมีบางคนหนีทัพหนีตายไปแล้ว แน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นไปตามความประสงค์ของม้าเท้ง จอมวางแผน อยู่แล้ว
หากแต่เอียวสิ้ว กุนซือหนุ่มยังต้องการสร้างชื่อสร้างผลงาน จึงคิดค้นวิธีแก้ไขปัญหาด้วยการใช้ดินทรายผสมน้ำ หาทางสร้างค่ายกำแพงน้ำแข็งแบบพิสดารมาทดแทน ซ่อมแซมโครงสร้างส่วนที่สูญเสียได้สำเร็จ และล้มม้าศึกที่อ่อนแอมาแจกจ่ายแทนเสบียงกรัง อาศัยเลือดม้าเนื้อม้าช่วยเพิ่มความร้อนให้กับร่างกาย ช่วยลดทอนความเหน็บหนาวลงไปได้มาก
อีกทั้ง ยังเสนอให้ปรับเปลี่ยนเมล็ดข้าวเปียกชื้นเป็นอาหารที่ทำจากแป้งบ้าง ทำอาหารสดที่ค้างนานวันให้เป็นอาหารหมักดองบ้าง จนสามารถยืดอายุอาหารได้ดีขึ้น ทำให้เสบียงกรังพอประทังชีวิตไปได้อีกระยะหนึ่ง ได้รับการยกย่องจากนายทหารและกุนซืออื่นๆ รวมทั้งโจโฉ ที่ต้องพลอยแสร้งทำเป็นยินดีไปด้วย
การที่เอียวสิ้วฉายแววอัจฉริยะได้นั้น ย่อมเป็นการพลิกแพลงจากประสบการณ์เก่าก่อนที่ตนเองเคยคลุกคลีอยู่ในจวนของโจโฉในฐานะคนสนิทของคุณชาย คลุกคลีคุ้นเคยกับผู้คนชั้นใน และบังเอิญพบเห็นพ่อบ้านใหญ่เทียลิดเคยสอนสั่งเหล่าคนรับใช้ให้ทดลองทำงานครัวงานบ้านในยามฤดูหนาวนั้นเอง
เทียลิดนับเป็นพ่อบ้านที่ตระหนี่ถี่เหนียวไม่น้อย พบเห็นกำแพงผนังแตกเป็นช่องเป็นรูในยามค่ำคืน แทนที่จะรอใช้ดินเหนียวปะซ่อมในวันรุ่งขึ้น กลับทดลองใช้น้ำผสมดินทรายราดรด แก้ขัดไปพลางๆ ถึงกับปิดผนึกความหนาวเย็นได้สบายๆ
ในส่วนของการสร้างเสริมความอบอุ่นให้ร่างกาย ที่จริง เทียลิดใช้เลือดเนื้อของสัตว์เลี้ยง เช่น หมู วัว ในการสรรค์สร้างอาหารต่อต้านความเย็นให้ข้าทาสบริวาร เอียวสิ้วจึงดัดแปลงเป็นเนื้อม้า เลือดม้า แทน หวังให้พอแก้ขัดไปพลางก่อน
ส่วนการทำแป้ง ทำอาหารหมักดอง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เทียลิดมักนำมาแนะนำต่อพ่อครัวอยู่เนืองๆ เพื่อทำอาหารหลากหลายให้กับพวกพ้องบริวารจากของเหลือหมดอายุที่จัดเก็บเอาไว้ เป็นแนวทางประหยัดค่าใช้จ่ายภายในจวนของเจ้านาย
คงไม่มีใครคาดคิดว่า งานเล่นอดิเรก ฆ่าเวลาในยามว่างของพ่อบ้านใหญ่เทียลิดจะกลายเป็นประโยชน์ต่อการศึกได้เช่นนี้ แต่ข่าวดีเหล่านี้ก็ทำให้ม้าเท้งแอบไม่พอใจ และคิดหาทางกำจัดเอียวสิ้วให้พ้นจากวงจรเมื่อมีโอกาส
…
ในที่สุด ม้าเท้งจึงปรับเปลี่ยนท่าที แสร้งตัดสินใจยื่นข้อเสนอให้สองฝ่ายเลิกทัพ โดยหวังจะล่อให้หันซุยที่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเตียงอัน ออกมาสังเกตการณ์ และจะได้พบกับตนเองในสนามรบ เพื่อถือโอกาสเปิดเผยความจริง และบอกเล่าแผนการของตนให้ฟัง โดยการจัดฉากครั้งนี้ ม้าเท้งก็หลอกลวงให้ฝ่ายโจโฉคิดว่า เท่าที่ผ่านมาเป็นช่วงการล่อลวงให้ตายใจ และค่อยนำเสนอเข้าสู่แผนการสร้างความแตกแยกในกลุ่มพันธมิตรของม้าเฉียว นี่จึงกลายเป็นการเล่นละครครั้งใหญ่ของม้าเท้งอีกครั้ง
หันซุย และม้าเลี้ยง ออกมาตามแผนการจริงๆ ม้าเท้งในคราบโจโฉจึงปลดอาวุธออก แสร้งบังคับม้าออกไปพูดคุยด้วยเสียงอันดังในฐานะคนเก่าแก่ของราชสำนักด้วยกันทั้งสองฝ่าย และข้อความก็เป็นไปตามขนบธรรมเนีียมมิตรสหายทั่วไป เพียงแต่ก่อนจากกัน ค่อยหยิบยื่นจดหมายลับให้ไปอ่านในภายหลังอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางสายตาของคนทั้งสองกองทัพ
เนื่องจากเป็นการกระทำที่เปิดเผยอุกอาจ ต่างฝ่ายต่างคาดเดาไปตามที่เห็น ฝ่ายโจโฉนึกว่า นี่คือกลลวงตามแผนของโจโฉ ส่วนฝ่ายม้าเฉียวกลับคิดไปว่า หันซุยอาจจะโดนซื้อตัวเสียแล้ว ข่าวนี้จึงไปถึงหูของขุนพลหัวสิงห์ ม้าเฉียวอย่างรวดเร็ว
…
เมื่อหันซุย ม้าเลี้ยงกลับถึงกระโจมแม่ทัพในค่ายตน ยังไม่ทันหยิบจดหมายลับมาพิจารณา ม้าเฉียวก็โผล่เข้ามาด้วยความใจร้อน และไต่ถามท่าทีของหันซุยในสนามรบ หันซุยรีบแสดงความจริงใจด้วยการนำจดหมายลับมาให้อ่านพร้อมกัน แต่แล้ว จดหมายลับกลับเป็นแค่กระดาษที่ว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง
หันซุยนิ่งอึ้ง ไม่มีคำพูดว่ากล่าว ม้าเฉียวจึงไม่พอใจ สบตากับม้าเลี้ยง และผลุนผลันกลับออกไปข้างนอก ม้าเลี้ยงนำแผ่นกระดาษมาพิจารณา ค่อยนึกถึงการละเล่นในวัยเยาว์ที่เคยเล่นกับบิดา ใช้สมุนไพรผสมชาดขีดเขียนข้อความลับ จึงนำกระดาษไปอังไฟให้ร้อน จนปรากฏเป็นตัวอักษรปรากฏขึ้นมาจริงๆ และมีเพียงประโยคเดียวสั้นๆ
“จงแสร้งพ่ายแพ้ หนีเข้าฮันต๋ง แล้วยึดครองจากภายใน - ม้าเท้ง”
“เป็นจดหมายจากท่านพ่อ ที่แท้ ท่านก็ยังไม่ตายจริงๆด้วย” ม้าเลี้ยง บัณฑิตคิ้วขาว พึมพำทั้งน้ำตา ในขณะที่หันซุยก็ดีใจจนออกนอกหน้า
“แสดงว่า พี่ม้าเท้งปลอมแปลงมาเป็นโจโฉ มิน่า จึงจงใจปล่อยให้กองทัพหลายสิบหมื่นคนทำศึกยืดเยื้อสับสนจนเสียหายตั้งมากมาย ส่งเสริมชื่อเสียงของฝ่ายเราจนโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน ดูจากแผนการที่สั่งมา ป้อมกำแพงหน้าด่านเมืองฮันต๋งขึ้นชื่อเรื่องความยากลำบากในการโจมตีมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเราย่อมล่าถอยไปเข้ากับเตียวล่อได้ง่าย และการยึดครองจากภายในย่อมสะดวกกว่าการบุกโจมตีด้วยการศึกโดยตรง ช่างเป็นแผนการที่ลึกซึ้งจริงๆ” หันซุยกล่าวชมเชย
“หากแต่พี่ใหญ่ห้าวหาญ ย่อมมิยอมเสียชื่อเสียงตนเอง พวกเราคงต้องช่วยกันวางแผนให้พี่ใหญ่ต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว” ม้าเลี้ยง พอระงับอารมณ์ได้แล้วจึงลูบปลายคิ้วสีขาวด้วยความเคยชิน พลางนึกถึงแผนการขั้นต่อไป
…
แต่เดิม เมืองฮันต๋งคล้ายไม่ยุ่งเกี่ยวการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินกับผู้ใด ไม่เคยเข้าร่วมทำศึกสงคราม หากแต่มุ่งรักษาพื้นที่ตนเองอย่างเหนียวแน่นในรูปแบบของชุมชนลัทธิคุณไสย เตียวล่อที่หลุดพ้นจากขุมกำลังพรรคฟ้าเหลืองมานาน ใช้ตัวตนดั้งเดิมที่เคยเป็นประมุขลัทธิข้าวเปลือกห้าทะนาน ปกครองผู้คนให้เลื่อมใสศรัทธาในเวทมนต์
ภายหลัง ไม่ทราบเตียวล่อไปได้ช่างประดิษฐ์เก่งกาจมาจากหนใด ถึงกับพัฒนาแร่ธาตุโลหะได้ก้าวหน้า เปลี่ยนอาวุธในเมืองจนคมกล้าแข็งแกร่งกว่าแหล่งอื่นๆ จนเป็นที่ตื่นตระหนกต่อผู้คนทั่วไป และยังสร้างป้อมปราการขึ้นใหม่ตามหลักฮวงจุ้ย ผนวกผสานกับภูมิประเทศธรรมชาติที่ตั้งอยู่ใกล้เนินผาเทือกเขา เกิดเป็นค่ายกลพิสดาร ไม่อาจเข้าออกได้ง่ายดาย จนกลายเป็นดั่งเมืองอาถรรพ์ในตำนานเร้นลับ
ยามนี้ หากประเมินทั่วแผ่นดินด้วยสายตาการทหาร ชัยภูมิเมืองฮันต๋งกลับเป็นอันดับหนึ่งในด้านการป้องกันไปแล้ว จนแม้แต่อ้วนยู ปราชญ์เฒ่าสายช่างนักประดิษฐ์ ยังกล่าวยกย่องนับถืออยู่เนืองๆ
…
เมื่อม้าเฉียวสงบอารมณ์ลงได้ จึงย้อนกลับเข้ามาในกระโจมแม่ทัพ หวังจะปรับความเข้าใจกับหันซุย ผู้เป็นเพื่อนสนิทเก่าแก่ของบิดา แต่กลับพบว่า หันซุยกับม้าเลี้ยงกำลังปะทะคารมกันอย่างหนัก จนถึงกับลงไม้ลงมือด้วยอาวุธกันแล้ว
จากอารมณ์โกรธที่เพิ่งสงบลงได้ไม่นาน จึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ม้าเฉียวจึงใช้ทวนคู่กายเข้าขวางทาง และเหวี่ยงสะบัดเอาจนอาวุธของหันซุยหลุดมือ แต่แทนที่จะหยุดยั้งเพียงแค่นั้น ม้าเฉียวกลับใช้จังหวะต่อเนื่อง จงใจฟาดทวนลงตัดแขนขวาของหันซุยขาดเสมอข้อศอกไปแล้ว
ม้าเลี้ยง หน้าซีดเผือดลงพอๆกันกับหันซุยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระทันหัน แผนการที่วางไว้ เพียงแค่แสร้งให้มีการต่อสู้กันเล็กน้อย แล้วจะแยกย้ายไปดำเนินการ แต่นี่ม้าเฉียวกลับทำเกินเลย จนหันซุยกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ม้าเลี้ยงจึงกริ่งเกรงว่า หันซุยจะแปรพักตร์ไปจริงๆด้วยความเจ็บแค้นในครั้งนี้
เสียงการต่อสู้เบื้องแรก ทำให้ทหารองครักษ์ของหันซุยมารอคอยอยู่ภายนอกอยู่แล้ว เพียงยังไม่กล้าเข้ามาแทรกแซงเหล่าบุคคลสำคัญ หากแต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหันซุย ทำให้เหล่าทหารตัดสินใจกรูกันเข้ามาช่วยเหลือเจ้านายทันที
หันซุยรีบตวาดสั่งให้จับตัวคนร้ายเหมือนดั่งที่นัดหมาย แต่ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง ฝีมือเหนือกว่า จึงฝ่าวงล้อมออกไปได้ไม่ยากนัก หากแต่ม้าเลี้ยงกลับไม่แน่ใจว่า แผนการยังคงดำเนินไปตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่เสียแล้ว
…
ตามขนบธรรมเนียมของคนเผ่าเหนือ ยึดถือพี่น้อง ผู้อาวุโสและคำสัตย์สาบานเป็นสำคัญ การที่ม้าเฉียวลงมือทำร้ายคนสนิทที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานของบิดาตนเองโดยไม่ปรากฏเหตุผลอันชัดเจน นอกจากกระดาษเปล่าแผ่นเดียว จึงไม่ต่างกับการลงมือทำร้ายผู้อาวุโสของตนเอง นับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงของม้าเฉียวอยู่ไม่น้อย ทหารเสเหลียงและเผ่าเกี๋ยงที่เคารพนับถือหันซุยผู้มีใจโอบอ้อมอารีย์ ย่อมมีอยู่ไม่น้อยกว่าพวกตระกูลม้า ขุมกำลังเสเหลียงเกินครึ่งค่อน จึงเลือกที่จะเข้าข้างกับหันซุยผู้โชคร้ายเสียมากกว่า
ด้วยเหตุการณ์นี้เอง หันซุยจึงมีข้ออ้างที่ชัดเจนในการทำหนังสือสวามิภักดิ์ให้กับโจโฉ และนำกองทัพส่วนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีประสบการณ์สูงด้านจรยุทธ์ในหิมะ ย้อนกลับไปยึดครองเมืองเตียงอัน เมืองเทียนซุย กับเมืองเสเหลียง เกาะกุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญเอาไว้ ทำให้ม้าเฉียวและพวกที่ด่านตงก๋วนกลายเป็นกองทัพโดดเดี่ยว ตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายตรงข้าม และยังมีทหารใหม่อีกเกินครึ่งที่เตรียมพร้อมจะหลบหนีอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อสถานการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ กองทัพโจโฉจึงรวบรวมพลังโจมตีครั้งใหญ่ เข้าใส่กองกำลังที่กำลังเสียขวัญอย่างหนักด้วยจำนวนพลที่มากกว่าหลายสิบเท่า และใช้กองทัพฟ้าลั่นที่มีพลังทำลายล้างสูง มุ่งทำลายโครงสร้างป้อมค่าย ทำให้ด่านตงก๋วนแตกโดยง่าย ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง ม้าต้าย และบังเต๊ก รีบหลบหนีเลี่ยงเส้นทางไปยังเมืองฮันต๋ง เพื่อสมทบกับม้าเจ๊กที่ยังคงรอคอยกองทัพช่วยเหลือของเตียวล่อ และเล่าเจี้ยงตั้งแต่ก่อนหน้านั้นในทันที
ในขณะเดียวกัน กองทัพโจโฉก็รุกคืบผ่านด่านตงก๋วน เมืองเตียงอัน เข้าสู่เมืองเทียนซุยที่หันซุยเปิดเมืองรอต้อนรับอยู่แล้ว และตั้งทัพเตรียมพร้อมที่จะบุกเมืองฮันต๋งเป็นเป้าหมายต่อไปหลังจบสิ้นช่วงพายุหน้าหนาวนอกฤดูกาล ศึกม้าเฉียวที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน ก็จบลงได้อย่างง่ายดายไปเช่นนี้
…
จังหวะนี้เอง กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดนอกเหนือแผนการอีกประการหนึ่ง นั่นคือ นางเอียสี ภรรยาสุดที่รักของม้าเฉียว และลูกชายวัยเยาว์ทั้งสามคน ที่อยู่เฝ้าระวังที่เมืองเสเหลียง พยายามหลบหนีภัยสงครามออกนอกด่าน จนได้รับบาดเจ็บจากการหลบหนีกองทัพของโจโฉ และตายไปด้วยพิษของบาดแผลในที่สุดทั้งครอบครัว
เรื่องราวสะเทือนใจครั้งนี้ ทำให้ม้าเฉียวยิ่งโกรธแค้นโจโฉ และหันซุยคนทรยศมากยิ่งขึ้น จนทำให้ม้าเลี้ยง ร้อนรุ่มใจยิ่งนัก แต่ก็จนใจ ไม่กล้าปริปากบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงไปในช่วงเวลานี้ หวังรอคอยให้กาลเวลาช่วยเยียวยาบาดแผลในใจไปก่อน
แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ม้าเลี้ยงกับหันซุย มัวแต่วุ่นวายกับสถานการณ์เฉพาะหน้าจนหลงลืมไป นั่นคือ นางเอียสีมีศักดิ์ฐานะดั้งเดิมเป็นถึงธิดาของหัวหน้าชนเผ่านอกด่านตะวันตก ที่มีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น แตกต่างไปจากชนชาติอื่น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวของสงครามการศึก การที่บุตรีมาตายไปโดยที่ครอบครัวฝ่ายสามีไม่แจ้งข่าวคราวให้เป็นกิจจะลักษณะให้ครอบครัวฝ่ายภรรยารับรู้ ย่อมผิดต่อจารีตประเพณี และเป็นที่ไม่พอใจของชนเผ่านักรบต่างแดนที่อยู่ห่างไกลเป็นแน่
เพียงแต่ว่า เมื่อไหร่ที่ข่าวร้ายนี้จะไปถึงหูของผู้นำดินแดนนั้น และนั่นจะเป็นมหันตภัยในอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกวาระหนึ่ง
…
กลับมาที่ม้าเท้งในคราบของโจโฉ พิจารณาบาดแผลของหันซุย น้องร่วมสาบานคนซื่อที่ฝ่าฟันความลำบากมาด้วยกันตั้งแต่วัยหนุ่ม พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ลำบากน้องท่านแล้ว เราวางแผนการไม่รัดกุม กลับทำให้น้องท่านต้องได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ น่าละอายใจยิ่งนัก”
“มิได้ พี่ท่าน สงครามย่อมมีความสูญเสีย ตัวข้าเสียสละเพียงแขนข้างหนึ่ง แต่พี่ท่านมีเป้าหมายสำคัญ ต้องยอมอดทนรอคอยเป็นสิบปี สูญเสียตำแหน่งการงาน ครอบครัวและความสุขสบายทั้งปวง เพื่องานใหญ่ของแผ่นดิน ยามนี้ เพียงลงมือครั้งเดียว ก็แทบจะกำจัดกลุ่มทรราชย์สกุลโจจนหมดสิ้นได้แบบถอนรากถอนโคนอยู่แล้ว เทียบกันไม่ได้จริงๆ แต่น่าเสียดายที่หลานม้าเฉียวพลอยต้องมาสูญเสียครอบครัวไปจนหมดสิ้นอย่างงมงายเช่นนี้” หันซุยตอบ
“เอาเถิด มันเป็นโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตขึ้นแล้ว เจ้าจงกลับไปพักผ่อนที่เมืองเสเหลียงให้สุขสบาย เราจะตั้งให้ท่านเป็นเจ้าเมืองเสเหลียงแทนม้าเฉียว ดูแลสองมณฑล หยงจิ๋ว เหลียงจิ๋วอย่างเป็นทางการ เรื่องราวทางนี้ ให้ข้ากับม้าเลี้ยงจัดการต่อกันเอง”
ดังนั้น หันซุย ขุนศึกผู้เสียสละและคุ้นเคยกับพวกนอกด่านฝั่งฟากนี้เป็นอย่างดี คล้ายมีชนักติดหลัง จึงไม่กล้าติดต่อกับม้าเฉียวโดยตรงอีก โดยหลุดออกจากวงจรต่อสู้ ไปดูแลเมืองเสเหลียง และทำความเข้าใจกับเผ่าเกี๋ยงนอกด่านให้หยุดยั้งการแข็งขืนต่อแผ่นดินฮั่นต่อไป รวมทั้งเปิดทางให้ทหารเผ่าเกี๋ยง เผ่าตีที่หลงเหลือให้กลับสู่มาตุภูมิโดยไม่เอาผิดเรื่องการร่วมทำศึกในช่วงที่ผ่านมา
ภายหลัง หันซุยซึ่งมีความโอบอ้อมอารีเป็นทุนเดิม จึงได้รับการยกย่องเป็น “เทพเจ้าการุณย์แขนเดียว” ผู้นำแห่งดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ลบล้างอิทธิพลดั้งเดิมของตระกูลม้าไปจนแทบหมดสิ้น เป็นการยุติศึกสมรภูมิทางด้านนี้ไปได้เนิ่นนานอีกจุดหนึ่ง และกลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ใช้เพาะเลี้ยงม้าศึกชั้นดีส่งต่อให้กับฝ่ายรัฐบาลไปอีกยาวนาน
ซึ่งหลังจากนั้น สหายเก่าในคราบโจโฉก็ไม่ได้ติดต่อกับมันอีกเลย คงเป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังไม่ลุล่วงด้วยดีอย่างที่คาดคิดไว้ หรืออาจจะเกิดเปลี่ยนใจ กลับมาเคืองแค้นในความสูญเสียทายาทสืบสกุลของม้าเฉียวขึ้นมา ก็สุดจะคาดเดาได้ หันซุยเองจึงไม่กล้าเอ่ยปากสอบถามไปเช่นกัน
แผนการของยอดอาชาไนยรุกคืบไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แม้จะมีความผิดพลาดบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่ทำให้ม้าเท้ง จอมอำมหิต หยุดยั้งย่างก้าวที่กำลังบดขยี้ลึกเข้าไปในดินแดนตะวันตก เพื่อรวบรวมแผ่นดินจีนทั้งหมดต่อไป
…
ณ ที่ประชุมดินแดนกังตั๋ง ซุนกวนในคราบบุรุษหนวดเคราดกครึ้ม นั่งเป็นประธาน โดยมีขุนนางนายทหารระดับสูงเพียงไม่กี่คนเข้าร่วมประชุมด้วย เช่น โลซก ลกซุน เตียวเจียว โกะหยง เท่านั้น ชนชั้นขุนพล นับจาก กำเหลง ลิบอง ก็ยังไม่ได้สิทธิ์เข้าฟัง
นับจากที่จิวยี่สิ้นชีพไปแล้ว ซุนกวนคล้ายปลดปล่อยตัวเองขึ้นมาระดับหนึ่ง นิสัยพลอยปรับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดึงดันกว่าเดิมอยู่บ้าง เพราะไม่มีพี่เลี้ยงควบคุมใกล้ชิดดังก่อน ภายหลังมานี้ แม้เปลือกนอก จะคล้ายโลซกควบคุมสถานการณ์เกือบทุกอย่าง แต่ที่จริงแล้ว พวกโลซกทั้งหลายก็ได้แต่เสนอแนะความคิดเห็นให้ชัดเจน แล้วซุนกวนจะรับฟังและตัดสินใจเอง แล้วดำเนินการสั่งผ่านโลซกกลับไปอีกทอดหนึ่ง จึงนับว่า เป็นภาพมายาที่ซุนกวนกับโลซกจัดฉากหลอกลวงผู้คนทั้งแผ่นดิน
ครั้งนี้ เป็นซุนกวนที่นำประเด็นสงครามเสเหลียงมาว่ากล่าวอย่างกระตือรือร้น “ยามนี้ แต่ละฝ่ายต่างอาศัยพันธะพันธมิตรคุ้มครองตนเองจนใกล้จะหมดเวลาแล้ว ด้านเล่าปี่เพิ่งเสร็จศึกเตียงสาสี่เมืองใหญ่ คงมิเป็นอุปสรรคอันใด ส่วนโจโฉมุ่งหน้าทำศึกตะวันตก กลับเปิดช่องว่างครั้งใหญ่ ยั่วเย้าให้เราควรเคลื่อนไหวสักครา”
เตียวเจียวกล่าวขัดขึ้น “มิใช่ เปลือกนอก โจโฉระดมขุนพลไปมากมายก็จริง แต่ยังทิ้งขุนพลสำคัญไว้ที่เมืองหับป๋า อ้วนเซีย และเมืองหลวงฮูโต๋ จงใจกดดันไม่ให้พวกเราเคลื่อนไหวขึ้นเหนือ อีกทั้ง สุมาอี้ถูกวางตัวเป็นฝ่ายเสบียง สามารถละทิ้งการศึกมาร่วมป้องกันได้ในทันที นี่อาจเพียงต้องการให้เราเป็นฝ่ายทำลายพันธะสัญญาก่อนเท่านั้น”
โลซกพยักหน้าสนับสนุน “ถูกต้อง โจโฉมีกำลังคนแข็งแกร่งมากมาย ตั้งรับได้ง่าย ขอเพียงซื้อเวลาได้สักพัก จะย้ายโอนขุนพลจากพื้นที่อื่นมาทดแทนก็ยังทำได้ ยินว่า เทียนอู เตาจี๋ ฟากเหนือ และขุนพลรุ่นหลังสกุลโจ สกุลแฮหัว อย่างเช่น แฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิว ก็มีฝีมือไม่ใช่น้อยเลย นายท่านโปรดทบทวนด้วย”
ซุนกวนมึนตึง มันหมายสร้างชื่อเสียงแก่ตนเองบ้าง ด้วยเกรงว่า บารมีตนเองเริ่มสั่นคลอนลดถอยไปตามกาลเวลา หากแต่ยังหาทางชี้แจงไม่ได้ จึงนิ่งเงียบไปพักใหญ่
ลกซุนเห็นว่า บรรยากาศอึมครึม สองฝ่ายไม่ยอมลดราต่อกัน จึงเสนอแนะขึ้น “หากแม้นเราส่งขุนพลระดับรอง อย่างลิบอง พัวเจี้ยง แสร้งทำความเคลื่อนไหวแถบชายแดน ทดสอบหยั่งเชิงแผนการของพวกมัน แล้วค่อยประเมินกันอีกทีเล่า จะดีหรือไม่”
ซุนกวนตาลุกวาวส่งเสียงชมเชย พวกไม้ใกล้ฝั่งล้วนจดจ่ออยู่ในกระดาน ดาวรุ่งลกซุนอยู่ด้านข้างกลับมองสถานการณ์ได้ชัดเจน เช่นนี้สิ จึงน่าสนับสนุนไปนานๆ
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย