21 มิ.ย. 2021 เวลา 00:05 • นิยาย เรื่องสั้น
4.15. ดารางำประกาย
เตียวล่อ หัวขวานผู้ฝืนชะตา - หน้ากากพิสดาร - เตียวล่อ ผู้สืบทอดลัทธิห้าทะนาน
เปลือกนอก เตียวล่อเป็นเพียงเจ้าเมืองสายบุ๋นที่มีประวัติยาวนานคนหนึ่ง มุ่งมั่นปกป้องดินแดนเฉพาะตน ซึ่งดูเหมือนไม่มีพิษสงอันใด หากแต่ที่จริง เตียวล่อก็เป็นหนึ่งในสมาชิกขุมกำลังสัตตดารา เป็นดาวปกครอง หนึ่งในสามทหารเอกของเตียวก๊ก ผู้เป็นประมุขพรรคฟ้าเหลืองในอดีต ซึ่งแต่ก่อน มีที่มั่นสำคัญอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกับเมืองเสเหลียงนี่เอง จึงเป็นเสมือนเมืองขบถที่ให้การสนับสนุนกองกำลังโจรร้าย
ขุมกำลังสัตตดารานั้น มีสมาชิกทั้งหมดเจ็ดคน ประกอบด้วย เตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ เตียวสิ้ว ดาวองครักษ์ เตียวล่อ ดาวปกครอง เตียวเลี้ยว ดาวขุนพล เตียวหุย ดาวร่ำรวย เตียวคี ดาวอำพราง และเตียวเสี้ยน ดาวนางงาม เรียงตามลำดับการเข้าร่วมพรรค
หากแต่เมื่อนับตามหลักอาวุโสแล้ว เตียวล่อสมควรนับเป็นอันดับสอง เพียงรองลงมาจากเตียวเจียวเท่านั้น และเมื่อผนวกกับการทำผลงานด้วยแล้ว เตียวล่อเองกลับโดดเด่นที่สุด เพราะการที่มันนำพาลัทธิข้าวเปลือกห้าทะนานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาเข้าร่วมกับพรรคฟ้าเหลือง นับเป็นจุดเปลื่ยนที่ทำให้ขุมกำลังหน้าใหม่มีความก้าวหน้าถึงจุดสูงสุด สามารถขยายเครือข่ายออกไปทั่วทั้งแผ่นดิน ทำให้ผู้คนในพรรคให้ความสำคัญต่อมันสูงส่งยิ่งนัก
ตามแผนการตั้งต้นของเตียวก๊ก อดีตประมุขพรรค สัตตดาราสามคนแรก ซึ่งก็คือ สามลูกสมุนคนสนิท แยกย้ายกันไปควบคุม และแทรกซึมฐานที่มั่นอยู่สามเมืองสำคัญ อันได้แก่ เมืองเตียงสา เมืองฮันต๋ง และเมืองอ้วนเซีย เตียวล่อ เตียวสิ้ว กระทำการสำเร็จลุล่วงด้วยดี ยึดครองฮันต๋ง อ้วนเซียได้ตามลำดับ
มีเพียงเตียวเจียวที่โชคร้าย ทำการไม่สำเร็จ เพราะมีซุนเกี๋ยน ผู้นำตระกูลซุนรุ่นแรกเข้ามาสอดแทรกครอบครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญไปเสียก่อน ทำให้ได้รับบทบาทเป็นเพียงขุนนางคนสนิทของดินแดนกังตั๋งในเวลาต่อมา แต่กลับมีบทบาททางการเมืองไม่น้อย
ส่วนสัตตดาราสี่คนหลัง ซึ่งคือดาวเด่นรุ่นถัดมา จะแยกย้ายไปตั้งมั่นในจุดพลิกผันอื่นๆ เช่น เตียวเลี้ยวกับเตียวเสี้ยน ปักหลักสนับสนุนกันที่เมืองหลวง เตียวคีเข้าด้วยกับโตเกี๋ยมที่เมืองชีจิ๋ว และเตียวหุย ทำตัวเป็นพ่อค้าใหญ่บังหน้า คอยดูแลด้านการเงิน และรักษาขุมทรัพย์ทั้งหมดของพรรคไว้
เมื่อตรึงกำลังแฝงจารชนไว้พร้อมแล้ว เตียวก๊กสามพี่น้อง รวมทั้งเตียวหยุน ทายาทคนสำคัญ สามารถกระจายกำลังเป็นสี่เส้า ครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์ทั่วทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนหลักในการรวบรวมชิงดินแดนได้อย่างเต็มที่ ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองที่ระบบการปกครองล่มสลาย จ้าวนครแตกความสามัคคี
น่าเสียดายที่แผนการแทรกซึมยังไม่ทันสำเร็จลุล่วง เตียวก๊กกลับโดนเตียวหุย ลูกเลี้ยงตัวเองหักหลัง และฆ่าตายกระทันหัน เส้นทางการเงินที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของพรรคชะงักงัน น้องชายทั้งสองของเตียวก๊ก ก็พลอยเสียชีวิตในที่รบ ทำให้ภาระการวางแผนตกอยู่กับเตียวหยุนขึ้นเป็นผู้นำหนุ่มแทนเพียงคนเดียวในยามคับขัน
พรรคฟ้าเหลืองคล้ายถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด จนในที่สุด ผู้สืบทอดจำต้องลดบทบาท ประกาศยุบพรรคไปก่อนที่จะถูกสามขุนพลราชวงศ์ฮั่นกวาดล้างจนหมดสิ้น แล้วสั่งการตามคำแนะนำของกุนซือเตียวเจียว ให้กองกำลังที่เหลือแยกย้ายไปตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ หันไปก่อการอยู่ใต้ดินแทน เพื่อลดทอนแรงปะทะของฝ่ายรัฐบาล ท่ามกลางกระแสมรสุมทางการเมืองที่พลิกผันอยู่ในเมืองหลวง
หลายปีที่ผ่านมา นอกจากเตียวหุยที่ทรยศไปแน่นอนแล้ว และเตียวสิ้วที่ทำงานผิดพลาด ถูกฆ่าตายที่เมืองอ้วนเซีย สัตตดาราที่เหลืออันได้แก่ เตียวเจียว เตียวเลี้ยว เตียวคี หรือเตียวคับ เตียวเฟิง หรือ เตียวเสี้ยน หรือนางเปียนสี รวมทั้งเตียวหยุน หรือ จูล่งเอง ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์บ้านเมืองที่ขึ้นๆลงๆ
เรื่องราวเช่นนี้ ล่วงเลยมานับเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว เตียวหยุน-จูล่ง ประเมินสถานการณ์บ่อยครั้ง สุดท้าย ได้แต่เริ่มหวาดระแวงในความจงรักภักดีของเตียวล่อ ลูกน้องเก่าแก่ของท่านพ่อ และอดีตคนสนิทของมัน ซึ่งอยู่ในดินแดนห่างไกล และมีฐานะเป็นเจ้านครที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เพราะความเหินห่าง ไร้การตอบสนองใดๆกลับมา
ที่จริง ยังมีเรื่องราวที่จูล่งและผู้คนโดยทั่วไปไม่ล่วงรู้ ก็คือ เตียวล่อ อาจจะมีส่วนสำคัญต่อการตายของเตียวก๊ก ผู้นำพรรคฟ้าเหลือง มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะมันคือผู้ที่นำตัวนายใหญ่กลับมาจากการถูกลอบทำร้ายสาหัส และเชื้อเชิญหมอเทวดาฮัวโต๋มารักษา แต่แก้ไขไม่สำเร็จ ประมุขเฒ่าทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจตายทั้งๆที่อยู่ในความดูแลของแพทย์คนดังแล้ว
ต่อมา เตียวล่อในคราบของพ่อค้าเร่ร่อน ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์ต่างๆหลายครั้งอย่างมีนัยยะสำคัญมานานหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ การลอบช่วยเหลือกวนอูหรืออดีตเผิงเสียนคนร้าย ให้หลบหนีการไล่ล่าของมือปราบฮองตง การฆ่าปิดปากคนที่กุมความลับเบื้องหลังของเล่าปี่หรืออดีตเหี้ยนเต๊ก การคบหากันอย่างลึกลับกับพวกกาเซี่ยง ฮัวโต๋ หวดเจ้ง การพบปะช่วยเหลือและส่งมอบตำราวิเศษให้กับคุณชายอ้วนซงจากศึกกัวต๋อ จนถึงกับก่อสร้างกระท่อมรังนกแห่งใหม่ให้หมอเทพยดา และพบเจอม้ากิ๋น ช่างอัจฉริยะผีพนันในครั้งล่าสุด
นอกจากนี้ อาจจะมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ทำให้เตียวล่ออาจจะเป็นบุคคลพิสดารที่ยากจะคาดเดาได้ จนมาถึงเหตุการณ์ที่มันไปพบเห็นความเคลื่อนไหวของเตียวเจียว บังเต๊กกงและนักพรตอัปลักษณ์โดยบังเอิญนั่นแหละ จึงได้หยุดยั้งการเข้าแทรกแซงเรื่องราวต่างๆ เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในป้อมปราการเมืองของตนเอง พร้อมสี่องครักษ์คนสนิท หันไปเน้นการพัฒนาอุปกรณ์การศึกเพื่อการป้องกันตัวเองเสียมากมาย
เตียวล่อ เจ้าเมืองฮันต๋ง รวมทั้งม้าเจ๊กที่มาพักอาศัยในฐานะทูตทหาร ตระเตรียมการเคลื่อนทัพหลังพ้นหน้าหนาวอยู่ก่อนแล้ว จึงให้การต้อนรับขุนพลม้าเฉียว ม้าเลี้ยง ม้าต้าย และบังเต๊ก เข้ามาในเมืองด้วยความยินดีที่จะได้ขุนพลเลื่องชื่อมาเสริมทัพ และจัดงานเลี้ยงรับรองอาคันตุกะผู้มาใหม่ทันที
ภายในงานเลี้ยงรับรอง เป็นการจัดตั้งโต๊ะเตี้ยเฉพาะคนเรียงแถวเป็นครึ่งวงรีตามลำดับศักดิ์ฐานะ เตียวล่อในวัยห้าสิบปีเศษ ใบหน้าร่างกายคล้ายผอมซูบกว่าแต่ก่อน ผมเผ้าเริ่มมีสีดอกเลาประปราย ดูแก่ชราไปตามวัย นั่งเป็นประธานตรงกลาง โดยมีองครักษ์สามคนยืนห่างไปทางด้านหลัง เหล่าอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ อันได้แก่ ม้าเฉียว ม้าต้าย บังเต๊กนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก นั่งอีกด้านหนึ่ง สำรับสุราอาหารถูกนำมาเรียงรายไม่ขาดสาย พร้อมการแสดงของนางระบำต่างถิ่นที่ดูอ่อนช้อย งดงาม
ม้าเลี้ยงลอบกระซิบปรึกษาความกับม้าเจ๊ก ผู้น้องที่นั่งคู่กัน เพื่อสอบถามขุมกำลังที่แท้จริงของเมืองนี้ เพราะไม่พบนายทหารที่น่าเกรงขามเข้ามาร่วมงานแต่อย่างใด และเท่าที่ผ่านมา ก็เป็นเตียวล่อคุมทัพเองมาโดยตลอด จึงรู้สึกดูเบาเตียวล่ออยู่ในที หรือว่า การยึดเมืองฮันต๋งจะง่ายดายกว่าที่คิด
ม้าเจ๊กกลับถอนหายใจ พลางกล่าว “นายทหารและขุนนางนั้นไม่มีใครโดดเด่นก็จริง หากแต่ได้ยินคำร่ำลือว่า เตียวล่อมีองครักษ์ข้างกายสี่คนที่เข้มแข็งกล้าหาญ ไม่น้อยไปกว่าเตียนอุย เคาทูของโจโฉเลย ส่วนงานด้านบุ๋นนั้น เตียวล่อคนเดียวกลับมีความสามารถรอบรู้ไม่น้อยไปกว่าเราท่านเช่นกัน พวกเราจะประมาทคนผู้นี้มิได้เลย”
ม้าเลี้ยงคล้ายยังคลางแคลงใจในคำพูดของม้าเจ๊ก จึงลอบสังเกตองครักษ์สามคนที่ยืนรักษาการณ์ห่างออกไปทางด้านหลังของเตียวล่อ เห็นเป็นเพียงนายทหารหน้าตาคล้ายพวกชนเผ่านอกด่าน อายุราวๆสามสิบปี สีหน้าเรียบเฉย นิ่งสงบ แต่สายตาจับจ้องการเคลื่อนไหวภายในห้องรับรองไม่วางตา ส่วนคนที่สี่กลับไม่เห็นว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใด
พอดี การแสดงร่ายรำโดยเหล่านางระบำจบลง บัณฑิตคิ้วขาวจึงกล่าวเสนอว่า “ท่านเจ้าเมือง พวกเราไม่ได้ตระเตรียมสิ่งของใดมากำนัลแด่ท่าน ข้าน้อยจึงขอส่งม้าต้าย บังเต๊ก ร่ายรำเพลงกระบี่ชาวเผ่าแดนเหนือให้ท่านดูเป็นการละเล่นเพลินใจเถิด”
เตียวล่อคล้ายมึนเมาสุรา ไม่กล่าววาจาใดๆ เพียงแค่โบกมืออนุญาต ปล่อยให้ม้าต้าย บังเต๊ก ชักกระบี่ออกมาร่ายรำที่กลางวงสุราแล้ว ม้าเฉียวลอบมองไปทางม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก เบิกตาคล้ายไต่ถาม แต่ทั้งสองแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ที่จริง พวกตระกูลม้าได้นัดแนะกันไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าเมือง ให้ลงมือยึดครองเมืองฮันต๋งจากเตียวล่อ เพื่อใช้เป็นฐานทัพต่อสู้กับโจโฉแทน หากแต่ม้าเฉียวคาดไม่ถึงว่า พวกมันเพิ่งนั่งลงดื่มกินกับเจ้าบ้าน ก็ต้องลงมือชิงเมืองเสียแล้ว ทั้งๆที่อาวุธประจำกายของแต่ละคนก็ไม่ได้นำติดตัวเข้ามาเลยด้วยซ้ำ
สองนายทหารร่ายรำกระบี่สักพักหนึ่ง ถึงกับหมุนตัวเข้าไปใกล้โต๊ะที่นั่งของเตียวล่อ อีกเพียงสามก้าว คมกระบี่ก็จะถึงลำคอเจ้าเมืองผู้ลำพองแล้วตามที่นัดแนะกันไว้ แต่เห็นองครักษ์ซ้ายขวาที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน ขยับตัววูบ ถึงกับชักกระบี่ออกมาสกัดไว้ ด้วยท่วงท่าร่ายรำเฉกเช่นเดียวกันกับที่พวกตระกูลม้าใช้กัน
เตียวล่อที่ดูมึนเมาคล้ายไม่ทันรู้ตัว ปรบมือหัวร่อ พลางกล่าว “องครักษ์ของข้าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน มีพื้นเพเป็นชาวเผ่าเกี๋ยง เรียนรู้วิทยายุทธ์ได้รวดเร็ว คงคันไม้คันมือ อยากร่วมวงร่ายรำกระบี่กับคนของท่านแล้ว น่าดู น่าดูยิ่งนัก”
ม้าต้ายกับบังเต๊กได้ยินเต็มสองหู แต่ถือดีว่ามีฝีมือพอตัว จึงไม่หยุดยั้งกระบวนท่า เมื่อพบพานกระบวนท่าของสององครักษ์ที่พลิกแพลงพิสดารเกินกว่าจะต้านรับ อีกทั้งกระบี่ก็ไม่ใช่อาวุธประจำกายที่คนทั้งสองถนัด จึงสูญเสียจังหวะ ถูกกวาดฟันจนกระบี่หลุดจากมือไปทั้งคู่ สององครักษ์พี่น้องใช้กระบี่จ่อไปยังจุดสำคัญของฝ่ายตรงข้าม เป็นการจบการแสดงร่ายรำกระบี่ไปโดยปริยาย
ม้าเฉียวกลับยังไม่ยอมพ่ายแพ้ กดมือหมายจะลุกขึ้นชักกระบี่บ้าง หากแต่ม้าเลี้ยงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รีบชักชวนม้าเจ๊ก ลุกขึ้นประสานมือคารวะเตียวล่อด้วยเสียงอันดัง และลอบขยิบตาให้กับม้าเฉียว “ต้องขออภัยต่อท่านเจ้าเมือง โปรดยั้งมือ ไว้เมตตาแก่พวกเราด้วยเถิด นั่นเป็นเพียงการแสดงการละเล่นเท่านั้น”
ม้าเฉียวพลันรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเบาๆทางด้านหลัง ที่แท้ องครักษ์คนที่สาม เคลื่อนกายมาอยู่ด้านหลังของตนตั้งแต่เมื่อไร ก็ไม่ทันรู้ตัว หากเมื่อครู่ ตนเองชักกระบี่ขึ้นแสดงเจตนา เห็นทีว่าทวนยาวขององครักษ์คนนี้ คงไม่อยู่นิ่งเฉยเป็นแน่ เมื่อคิดขึ้นเช่นนั้น อดรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังมิได้ ยังดีที่ม้าเลี้ยง ซึ่งมองมาจากฝั่งตรงข้ามมีไหวพริบ หยุดยั้งสถานการณ์ได้ทันเวลา
เตียวล่อ กวาดตามองสถานการณ์ ไม่หลงเหลือเค้าลางของคนเมามายแม้แต่น้อย แล้วกลับเงยหน้าขึ้นหัวร่อด้วยเสียงอันดังบาดหู “ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อไป พวกเรามาร่วมเป็นพวกพ้องเดียวกันแล้ว ยังมีอะไรต้องเกรงใจกันอีก เอาเถิด เด็กๆ นำของหวานจานสุดท้ายเข้ามาได้ การแสดงจบลงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
เหล่านายทหารทั้งหลายกลับมานั่งประจำที่ ของหวานถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า แต่เฉพาะม้าเฉียว กลับเพิ่มอาหารจานพิเศษที่ถูกฝาครอบขนาดเล็กครอบปิดไว้ชั้นหนึ่งมาวางไว้ด้วยเป็นที่สะดุดตา
เมื่อเตียวล่อส่งสัญญาณเชื้อเชิญ ม้าเฉียวจึงลองเปิดฝาครอบออกดู กลับเห็นเป็นเส้นผมสีดำขลับปอยหนึ่งกับปิ่นทองสำหรับผู้หญิงวางอยู่บนจาน สร้างความประหลาดใจไปทั่วทุกคนที่เป็นอาคันตุกะผู้มาเยือน
ม้าเฉียวงุนงง แต่ยังคงหยิบปิ่นนั้นขึ้นมาพิจารณา ม้าเจ๊กซึ่งมองมาจากฝั่งตรงข้าม กลับจดจำได้ก่อน “เป็นปิ่นที่ข้าเพิ่งซื้อให้น้องหยุนลู่เมื่อไม่นานมานี้เองนี่นา”
เตียวล่อแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางเฉลย “น้องสาวของพวกท่านเดินทางผ่านทางมาแถบนี้ตามลำพัง ข้าจึงจัดสถานที่พิเศษไว้ต้อนรับนางเป็นอย่างดี พวกท่านจงวางใจได้ นางยังคงปลอดภัยดีอยู่”
ม้าเฉียว เลือดขึ้นหน้าตามประสาคนเลือดร้อน “นี่ท่านคิดจะใช้นางเป็นตัวประกันหรือ”
“เปล่าเลย เพียงให้สิ้นศึกโจโฉก่อน ข้าจะมอบนางคืนให้กับพวกท่าน แต่ตอนนี้ เพื่อให้พวกท่านมีสมาธิ ข้าจึงขอเก็บตัวนางเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวเท่านั้นเอง ตราบใดที่ตัวข้ายังคงอยู่เป็นปกติ แม่นางม้าก็จะยังคงอยู่อย่างสุขสบายเช่นกัน”
เสือเฒ่างำประกายอย่างเตียวล่อ ถึงกับมีไม้ตายร้ายกาจซ่อนอยู่มากมายหลายชั้น พวกม้าเฉียวรู้สึกในทันทีว่า เตียวล่อ เจ้าเมืองแดนรกร้างผู้นี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สำแดงออกศักยภาพสูงส่งเหนือชั้นทั้งด้านบู๊และบุ๋นในคราวเดียว
มาถึงขั้นนี้ พวกมันไม่ยอมร่วมมือ ก็ไม่ได้เสียแล้ว น่าสงสาร ม้าหยุนลู่ ที่เดิมก็ตกเป็นตัวประกันในแดนกังตั๋งมาเนิ่นนาน นี่ก็มาเป็นเชลยให้กับเตียวล่อแห่งฮันต๋งอีกครั้งแล้ว
“พวกเราต้องหาทางช่วยน้องเล็กโดยเร็ว” ม้าเฉียวกล่าวอย่างกังวลใจ หลังจากที่พวกตระกูลม้ากลับมายังห้องพักผ่อนส่วนตัว
“แต่เราไม่ควรออกหน้าจัดการด้วยตัวเอง มิเช่นนั้น น้องเล็กอาจจะมีเภทภัยไปเสียก่อน” ม้าเลี้ยงกล่าว ขณะที่กำลังชั่งใจทบทวนว่า เรื่องนี้ สมควรแจ้งให้ท่านพ่อทราบหรือไม่ และทำอย่างไร
“เจ้าเฒ่าเตียวเยือกเย็นลึกซึ้งยิ่งนัก ข้ามาพำนักอาศัยอยู่กับมัน ทางหนึ่งรอให้พ้นฤดูหนาว จะได้นำทัพไปช่วยพวกท่าน ทางหนึ่ง ก็ออกตามหาน้องเล็กไม่หยุดหย่อน นึกไม่ถึง ที่แท้ มันแอบจับตัวน้องเล็กไว้ตั้งแต่แรก กลับไม่บอกไม่กล่าวให้ล่วงรู้ก่อนเลย จนพวกเราเข้ามาอยู่กับมันนั้นแหละ ถึงได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริง ใช้น้องเล็กเป็นเครื่องมือขู่เข็ญพวกเรา” ม้าเจ๊กเจ็บใจที่อยู่ใกล้ แต่กลับไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย
ม้าเลี้ยงกลับคล้ายนึกถึงเรื่องอันใดได้ จึงลดเสียงลง “ข้านึกออกแล้วว่าใครน่าจะออกหน้ามาช่วยเหลือน้องเล็กได้”
ม้าเลี้ยงเอ่ยชื่อให้พอได้ยินกันในวงสนทนา พอได้รับฟังจบ ม้าเฉียว ม้าเจ๊ก และม้าต้าย ตกตะลึงในแผนการของม้าเลี้ยง บัณฑิตคิ้วขาว แต่ก็อดที่จะเห็นดีด้วยมิได้ คนนอกเข้ามาลอบลงมือก่อการ โชคดีทำสำเร็จ ก็แล้วไป หากผิดพลาด ก็ยังสาวมาไม่ถึงพวกมันให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ได้
ทั้งหมดจึงลงมติให้ม้าเจ๊กรีบออกเดินทางไปส่งข่าวขอความช่วยเหลือในทันที โดยอ้างกับเตียวล่อว่า ม้าเจ๊กลงใต้ไปติดตามเรื่องขอกองทัพสนับสนุนจากเล่าเจี้ยงที่เมืองเสฉวนอีกครั้ง แต่ที่จริง ย่อมเดินทางไปขอความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
หากแต่ม้าเท้งในคราบของโจโฉอยู่ทางเหนือของเมืองฮันต๋ง แต่ม้าเจ๊กกลับเดินทางลงใต้ หรือว่า บุคคลที่พวกม้าเฉียวคาดหวังให้มาช่วยเหลือ จะไม่ใช่ “ท่านพ่อ” เสียแล้ว
แม้ว่าจะส่งม้าเจ๊กลงใต้ไปแล้ว ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงกับพวกก็ไม่อยู่นิ่งเฉย แสร้งก่อกวนให้เกิดเรื่องราวภายในเมืองให้วุ่นวายใหญ่โต ก่อเหตุวิวาทกับนักเลงท้องถิ่น ทำลายบ่อนพนันหอสุราไปหลายแห่ง จนเตียวล่อในฐานะพ่อเมือง ไม่อาจเอาผิดกับขุนพลมือดีในยามศึก จำต้องย้ายตัวผู้ก่อความวุ่นวายให้เข้ามาพักอาศัยในจวนเจ้าเมืองแทน
แน่นอนว่า แผนนี้มาจากม้าเลี้ยง เพื่อหาเหตุเข้าถ้ำเสือ แอบเสาะหาที่ซ่อนตัวของม้าหยุนลู่ ซึ่งคาดว่า ต้องอยู่ในจวนเจ้าเมือง จนพบตำแหน่งที่น่าผิดสังเกตสองแห่ง แห่งแรก คือ ห้องหนังสือ แห่งที่สอง คือ ภูเขาจำลองในสวน
แต่กระนั้น ทั้งหมดก็ยังไม่กล้าลงมือโดยพลการ เพราะฝีมือของสามองครักษ์ไม่ใช่ย่อย และที่สำคัญ องครักษ์คนที่สี่ซึ่งเป็นพี่ใหญ่นั้นคือผู้ใด และซ่อนตัวอยู่ไหน ก็ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด เพราะมักจะหลบซ่อนแฝงตัวอยู่ตามลำพัง ร่องรอยเร้นลับยากคาดเดา
จากคำร่ำลือของคนเก่าแก่ภายในจวน น้อยคนจะผ่านด่านสามองครักษ์ไปได้ และองครักษ์คนโตเคยจำเป็นต้องลงมือเพียงสามครั้งในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทุกครั้ง คนร้ายตายอย่างรวบรัดหมดจดยิ่งนัก จนคนในจวนไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เป็นการลงมือด้วยเข็มเย็บผ้าอาบยาพิษปักเข้าที่หว่างคิ้ว อาวุธลับที่มีขนาดเล็กและอันตรายที่สุดในทำเนียบอาวุธลับนับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา
ในสถานที่เร้นลับห่างไกลออกไป พวกสำนักหุบเขาปีศาจอันได้แก่ คนเล่นพิณในชุดหรูหรา กำลังศึกษาบทเพลงกว่างหลิงส่านผ่านการบรรเลงของกู่ฉิน โดยมี บังเต๊กกง ผู้นำหุบเขาในชุดคหบดี ดื่มสุราอยู่ด้านข้าง ท่าทางมึนเมาไร้สติ
ที่จริง บทเพลงเป็นที่แพร่หลายมานาน ไม่ยากต่อการจดจำ หากแต่สิ่งที่บังเต๊กกงแนะนำเพิ่มเติม กลับเป็นวิธีการผสานลมปราณสอดแทรกลงไปในการบรรเลงเพลง พลิกฟื้นบทเพลงที่ไร้ชีวิตให้มีชีวิต กระตุ้นการรับฟังให้เกิดอารมณ์แปรเปลี่ยน แสงเทียนวูบไหวหนักหน่วง แสดงว่า นี่อาจจะเป็นวรยุทธ์สำคัญที่เจ้าสำนักต้องการฝึกฝนให้สำเร็จ
อีกมุมหนึ่งภายนอกตึกอาคาร หนุ่มใหญ่ร่างทรงผิวดำกร้านจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี พยายามตีความข้อความปริศนาในบันทึกเล่มบางอย่างขุ่นข้องใจ จนหลุดปากท่องบ่นออกมาเบาๆ “สามดาวกระบี่ร้ายปรากฏ สองจันทราโลหิตลาลับ เนตรอสูรกลืนกินตะวัน องค์ราชันย์พ้นแผ่นดิน มันคือลางบอกเหตุเช่นไรกันแน่”
“สามดาวกระบี่ร้ายคือ จอมโจรเตียวก๊ก ขุนศึกตั๋งโต๊ะ และปราชญ์บัณฑิตสุมาเต๊กโช ศัตรูนอกสารบบที่เกิดขึ้น และบ่อนทำลายราชวงศ์ฮั่นจนหมดสิ้นหนทาง ประดุจดาวกระบี่บนฟากฟ้า (ดาวหาง) ที่ไม่สมควรมาเยือนในยามราตรี
สองจันทราโลหิตคือตังกุยหุยกับฮกฮองเฮา ภรรยาผู้ถูกสังหารโหดด้วยพิษภัยการเมือง พัวพันกลุ่มขบถก่อการร้าย เปรียบดั่งดวงจันทร์สีแดงฉานปานถูกโลหิตทาทับ
ส่วนเนตรอสูรกินตะวันคือโจโฉ จอมทรราชย์ที่กดดันบัลลังก์จนสะท้าน ดั่งเทพราหูที่ครอบงำบดบังรัศมีแห่งตะวันฉายที่หมายถึงองค์ราชันย์เหี้ยนเต้เอง จนสุดท้้าย จำต้องพ้นจากราชบัลลังก์” บังเต๊กกง ก้าวเดินโซเซตามประสาคนเมาออกมาจากเงามืด พลางหรี่ตาจ้องมองดูบันทึกของนักทำนาย คล้ายเป็นส่ิงของที่ตัวมันคุ้นเคย แต่ยังจดจำไม่ได้ชัดเจนนัก จนต้องนึกทบทวนไปมาในใจ
นักทำนายร่างทรงรีบซุกเก็บบันทึกเข้าไปในอกเสื้อ พบเห็นร่องรอยด้านหลัง บังเต๊กกงคงออกมาทำธุระเบาอยู่ด้วยความมึนเมา จึงส่งเสียงชักชวนให้ประมุขหุบเขาที่กลายเป็นคนเสพติดเหล้า ให้กลับไปร่วมดื่มกันต่อ ชวนคุยยืดยาวฉุดรั้งให้ฝ่ายตรงข้ามลืมเลือนเรื่องราวเมื่อครู่ไปให้หมดสิ้น
แต่ภายหลัง ตัวมันกลับมีเรื่องราวต้องพูดคุยกับนายใหญ่มากมายนัก ข้อมูลที่บังเต๊กกงกล่าวตีความเมื่อครู่ หมายถึงวันเวลาที่รอคอยมาเนิ่นนานได้มาถึงแล้ว มันจำเป็นต้องรีบแจ้งต่อหัวหน้าก่อนที่บันทึกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลัง
มันนึกตำหนิตนเอง มัวแต่ใช้ความรู้ทางโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ตีความในบันทึกลับเล่มบางมานานหลายปี เข้าใจไปว่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันใด แต่ที่แท้แล้ว มันกลับเป็นเพียงรหัสลับที่ถูกขีดเขียนขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนความทรงจำเท่านั้นเอง
เท่าที่ผ่านมา พวกมันไม่กล้านำมาให้เจ้าตัวคนต้นคิดเฉลยความนัย ด้วยกริ่งเกรงจะกระตุ้นความทรงจำส่วนอื่นให้กลับคืน หากแต่วันเวลาผ่านไป จนบางข้อความเริ่มผิดเพี้ยน ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเกรงว่า ความได้เปรียบจะหดหายไปหมด
ล่าสุด มันนำมาติดตัวตีความในบทปริศนา ซึ่งมันเชื่อว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และโชคชะตานำพาให้คนเขียนเมามาย เผลอบอกความลับสะท้านฟ้าให้กับมันเองอย่างชัดเจน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา