Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
22 มิ.ย. 2021 เวลา 02:03 • นิยาย เรื่องสั้น
4.16. จัดฉากปั่นจิ้งหรีด
เตียวสง จิ้งหรีดเลือกนาย - เล่าเจี้ยง ทายาทไม่เอาถ่าน - เคาเจ้ง ตระกูลนักทำนาย
ห่างไกลไปทางรอยต่อเขตแดนเสฉวนด้านใต้ ขบวนเกี้ยวขุนนางของเตียวสง กำลังเดินทางอ้อมเมืองฮันต๋งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเข้าสู่เมืองเตียงอันที่ตัวโจโฉกลับไปตั้งมั่นอยู่ให้ผ่านพ้นฤดูหนาว
ภายในตัวของเตียวสง ครอบครองสิ่งของสำคัญทางการทหารสองชิ้นสำคัญ นั่นคือสาส์นลับที่รัชทายาทเล่าเจี้ยงยินยอมสวามิภักดิ์ กลับคืนสู่แผ่นดินฮั่นดังเดิม และแผนที่ภูมิประเทศเมืองเสฉวนที่นำติดตัวมาด้วย
ในยุคสมัยที่ภูมิประเทศเป็นตัวกำหนดความได้เปรียบเสียเปรียบของสมรภูมิการศึก การส่งมอบแผนที่เช่นนี้ ย่อมไม่แตกต่างจากการขอยอมพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นทางการ จึงนับว่า เป็นจุดหักเหทางการเมืองที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะดินแดนเสฉวนหลุดจากการปกครองมานานหลายสิบปี ตั้งแต่สมัยเล่าเอี๋ยน เชื้อพระวงศ์คนสำคัญผู้เป็นบิดาแล้ว
…
หลายวันก่อน ในที่ประชุมสูงสุดของเมืองเสฉวน เชื้อพระวงศ์รัชทายาท เล่าเจี้ยง เรียกขุนนางสำคัญ คือ เตียวสง หวดเจ้ง เคาเจ้ง เตียวหยิม เงียมหงันและลิเงียม เข้ามาปรีกษาหารือ เพราะข่าวการศึกที่โจโฉสามารถบุกทำลายกองทัพม้าเฉียวท่ามกลางฤดูหนาว ทำลายขุมกำลังเสเหลียงได้สำเร็จ ทำให้เล่าเจี้ยงร้อนรุ่มใจยิ่งขึ้น
แรกเริ่มนั้น เล่าเจี้ยงยังพอมีใจสู้รบกับขุมกำลังฝ่ายต่างๆอยู่บ้าง หากแต่การเสียเมืองเตียงสาทั้งสามทางตะวันออกพร้อมทั้งขุนพลฮองตง ให้กับเล่าปี่ไปนั้น ทำให้เล่าเจี้ยงลังเลใจ ต้องประเมินสถานการณ์รอบด้านใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่เดิมที่ตระเตรียมให้พ้นฤดูหนาวก่อน จะส่งเตียวหยิม หรือ เงียมหงัน จัดทัพผ่านทางเมืองฮันต๋ง ขึ้นไปร่วมรบตามคำเชื้อเชิญของม้าเฉียวผู้เกรียงไกร จึงกลายเป็นว่า กองกำลังนั้นอาจจะต้องใช้เพื่อสู้รบกับเล่าปี่ทางตะวันออกแทน คงต้องปล่อยให้ม้าเฉียว เตียวล่อ ป้องกันศึกทางเหนือไปพลางก่อน
หากแต่พอสถานการณ์เปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น เล่าเจี้ยงจึงเห็นว่า กองทัพโจโฉแข็งแกร่ง เกินกว่าจะต้านทานได้ ล่าสุด ถึงกับสามารถทำลายกองทัพเสเหลียงลงจนได้ การยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตคน น่าจะดีกว่า ในที่สุด เล่าเจี้ยง รัชทายาทอย่างเป็นทางการคนสุดท้าย จึงถอดใจ คิดจะถอดใจวางมือ เลือกเข้าข้างฝ่ายโจโฉเสียแล้ว
แม้ว่าเตียวหยิม เงียมหงันจะพยายามคัดค้านตามประสานักรบ แต่ก็สุดที่จะโต้แย้งกับวาทะขุนนางบุ๋นอย่างเตียวสง หวดเจ้งได้ อื่นๆก็มิได้ทัดทาน ดังนั้น เตียวสงจึงอาสาเป็นทูตตัวแทนไปพบโจโฉเสียเลย
…
เมื่อเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำไต้กัง ขณะที่จะข้ามฟากเข้าสู่หน้าด่านเมืองอ้วนเซีย เตียวสงกลับพบรถม้าโดยสารจอดรออยู่ข้างทางสองคัน นักสู้มีอายุ ท่าทางขึงขัง มีสายรัดปิดตาข้างซ้าย เดินออกมาจากรถม้าคันแรกขวางเส้นทางไว้อย่างจงใจ
นายทหารอารักขาพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ได้แต่รีบรายงานต่อผู้นำขบวนด้วยความกังวลใจ บุคลิกท่าทางเช่นนี้มีแต่จะเป็นขุนพลตาเดียว แฮหัวตุ้นมาเอง พวกมันจึงมิกล้าต่อกรด้วย สร้างความตระหนกหวาดกลัวให้กับเตียวสงจนตัวสั่นเทา
และแล้ว ชายสูงวัยในชุดขุนนางค่อยๆเดินลงมาจากด้านใน พร้อมกับแนะนำตัวเอง “เราคือกาเซี่ยง กุนซือปีศาจ กุนซือใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น ท่านนี้คือ เทพคุ้มครอง แฮหัวตุ้น สมุหกลาโหม ผู้มาคือเตียวสงแห่งเสฉวน ใช่หรือไม่”
เตียวสงงุนงงวูบใหญ่ แต่ขุนพลตาเดียว แฮหัวตุ้นมีบุคลิกชัดเจน กุนซือกาเซี่ยงก็ตรงกับข้อมูลที่เคยได้รับ จึงเชื่อสนิทใจ ยอมลงจากเกี้ยว ประสานมือคารวะด้วยความอ่อนน้อม “ข้าน้อยเตียวสง เป็นตัวแทนจากท่านเล่าเจี้ยง นำหนังสือสวามิภักดิ์และแผนที่เมืองเสฉวนมามอบให้กับท่านเจ้าพระยาปราบอุดรเป็นการเฉพาะ”
มิทันขาดคำ เสียงเพ้ยดังออกมาจากรถม้าใหญ่ด้านหลัง ชายวัยห้าสิบปีเศษ ร่างเตี้ยเล็ก หนวดเคราเรียบร้อย ท่าทางภูมิฐาน ค่อยๆเดินลงมาจากรถม้าโดยมีหมอหลวงประคองลงมา ชี้หน้าเตียวสงแต่ไกล “ฮ่องเต้แต่งตั้งเราเป็นวุยก๋ง แต่เจ้ายังจงใจใช้สมญานามเดิม คงคิดจะประชดต่อข้ากระมัง เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์มานั่งรอเจ้าเสียเนิ่นนาน”
เตียวสงตกใจ ลักษณะเช่นนี้ น่าจะเป็นมหาอุปราช วุยก๋ง โจโฉไม่ผิดเพี้ยนแล้ว นึกตำหนิตนเองที่พลั้งเผลอเรียกตำแหน่งผิดพลาด แต่คงไม่เลวร้ายเกินไป รีบคุกเข่ากล่าวคำขออภัยไม่ขาดปาก
หากแต่ “โจโฉ” คล้ายไม่รับฟัง กลับด่าทอต่อว่าหนักขึ้น “เจ้าขี้ข้าหน้าตาบิดเบี้ยวคนนี้ ไม่ถูกชะตากับข้าเลย นิสัยยะโสโอหังเช่นนี้ คงไม่ต่างอะไรกับยีเอ๋ง นักตีกลองเปลือยกายในอดีต ที่หาโอกาสแดกดัน เสียดสีคนอื่นไปวันๆ ครั้งนั้น เราส่งยีเอ๋งไปให้คนอื่นฆ่าตาย แต่ยามนี้ เราจะฆ่าเจ้าเองกับมือเลยก็ได้”
…
เรื่องราวของยีเอ๋ง นักตีกลองเปลือยกาย ถือเป็นคดีตัวอย่างของผู้ต่อต้านทรราชย์ที่โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน บัณฑิตยีเอ๋งได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานในราชสำนัก แต่พูดตาไม่เข้าหูโจโฉ จึงถูกส่งให้ไปร่วมวงดนตรีการละเล่นของอดีตรัชทายาทเล่าสือ พระราชบุตรของกษัตริย์เหี้ยนเต้เป็นการตักเตือนเบื้องต้น
แต่แล้ว ยีเอ๋งยังไม่ยอมสำนึกตน กลับเปลือยกายเข้าแสดงในงานเลี้ยงที่จัดขึ้น สร้างความโกรธแค้นให้กับโจโฉ แต่ไม่อยากสั่งประหารเองให้เสียมือ ภายหลัง กุนซือตันฮกจึงแนะนำให้ส่งไปเป็นทูตเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ให้เป็นเหยื่อล่อทางการเมือง สุดท้าย ยีเอ๋งก็ไปจบชีวิตลงด้วยน้ำมือคนในสังกัดของเล่าเปียวตามคาด จนเป็นเหตุให้โจโฉมีข้ออ้างชัดเจนในการยกทัพทำสงครามใหญ่กับขุมกำลังเกงจิ๋วในครั้งนั้น
เปลือกนอก เรื่องราวเป็นเช่นนั้น หากแต่เบื้องหลังที่ไม่มีใครล่วงรู้ คือ ยีเอ๋งพบความลับเรื่องการสะสมกำลังของรัชทายาทเล่าสือโดยบังเอิญ กลุ่มนักแสดงล้วนเป็นนักสู้ มิใช่นักแสดงการละเล่นใดๆ มันกริ่งเกรงว่า โจโฉจะสังเกตพบร่องรอย จึงตัดสินใจเปลือยกาย เบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้กลุ่มนักแสดงกำมะลอที่มีปณิธานแรงกล้า แต่ยังวางแผนการไม่รัดกุมเพียงพอ รอดพ้นจากการตายเปล่า แต่เหล่าผู้ก่อการก็น้ำท่วมปาก ไม่อาจเปิดเผยวีรกรรมของยีเอ๋งให้ปรากฏ
ต่อมา วีรบุรุษที่ไร้ตัวตน ยีเอ๋งเป็นทูตไปยังเมืองเกงจิ๋ว พบเห็นความเข้มแข็งในกองกำลังของเล่าเปียวและเล่าปี่ เพียงพอจะต่อกรกับโจโฉได้ หากแต่ผู้นำกลับไม่อาจหาญเพียงพอ ยินยอมตั้งรับ ไม่กล้ารุกรบ มันจึงเปลี่ยนความคิดจากแนวทางสันติเป็นการแตกหักด้วยสงคราม แสร้งก่อกวนให้เกิดเรื่องราว ยอมพลีชีพตนเอง เพื่อลากเอาโจโฉออกจากรัง หวังส่งมาให้เจอกระดูกก้อนโตของกองทัพเล่าเปียว
เพียงแต่เสียดายที่ยีเอ๋งผิดพลาด หรือฟ้าดินกลั่นแกล้งก็มิอาจคาดเดาได้ เนื่องด้วยเล่าเปียวป่วยไข้เรื้อรังมานาน ทำให้ชัวมอ ขุนพลข้างบัลลังก์ของเล่าเปียว ฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์ลอบสังหารเล่าเปียว แล้วสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ ยกเมืองเกงจิ๋วให้อย่างง่ายดาย กองกำลังพันธมิตรเล่าเปียว-เล่าปี่ จึงแทบจะไม่ได้มีผลกระทบต่อการรุกคืบของกองทัพร้อยหมื่นของโจโฉตามที่คาดหวังไว้เลยสักน้อยนิด
ซึ่งที่จริงแล้ว สิ่งที่มันมิได้ล่วงรู้อีกประการหนึ่ง ก็คือ ชัวมอ ชัวฮูหยิน ยึดอำนาจจากเล่าเปียวมาตั้งนานแล้ว และต่อรองเจรจากับฝ่ายโจโฉ เพียงรอคอยให้ถึงเวลาจัดฉากสวามิภักดิ์เท่านั้น การเป็นทูตเจรจาความเมืองของมันเป็นเพียงละครการเมืองที่ต้องการแสดงให้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงเจตนารมย์ขบถต่อแผ่นดิน และเชื่อมโยงความรุนแรงไปถึงการลอบสังหารโจโฉกลางเมืองที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น
…
ว่าแล้ว “โจโฉ” ก็ดึงกระบี่จากฝักของสารถีด้านข้าง หมายจะฟันใส่เตียวสง ส่วนแฮหัวตุ้น กลับรวดเร็วยิ่งกว่า เริ่มลงมือสังหารทหารติดตามอารักขาของเตียวสงไปก่อนแล้ว เตียวสงตกใจ ไม่กล้ารั้งรอแก้ต่างให้ตนเองอีกต่อไป จึงหันหลังกลับ รีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปทางริมฝั่งน้ำ
เผอิญเห็นเรือประมงลำเล็กจอดว่างอยู่ริมตลิ่ง จึงตัดสินใจเสี่ยงใช้พายดันเรือออกห่างจากฝั่งเพื่อหนีภัยใกล้ตัวไปตามลำน้ำใหญ่ในทันที ทั้งๆที่ตนเองก็บังคับเรือไม่ได้ และว่ายน้ำไม่เป็น ได้แต่พึ่งพากระแสน้ำนำพาไปทางตะวันออกเฉียงใต้แล้ว
เตียวสงหายลับสายตาไปแล้ว “โจโฉ” กับพรรคพวกทั้งสี่ หัวร่อครืนใหญ่ที่เห็นเตียวสงหลงกล ล่องเรือไปตามแม่น้ำห่างไกลออกไปแล้ว “โจโฉ”จึงถอดหน้ากากออก เห็นเป็นชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่ง
“พี่หัวขวาน สวมบทบาทได้แนบเนียนยิ่งนัก เปิดฉากก็ระดมด่าต่อเนื่อง จนเตียวสงหวาดกลัวหัวหดไปเลย” สารถีเริ่มบทสนทนาก่อน
“จะว่าไป ต้องยกความดีให้กับพี่กระตั้วกับพี่อินทรีที่สวมบทเป็นแฮหัวตุ้น แค่เห็นหน้า ไม่ต้องบอกชื่อ คนก็เชื่อแล้ว” หัวขวาน ที่อาศัยแผ่นหน้ากากพิสดาร ปลอมเป็นโจโฉตอบโต้วาจาเช่นเคย
“ทั้งหมดยังต้องยกให้น้องนกยูงที่ส่งข่าวบอกรายละเอียด และจุดอ่อนของเตียวสงมา เพียงจี้จุดด้อยเรื่องหน้าตาขี้ริ้ว ผนวกกับความขี้ขลาดเป็นทุนเดิม พวกเราจึงหลอกลวงมันได้อย่างง่ายดาย มีอย่างที่ไหน โจโฉจะมารอท่าอยู่ที่ตรงนี้ได้” จ้าวอินทรีมือเหล็กที่ปลอมเป็นแฮหัวตุ้น สรุปด้วยความสุขุมใจเย็นตามปกติวิสัย
“ยังไงก็ตาม ต้องนับว่า เป็นละครชุดใหญ่ที่พวกเราได้ร่วมแสดงเป็นครั้งแรก ช่างสนุกสนานยิ่งนัก” หมอหลวง ซึ่งก็คือ นกฮูก ฮัวโต๋ กล่าวบ้าง
สารถี หรือ เหยี่ยวดำ จึงกล่าวตอบ “เป็นเพราะโจโฉยังนอนซม รักษาตัวอยู่ในกระท่อมรังนกของพวกเราอยู่ พวกเราจึงกล้าหาญจัดละครครั้งนี้ขึ้น สกัดเตียวสงไม่ให้ไปพบกับม้าเท้ง จอมอำมหิตได้สำเร็จ ที่เหลือ ก็ต้องดูฝีมือเล่นละครของพี่นางแอ่นต่อไปแล้ว”
แสดงว่า เรือประมงนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดฉากตระเตรียมเอาไว้เช่นกัน หลอกล่อให้เตียวสงลอยตามกระแสน้ำไปติดกับดักขั้นตอนต่อไป
โจโฉคือหัวขวาน หมอหลวงคือนกฮูก สารถีร่างใหญ่คือเหยี่ยวดำ แฮหัวตุ้นคือจ้าวอินทรี และกาเซี่ยง คือ กระตั้ว ที่สวมบทบาทเป็นตัวเอง สมาชิกห้าคนร่วมกันจัดฉากละครชุดใหญ่ โดยฝีมือกำกับของนกยูง สายลับที่ยังแฝงตัวอยู่ในเมืองเสฉวน และยังส่งไม้ต่อไปยัง นางแอ่น หรือเตียวหุย ที่แฝงตัวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว ครั้งนี้ จึงนับเป็นการร่วมมือกันของสมาชิกทั้งหมดในหน่วยปักษาสวรรค์ที่เหลืออยู่
…
ห่างออกไปในพุ่มไม้ข้างทาง ม้าเจ๊กแปลกใจต่อท่าทีและพฤติกรรมประหลาดของผู้คนแปลกหน้าเหล่านี้ แน่นอนที่มันย่อมจดจำเตียวสง ขุนนางผู้ใหญ่แห่งเมืองเสฉวนได้ เพราะมันได้ไปคลุกคลีกับพวกเสฉวนอยู่พักใหญ่ เมื่อคราวที่เดินทางไปเป็นทูตขอความสนับสนุน และมันย่อมแยกแยะพวกโจโฉตัวปลอมบางคนออก เพราะเคยพบเห็นตอนทำศึกกันในระยะไกลมาบ้าง
ม้าเจ๊กนึกสงสัยในใจ จึงได้แต่คาดเดาว่า กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการหลอกลวงเตียวสงโดยเฉพาะ ขัดขวางไม่ให้สาส์นลับไปถึงมือของ “โจโฉตัวจริง” ซึ่งยังคงตั้งทัพหลวงอยู่ที่เมืองเตียงอันทางตอนเหนือ
ว่าแต่ หากคนพวกนี้ปลอมตัวมา แล้วคนพวกนี้คือฝ่ายใดกันแน่ นั่นคือปริศนาที่มันขบคิดไม่ออก น่าเสียดายที่มันอยู่ไกลจนเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้นเสียด้วย แต่ยังพอจดจำบุคลิกท่าทางของบุคคลที่น่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ
ม้าเจ๊กละทิ้งความสงสัยไปก่อน มุ่งหน้าไปยังเส้นทางตะวันออก เพื่อตามหาผู้ช่วยคนสำคัญให้กับน้องสาวต่อไป
…
เตียวสงซึ่งโชคร้ายเมาเรือซ้ำสอง ได้แต่ปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำด้วยความที่ไม่ชำนาญทางเรือ จนเนิ่นนานครึ่งค่อนวัน ค่อยกระแทกเข้ากับเรือโดยสารขนาดใหญ่ลำหนึ่งเข้าอย่างจัง เรือใหญ่ไม่สะทกสะท้าน แต่เรือเล็กพลันแตกเป็นเสี่ยงๆราวกับถูกจัดฉากไว้ เตียวสงจึงหลุดร่วงลงไปในลำน้ำแล้ว
ขณะที่เตียวสงกำลังกระเสือกกระสน ดิ้นรนเอาชีวิตรอด จนส่ิงของเครื่องใช้ติดตัวสูญหายไปหมดสิ้น ก็มีมือที่แข็งแกร่งฉุดตัวมันขึ้นมาจากแม่น้ำ โยนตัวมันลงไปกองกับพื้นเรือตรงหน้าดังโครมใหญ่
เตียวสงเพิ่งผ่านพ้นประตูนรกมาได้ รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย นึกโมโหท่าทีของฝ่ายตรงข้าม จึงลืมตัว หมายจะลุกขึ้นด่าทอ แต่พอมองเห็นเป็นหนุ่มใหญ่ร่างท้วม ใบหน้าดำคล้ำ หนวดเครารุงรัง มีกลิ่นสุราคละคลุ้งอยู่ตามตัว ลักษณะเช่นนี้ ช่างคล้ายกับ..
“ข้าคือเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำรามแห่งขุมกำลังเกงจิ๋ว เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน จึงกล้าเอาเรือเล็กลำกระจิ๋วมาชนเรือตรวจการณ์ลาดตระเวนของข้าเช่นนี้ หรือเป็นไส้ศึกคิดจะมาสอดแนมข่าวคราวของกองทัพ”
เตียวสงรีบโค้งคำนับเกินพอดี “ข้าน้อยเตียวสง ทูตจากเมืองเสฉวน มาขอพบท่านเล่าปี่เป็นการลับเฉพาะขอรับ”
เตียวสงถึงแม้จะขลาดเขลากลัวตาย แต่ก็ยังมีไหวพริบ เมื่อหลงเข้าทางเมืองเกงจิ๋ว ก็พลอยกระโจนเข้าหาเล่าปี่เสียเลย ในเมื่อสาส์นลับสวามิภักดิ์และแผนที่ชัยภูมิล้วนจมน้ำสูญหายไปหมดสิ้น มันจึงปั้นแต่งเรื่องราวได้เต็มที่ตามวาจาของมันเอง
นางแอ่นนึกในใจ ละครฉากใหญ่จบลงด้วยดี ในที่สุด เตียวสงกลายเป็นตัวแปรสำคัญ ฉุดลากให้เล่าเจี้ยงต้องตกกระไดพลอยโจน ยอมเข้าร่วมมือกับเล่าปี่ ต่อต้านโจโฉต่อไปเสียแล้ว
…
เตียวสงได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีจากฝ่ายเล่าปี่ กลับพลิกเนื้อหา ร่างแผนที่เมืองเสฉวนตามความทรงจำที่มี อ้างเป็นตัวแทนเล่าเจี้ยง ส่งมอบแผนที่ และเจรจากับเล่าปี่ เพื่อสร้างพันธมิตรต้านโจโฉ แล้วค่อยตั้งเป้าหมายกลับไปเสฉวน เพื่อเกลี้ยกล่อมแกมบังคับให้เล่าเจี้ยงหันมาร่วมมือกับเล่าปี่แทน
จูล่ง ขุนพลเมฆขาว ซึ่งอยู่ร่วมในพิธีการรับรองทูตอันทรงเกียรติด้วย กลับเสนอตัวเอง อาสานำขบวนองครักษ์ ส่งเตียวสงกลับไปถึงชายแดนอย่างปลอดภัย เล่าปี่ส่งสายตาไต่ถามสองยอดกุนซือ บังทอง ขงเบ้ง ก่อน ค่อยกล่าวคำอนุญาต
“ช้าก่อน ข้าเป็นคนเริ่มต้นกระบวนการทูตในครั้งนี้ ต้องให้ข้าเป็นคนจัดการให้สิ้นสุดงานนี้ด้วย” เตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม ขัดขึ้น
“ท่านทั้งสองเดินทางไปกันให้สนุกเถอะ พวกเราจะอยู่จัดเตรียมกองทัพกันที่นี่เอง” เล่าปี่ตัดบทให้ ในใจคิดว่าน้องสามคงจะมีความนัย จึงสอดแทรกออกมาเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็ปล่อยให้มันไปจัดการแล้วกัน
…
จูล่ง นึกขัดใจที่เตียวหุยสมัครเข้าร่วมทางไปด้วย เพราะเมื่อคืนก่อน ตัวมันเพิ่งได้รับการติดต่อจากม้าเจ๊กให้เดินทางไปช่วยม้าหยุนลู่ที่เมืองฮันต๋ง จึงนึกหาเหตุที่จะหายหน้าไปหลายวัน เพื่อออกเดินทางไกล พอพบเห็นทูตเสฉวนเตียวสงต้องเดินทาง มันจึงคิดจะใช้โอกาสในการส่งตัวเตียวสงกลับนั้น แยกไปจัดการงานส่วนตัวครั้งนี้เป็นความลับ
แต่แล้ว จูล่งพลันฉุกคิดขึ้นว่า นี่คือโอกาสที่จะสะสางความแค้นกับเตียวหุยคนทรยศ และจัดการกับความลับของขุมทรัพย์ฟ้าเหลืองได้ด้วย จึงเปลี่ยนทีท่าไป
“จัดการกับเตียวล่อ ดาวปกครอง และเตียวหุย ดาวร่ำรวย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะท่าทีของมันเป็นเช่นไร ก็ยากจะคาดเดา และฝ่ายตระกูลม้าก็ยังออกหน้าไม่สะดวก คราวนี้ เราคงจะต้องใช้มือดีที่สุดของขุมกำลังสัตตดารามาร่วมมือกันเสียแล้ว”
นกพิราบสื่อสารที่เลี้ยงไว้มาเนิ่นนาน จึงถูกปล่อยออกไป เรียกตัวดาวอำพราง เตียวคับ และดาวขุนพล เตียวเลี้ยว ให้หาเหตุข้ออ้างมารวมตัวกันเฉพาะกิจครั้งสำคัญ
เนื้อหาสั้นๆ คือ “พบกันที่เมืองฮันต๋ง กำจัดคนทรยศ จาก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง”
…
เตียวเลี้ยวได้รับหนังสือลับจากนกพิราบสื่อสาร คนทรยศคือผู้ใดกัน คนที่เข้าข่ายคือ เตียวล่อซึ่งอยู่ที่ฮันต๋ง และขาดการติดต่อไปนาน หรือเตียวหุยซึ่งอยู่เคียงข้างกับจูล่งมาหลายปี หรือแม้แต่เป็นกับดัก หลอกล่อตัวมันเองให้เดินเข้าไปหา เพราะมันเองก็เป็นสายลับสองหน้าที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กรแห่งนี้
ด้วยความที่เป็นสายลับมานาน ความหวาดระแวงย่อมไม่อาจเสื่อมคลายไปได้ เตียวเลี้ยวจึงส่งสัญญาณบอกเล่าเรื่องราวไปทางสุมาอี้ ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของเครือข่ายสุมาคนปัจจุบัน เพื่อขอคำชี้แนะ และเป็นการแสดงความจริงใจให้ทราบ
จริงอยู่ ต้นสังกัดดั้งเดิมของมันคือพรรคฟ้าเหลือง แต่ทว่าหลังจากการตายของผู้วิเศษเตียวก๊กแล้ว ความเสื่อมโทรมก็ถาโถมเข้าใส่กองทัพธรรม จนมันแอบมองหาที่มั่นแห่งใหม่ และครั้งนั้นที่มันมาปักหลักแฝงตัวอยู่ทางฝั่งตะวันออก จอมปราชญ์สุมาเต๊กโชก็ลอบเข้ามาโน้มน้าวให้มันเปลี่ยนใจด้วยคัมภีร์วิทยายุทธ์อันสูงส่ง จนทำให้มันพัฒนาฝีมือตนเองขึ้นมาในระดับแถวหน้าได้ในเวลาอันสั้น
แต่การจากไปของผู้นำสกุลสุมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มันต้องกลับมาคิดหนักว่า สมควรจงรักภักดีกับเครือข่ายสุมาต่อไป หรือ เลือกกลับเข้าสู่เส้นทางของพรรคฟ้าเหลืองอีกครั้ง หรือ การถวายชีวิตให้กับวุยก๋ง โจโฉอย่างจริงจัง หรือ แม้แต่การตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่เสียเอง
ตันก๋งที่เพิ่งตายไปเป็นตัวอย่างเตือนใจของชีวิตลูกสมุน คนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้ง ตัวมันก็ล่วงเลยมาถึงวัยสี่สิบปีแล้ว หากจะกระทำการใดๆ ช่วงเวลานี้ ก็เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดของมันแล้ว เตียวเลี้ยวเอย เส้นทางใดจะดีที่สุดต่อเจ้าหนอ
…
ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของกองทัพซุนกวนมาทางด้านเมืองหับป๋า ทั้งๆที่ยังมีสัญญาสงบศึกอยู่ ทำให้ฝ่ายโจเจียง เตียวเลี้ยว ไม่อาจวางใจได้ ต้องรีบแจ้งข่าวส่งกลับไปยังโจผีที่เมืองหลวง จนไปถึงหูของโจโฉที่เมืองเตียงอัน
ม้าเท้งหรือโจโฉปลอมย่อมตระหนักถึงขุมกำลังคนตระกูลซุนเป็นอย่างดี จึงอาศัยเวลาพักรบในช่วงฤดูหนาว แอบกลับคืนสู่เมืองหลวงอย่างเงียบๆ เพื่อเจรจาต่อรองกับ “หนึ่งลับ” บุคคลสำคัญที่เป็นตัวแทนสกุลซุนเป็นการลับ แล้วค่อยกลับคืนสู่เมืองเตียงอัน เพื่อตั้งเป้าจัดการกับฝั่งตะวันตกให้เด็ดขาดต่อไป
เพียงแต่ช่องว่างในจังหวะที่โจโฉเดินทางไปมาระหว่างเมืองหลวงนั้นเอง สุมาอี้ก็ได้แอบวางหมากพิสดารไว้บนกระดานเรียบร้อยแล้วประการหนึ่ง
…
สือฮิว เจ้ากรมอาลักษณ์เลิกงานแล้ว เดินทางไปเยี่ยมเยียนสำนักหอสมุดใต้หล้า พบปะสนทนากับอ้วนยู ฮัวหิม ซุนต่ำในสวนดอกไม้ตามปกติ แต่เนื้อหากลับดูมีเงื่อนงำอยู่บ้าง
“เมื่อเช้าพบพานปลาใหญ่กลับมาในคุ้งน้ำ ท่านผู้เฒ่าสนใจจะลงทุนทอดแหสักคราหรือไม่” สือฮิวกล่าวด้วยน้ำเสียงดังเกินกว่าวงสนทนาเล็กน้อย
อ้วนยูทั้งสามรับฟังแล้วนิ่งเฉยไม่ตอบคำ แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านล่างโต๊ะ “น่าสนใจ เราจะส่งคนไปดักจับปลาสักครา พวกท่านมิต้องเคลื่อนไหวอันใด”
คนใต้ดินไปจัดการเรื่องราวต่างๆแล้ว แต่ทั้งสี่ด้านบนยังคงกินดื่มต่อไปสักพักค่อยแยกย้าย แสดงว่า คนสายวิชาการคิดก่อการณ์อันใดอยู่ และมีสือฮิวเป็นจารชนสองหน้า
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย